วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 9)




บทที่ 9.

ผู้คนทยอยลงเรือเล็กสามลำ ลำละสิบคน กำลังที่เหลือคอยคุมเชิงอยู่บนเรือใหญ่ ปึงเพียวเซาะกับม่อย้งเพ็กเหล็งอยู่บนเรือลำหนึ่ง ริวจิกับโยชิอยู่ด้วยกันอีกลำหนึ่ง อดีตหัวหน้าแซ่แชและแซ่ลี้อยู่ด้วยกันอีกลำ ทั้งสามลำเป็นเรือเร็วขนาดเล็กแล่นอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็แล่นออกห่างจากเรือใหญ่ซึ่งขณะนี้ได้ชะลอความเร็วลงเนื่องเพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นแต่ไกล

ฝีพายทั้งแปดบนเรือแต่ละลำล้วนเป็นนักสู้ฝีมือดีของหมู่ตึกบูรพาทั้งสิ้น จ้วงพายแต่ละครั้งเรือแล่นฉิวผ่ากระแสน้ำอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับใช้ใบแต่อย่างไร ชั่วอึดใจก็เห็นเทือกเขาสูงตระหง่านตรงโค้งน้ำข้างหน้าแล้ว

แต่ก่อนที่เรือลำแรกจะถึงโค้งน้ำ นาคามูระ โยชิ กลับลุกพรวดขึ้น ตะโกนสั่งการเสียงดัง “ถอนกำลังกลับเรือใหญ่เดี๋ยวนี้!”

“ท่านโยชิ!..ทำไม” ริวจิที่นั่งด้านข้างโพล่งขึ้นด้วยความงุนงง ไม่ทราบเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมท่านโยชิจึงสั่งให้ถอนกำลังกลับอย่างกระทันหันเช่นนี้

“ดูนั่น!” โยชิชี้ไปยังเงาทะมึนขนาดใหญ่ที่ทอดอยู่บนผิวน้ำ

นั่นเป็นเงาของเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่ง! มันกำลังเคลื่อนจากหลังโค้งน้ำตรงรี่เข้าหาเรือเล็กทั้งสามอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก่อนที่ทุกคนจะทันตั้งสติเงาทะมึนขนาดใหญ่ก็โผล่สวนออกมาจากโค้งน้ำเบื้องหน้า บนกราบเรือทั้งสองฝากยืนเรียงรายด้วยชายฉกรรจ์แต่งชุดสีดำปิดหน้าตาราวห้าหกสิบคน ทุกคนมีเกาทัณฑ์ขนาดใหญ่คันแข็งแกร่งอยู่ในมือ ฉับพลันลูกเกาทัณฑ์เกือบร้อยก็พุ่งแหวกอากาศเข้าใส่ผู้คนบนเรือเล็กบนราวสายฝน!

เสียงง้างสายเกาทัณฑ์ เสียงลูกเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่งพุ่งฝ่าอากาศดังเฟี้ยวฟ้าวอืออึ้งไปทั่ว ผู้ที่ไม่ทันระวังตัวต่างถูกเกาทัณฑ์ปักตรึงร่างร่วงหล่นลงน้ำในทันทีหลายคน เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงม คนที่เหลืออยู่ได้แต่ใช้อาวุธของตนปัดป้องเป็นพลันวัน

ชายฉกรรจ์มือเกาทัณฑ์เหล่านั้นล้วนฝีมือไม่ต่ำทรามทั้งสิ้น ฝีมือยิงเกาทัณฑ์ของพวกมันทั้งแม่นยำทั้งรุนแรงและยิงได้ต่อเนื่องรวดเร็ว พอลูกเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่งก็ง้างสายยิงดอกต่อไปทันทีไม่มีเว้นระยะขาดตอน

คนของหมู่ตึกบูรพาหลายคนที่เป็นมือดีพยายามกระโดดขึ้นไปบนกราบเรือใหญ่ แต่เมื่อร่างลอยอยู่กลาง อากาศก็ถูกลูกเกาทัณฑ์ยิงตกร่วงลงบนผืนน้ำไปอีกหลายคน มีบ้างบางคนพยายามตะเกียกตะกายจนขึ้นไปบนกราบเรือได้ แต่กลับต้องเผชิญกับชายฉกรรจ์อีกกลุ่มหนึ่งจำนวนยี่สิบกว่าคน มีทั้งดาบทั้งกระบี่ครบมือยืนคุ้มกันชายฉกรรจ์มือเกาทัณฑ์อยู่โดยรอบ ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้เข้ากลุ้มรุมฟาดฟันผู้ที่พยายามปีนขึ้นไปบนกราบเรืออย่างโหดเหี้ยมจนไม่เหลือสภาพผู้คน นับเป็นสภาพการต่อสู้ที่สยดสยองยิ่งจริงๆ

ม่อย้งเพ็กเหล็งตื่นตะลึงกับภาพเบื้องหน้าจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งตัวสั่นงันงก ปกตินางมิใช่คนขลาดเขลาแต่สภาพประดุจสนามรบย่อยๆเบื้องหน้าสุดที่นางจะรับการเข่นฆ่าที่เหี้ยมโหดเช่นนี้ได้จริงๆ พอเริ่มจะรวบรวมสติกลับคืนมาได้บ้างก็พบว่าปึงเพียวเซาะใช้ขลุ่ยไม้ไผ่ปัดป้องลูกเกาทัณฑ์ไม่ให้สัมผัสทำร้ายตนอยู่เบื้องหน้าเป็นพลันวัน

ปึงเพียวเซาะควงขลุ่ยในมือปัดป้องปานจักรผัน สมองพยายามครุ่นคิดหาหนทางคลี่คลายสถานการณ์ที่ล่อแหลมอันตรายในขณะนี้ ตนมิใช่จูกัวะเหลียงคิดขอยืมลูกเกาทัณฑ์ซ้อนกลจิวยี่จึงไม่หวังให้พวกมันระดมยิงมามากมายเช่นนี้ หากต้องปัดป้องโดยไม่ตอบโต้ลูกเกาทัณฑ์ย่อมถูกยิงมาเรื่อยๆไม่หยุดยั้ง แต่จะหาทางตอบโต้ได้อย่างไร วิธีเดียวที่จะหยุดลูกเกาทัณฑ์ที่พุ่งจู่โจมราวห่าฝนเช่นนี้คือต้องขึ้นไปจัดการชายฉกรรจ์มือเกาทัณฑ์ที่อยู่บนเรือใหญ่ แต่หากคิดกระโดดขึ้นบนกราบเรือยิ่งต้องตกเป็นเป้าเผชิญลูกเกาทัณฑ์ที่ระดมยิงราวกับสายฝน ในสถานะการณ์นี้ตนกลับไม่แน่ใจว่าจะสามารถฝ่าขึ้นไปบนกราบเรือได้

ขณะอับจนปัญญาลูกเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งพุ่งผ่าอากาศด้วยกำลังแรงเฉี่ยวทะลุสายรัดเอวขาดออก ก้อนหินที่ตนใช้เป็นเบี้ยเมื่อคราวเล่นหมากล้อมร่วงหล่นกราวออกจากชายเสื้อ เมื่อเห็นดังนั้นปฏิภาณแวบขึ้นในฉับพลัน ปฏิกิริยาท่วงท่าว่องไวเท่าความคิด มือข้างที่ไม่ได้ถือขลุ่ยรีบฉวยก้อนหินเหล่านั้นไว้เต็มกำมือแล้วซัดออกไปยังมือเกาทัณฑ์บนกราบเรือในทันที

ยังมิทันสิ้นเสียงแหวกอากาศของก้อนหินทั้งเจ็ดแปดก้อนที่ซัดออกจากมือของปึงเพียวเซาะ เสียงกระดูกหักก็ดังเกรียวกราวจากร่างของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ถือเกาทัณฑ์! ร่างสูงใหญ่บนกราบเรือใหญ่ต่างร่วงลงน้ำไปเจ็ดแปดคนในคราวเดียว!

ก้อนหินที่ซัดออกจากมือปึงเพียวเซาะกลับมีระดับความรวดเร็วรุนแรงยิ่งกว่าลูกเกาทัณฑ์ที่ปลิวว่อนอยู่ในขณะนี้หลายเท่า! มันไม่เคยเห็นการฆ่าฟันเป็นเรื่องสนุกยิ่งไม่ต้องการฆ่าฟันผู้อื่นอย่างพร่ำเพรื่อ หินแต่ละก้อนหากซัดโดนศรีษะรับรองสมองต้องแตกกระจายในทันที แต่มันจงใจซัดไปที่ไหล่และลำตัวของเหล่ามือเกาทัณฑ์กระดูกหัวไหล่ ซี่โครงล้วนหักสะบั้นลงทันที

มือเกาทัณฑ์เหล่านั้นสีหน้าตื่นตระหนก หวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่คาดคิดว่าบุรุษหนุ่มที่แต่งตัวมอซอจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ แต่นับว่าพวกมันต่างผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน เมื่อเห็นพรรคพวกของตนล้มลงราวใบไม้ร่วงต่างก็รู้ทันทีว่าจำเป็นต้องกำจัดคนผู้นี้ก่อน จึงพากันพร้อมใจหันเหเกาทัณฑ์ในมือเล็งไปที่ร่างปึงเพียวเซาะราวนัดกันไว้

ปึงเพียวเซาะหมายจะฉวยช่วงว่างที่พวกมันแตกตื่นดีดตัวขึ้นไปบนกราบเรือ ไม่คาดว่าพวกมันสามารถคุมสติมิให้รนราน ทั้งมีปฏิกิริยาโต้ตอบฉับไวเช่นนี้ ท่าร่างต้องชะงักทันทีหากตนคิดโดดขึ้นกราบเรือในเวลานี้ต้องถูกเกาทัณฑ์ที่เล็งมายิงจนร่างพรุนแน่

ชั่วพริบตาที่มือเกาทัณฑ์เหล่านั้นพากันเบนเป้าหมายไปที่ปึงเพียวเซาะ กลับก่อให้เกิดช่องว่างขึ้น ม่านลูกเกาทัณฑ์ในทิศทางอื่นพลันสลายไปชั่วครู่ นั่นเป็นจังหวะเวลาที่น้อยอย่างยิ่ง ผู้คนบนเรือใหญ่ต้องคิดไม่ถึงชั่ววินาทีนี้จะมีผู้ใดสามารถยึดกุมไว้ได้

แต่นาคามูระ โยชิ กลับสามารถฉกฉวยช่วงเวลานี้ไว้ได้!

ก่อนที่ลูกเกาทัณฑ์นับสิบซึ่งพุ่งเบ้ามายังร่างปึงเพียวเซาะจะทันหลุดจากแหล่ง เงาร่างสีเขียวสายหนึ่งทะยานกายโผขึ้นไปยืนบนกราบอย่างรวดเร็ว ระดับความเร็วของท่าร่างยังเร็วกว่าลูกเกาทัณฑ์ยามหลุดจากแหล่งเสียอีก!

ฝ่าเท้ายังมิทันแตะพื้นเรือ ร่างยังไม่อาจทรงตัวมั่น แต่ดาบยาวพลันหลุดจากฝักโลดแล่นเหนือกราบเรือราวมังกรขาวคืนชีพแล่นร่องท่องทะยานฟ้า!

สรรพสิ่งที่อยู่ใต้อานุภาพแห่งมันกลับกลายเป็นปราศจากชีวิตจนสิ้น!

ชั่วพริบตานั้นลูกเกาทัณฑ์ที่ระดมยิงจากทางกราบเรือด้านนั้นสลายไปโดยพลัน

ดาบยาวเล่มนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งจริงๆ!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงฉวยโอกาสที่มือเกาทัณฑ์บนเรือใหญ่ต่างตื่นตะลึงต่ออิทธิฤทธิ์ของดาบยาว หยิบฉวยก้อนหินอีกสิบกว่าเม็ดกำเต็มทั้งสองมือซัดไปยังมือเกาทัณฑ์ที่หลงเหลือ ร่างอีกนับสิบร่วงหล่นลงน้ำเป็นแถบๆบางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันถูกทำร้ายได้อย่างไร!

ปึงเพียวเซาะไม่รอช้ารีบฉวยโอกาสนั้นคว้าร่างม่อย้งเพ็กเหล็งทะยานขึ้นไปบนกราบเรือในทันที

ชายฉกรรจ์มือเกาทัณฑ์ถูกจัดการไปกว่าครึ่ง ลูกเกาทัณฑ์เบาบางลงมากจนไม่อาจสะกดคุกคามเหล่าคนของหมู่ตึกบูรพาได้แล้ว คนบนเรือเล็กที่เหลืออีกประมาณครึ่งหนึ่งต่างทยอยโผร่างขึ้นมาบนเรือใหญ่จนหมด ผู้ที่ขึ้นเรือได้ก่อนต่างวาดลีลาอาวุธในมือตนสยบเหล่าชายชุดดำบนเรืออย่างคึกคะนอง

พอร่างยืนบนกราบเรือมั่น โยชิโอกะ ริวจิ ชักดาบในมืออย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อมันเคลื่อนไหวไปทางไหนมือเกาทัณฑ์ก็แตกฮือออก อดีตหัวหน้าแซ่แชและแซ่ลี้คอยกระหนาบอยู่ข้างกายริวจิไม่ห่าง

ดาบยาวของมันนับว่ารวดเร็วอย่างยิ่งสมควรกับการเชื่อมั่นในตนเองจริงๆ แม้ไม่รวดเร็วหนักแน่นเยี่ยงนาคามูระ โยชิ แต่ในยุทธภพปัจจุบันฝีมือของมันก็สามารถจัดอยู่ในชั้นแนวหน้าได้ทีเดียว

เพียงชั่วอึดใจก็สามารถจัดการกับมือเกาทัณฑ์และเหล่าชายฉกรรจ์ถืออาวุธที่อยู่บนกราบเรือจนหมด แต่ยังไม่ทันที่ผู้คนจะได้หยุดพักหายใจ ประตูห้องใต้ท้องเรือก็ถูกแรงระเบิดกระแทกเปิดออก ชายฉจรรย์อีกสามสิบกว่าคนในมือถือเกาทัณฑ์กระโจนร่างออกจากห้องหับภายในมารายล้อมผู้คนบนกราบเรือไว้สิ้น พายุลูกเกาทัณฑ์โหมกระหน่ำเข้าใส่คนของหมู่ตึกบูรพาอีกครั้ง!

ที่แท้พวกมันยังสุ่มมือเกาทัณฑ์อีกชุดหนึ่งไว้ในท้องเรือ!

ผู้คนทั้งหลายที่พึ่งต่อสู้จนเหนื่อยอ่อนต่างร่วงพล่อยลงตามๆกันที่ยืนหยัดอยู่ได้เหลือเพียงปึงเพียวเซาะ โยชิ ริวจิ ม่อย้งเพ็กเหล็ง อดีตหัวหน้าแซ่แชและแซ่ลี้ เวลานี้ต่างคนต่างยืนหันหลังชนกันปักหลักใช้อาวุธปัดป้องพายุลูกเกาทัณฑ์เป็นพลันวัน

นาคามูระ โยชิ หันไปมอง ปึงเพียวเซาะแวบหนึ่ง โดยมิต้องใช้การพูดจาปึงเพียวเซาะก็อ่านเจตนาของโยชิออก

ปึงเพียวเซาะผลักม่อย้งเพ็กเหล็งไปทางริวจิ “ดูแลนางด้วย” แล้วตนเองรีบถลันกายไปยืนกระหนาบข้างนาคามูระ โยชิ ในทันที

ยามนี้นาคามูระ โยชิ ควงดาบเร็วปานจักรผันรังสีดาบแผ่เป็นวงกว้างกลายเป็นม่านพลังผืนใหญ่สกัดลูกเกาทัณฑ์ไว้ได้อย่างชะงัด ร่างไม่สูงใหญ่แต่รวดเร็วยิ่งพุ่งถลาตรงเข้าใส่มือเกาทัณฑ์เบื้องหน้าอย่างบ้าบิ่น เหล่ามือเกาทัณฑ์พากันเล็งเป้าหมายไปยังร่างโยชิทันที!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงซึ่งกระหนาบอยู่ด้านข้างซัดก้อนหินออกคุ้มกันเปิดทางให้กับโยชิ มือเกาทัณฑ์อีกเจ็ดแปดคนล้มลงอย่างต่อเนื่อง เสียงกระดูกแตกดังกึงก้องไม่ขาดระยะ เหล่ามือเกาทัณฑ์เห็นพรรคพวกร่วงผลอยลงเรื่อยๆ ต่างคนเริ่มตื่นตระหนกจนระส่ำระสาย โยชิไม่สนใจว่าพวกมันจะอยู่ในอาการเช่นไรยังคงวาดดาบต่อเนื่องอย่างรวดเร็วอีกเจ็ดแปดคนล้มลงไปแล้ว!

ก้อนหินซัดใส่เงาดาบวาดตาม ปฏิกิริยามิได้ชักช้ากว่ากันสักนิด ชั่วอึดใจชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนก็หลงเหลืออยู่เพียงสามคนเท่านั้น! มือเกาทัณฑ์ทั้งสามที่หลงเหลืออยู่ต่างหวาดกลัวลนลานวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีลงไปยังห้องใต้ท้องเรืออย่างทุลักทุเล

นาคามูระ โยชิ และปึงเพียวเซาะยังไม่กล้าผลีผลามติดตามลงไป ด้วยเกรงพวกมันจะมีลวดลายซุกซ่อนอยู่อีก ริวจิหอบหายใจจนตัวงอหันไปดูคนของตนพบว่ามือดีของหมู่ตึกบูรพาที่ขึ้นเรือเล็กทั้งสามลำมาพร้อมกับพวกตนล้วนถูกฆ่าตายหมดสิ้น เพลิงโทสะลุกโพลงระเบิดขึ้นจนยากระงับ! ถลันร่างจะติดตามมือเกาทัณฑ์ที่หนีลงใต้ท้องเรือไป แต่กลับถูกโยชิดึงร่างขัดขวางไว้

ริวจิหันกลับไปมองยังเรือเล็กทั้งสามลำของตน บ้างพลิกคว่ำบ้างลอยห่างออกไป มองไกลออกไปเห็นเรือใหญ่ของพวกตนทั้งสามลำต่างเร่งแล่นตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในระยะห่าง เรือทั้งสามติดตามมายังไม่พ้นโค้งน้ำบริเวณที่เขาสองลูกขนาบกันด้วยซ้ำ เวลานี้พวกตนจึงยังไม่นับว่าปลอดภัยอาจยังมีเล่ห์กลใดซุกซ่อนอยู่อีกก็สุดที่จะคาดเดาได้ จริงดังคาดจู่ๆพลุไฟหลายอันถูกยิงขึ้นมาจากห้องใต้ท้องเรือควันสีเขียวเข้มลอยตลบอบอวนกลิ่นเหม็นคลุ้งออกมาจากพลุไฟเหล่านั้นแพร่กระจายครอบคลุมทั้งกราบเรืออย่างรวดเร็ว!

ม่อย้งเพ็กเหล็งร้องขึ้นเสียงหลง “ควันพิษ! รีบสกัดชีพจรเร็ว!”

ฉับพลันบังเกิดเสียงน้ำใต้ท้องเรือดังซู่ๆๆขึ้นรอบลำเรือ คนชุดดำหลายคนโดดขึ้นจากผิวน้ำใต้ท้องเรือ แหเหล็กหลายอันในมือชายชุดดำเหล่านั้นเหวี่ยงออกครอบคลุมคนทั้งหกไว้ทุกทิศ!

“ว้าย!” เสียงหวีดร้องของม่อย้งเพ็กเหล็งดังขึ้น ร่างอ้อนแอ้นถูกร่างแหมัดไว้แน่น ดาบใหญ่หลายอันฉวยจังหวะกลุ้มรุมฟาดฟันลงทันที!

ยังไม่ทันที่ดาบใหญ่จะสัมผัสร่างม่อย้งเพ็กเหล็ง ดาบยาวเล่มหนึ่งใช้ออกด้วยกระบวนท่าดาบพสุธาปัดดาบใหญ่พ้นร่างของนางอย่างเฉียบฉิว เป็นดาบของริวจิที่คลี่คลายสถานการณ์ได้ทันท่วงที แต่วิกฤตการณ์ยังไม่ผ่านพ้น ทันทีที่ใช้กระบวนท่าดาบพสุธาทั่วร่างของริวจิกลับอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงล้มลงอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ร่างแหเหล็กอีกอันเหวี่ยงคลุมลงบนร่างของริวจิในทันที โดยไม่รีรอดาบใหญ่สามอันรุมสับลงบนร่างของริวจิอย่างไม่ปราณี!

ริวจิใจหายวาบร่างที่ถูกร่างแหตรึงแน่นกลิ้งหลบไปอีกทางทันท่วงที สายตาเหลือบไปเห็นกระบี่ในมือคนชุดดำผู้หนึ่งกำลังจะจ้วงแทงไปที่ร่างของม่อย้งเพ็กเหล็ง พลันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายโผกายไปทับร่างของนางหมายรับคมกระบี่แทน!

เสียงกระบี่ชำแรกเข้าไปไปเลือดเนื้อดังก้องเชือดเฉือนจิตใจ โลหิตแดงฉานซาดกระเซ็นเปรอะไปทั่วร่างริวจิ แต่นั่นกลับไม่ใช่เลือดของบุรุษหนุ่ม!

อดีตหัวหน้าแซ่แชและแซ่ลี้ใช้ร่างรับคมกระบี่แทนกงจื้อของตน! โลหิตของทั้งคู่ย้อมร่างของริวจิและ ม่อย้งเพ็กเหล็งจนแดงฉานทั่วร่างหมดสติไปด้วยกันทั้งคู่

ก่อนที่กระบี่ทั้งสามเล่มจะกระหน่ำลงบนร่างของทั้งคู่อีก ปึงเพียวเซาะก็ถลันกายใช้ฝ่ามือฟาดชายชุดดำที่ถือกระบี่เต็มแรงจนร่างชายชุดดำทั้งสามปลิวไปชนขอบเรือเสียงกระดูกหักดังเกลียวกราว พลันใจหายวาบด้วยรู้สึกเรี่ยวแรงของตนสูญสลายไปกว่าครึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ!

“พาคุณชายลงเรือไปก่อน” โยชิตะโกนบอกปึงเพียวเซาะ ส่วนตนเองยังวาดดาบเข้าใส่กลุ่มคนชุดดำที่เหลืออยู่ไม่หยุดยั้ง พยายามสะกัดขวางทางป้องกันไม่ให้เข้าใกล้พวกปึงเพียวเซาะได้

ปึงเพียวเซาะเข้าใจสถานะการณ์เป็นอย่างดี พลังของตนกำลังลดลงอย่างรวดเร็วคงเป็นเพราะถูกพิษประเภทสลายพลังเข้าไป ท่านโยชิเองก็คงมีสภาพไม่ต่างกันตอนนี้คงกำลังฝืนต่อสู้อย่างเต็มที่ คุณชายริวจิกับน้องเพ็กเหล็งหมดสติไปแล้วจำต้องรีบขับพิษให้คนทั้งสองก่อน คิดได้ดังนั้นข้างหนึ่งคว้าแขนเพ็กเหล็งอีกข้างคว้าตัวริวจิรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ไม่มากพุ่งกายไปยังเรือเล็กลำหนึ่งที่มิได้พลิกคว่ำไป ก่อนโดดพ้นจากกราบเรือสายตายังเหลือบไปเห็นโยชิต้านทานเหล่าคนชุดดำอย่างหักโหม แต่ตอนนี้ชีวิตของริวจิและน้องเพ็กเหล็งกำลังแขวนอยู่ระหว่างความเป็นความตายต้องรีบขับพิษออกโดยด่วน หากชักช้าไปแม้สามารถรักษาชีวิตไว้แต่พลังฝีมืออาจถูกทำลายจนไม่อาจเรียกคืนได้

ปึงเพียวเซาะสกัดชัพจรตนเองหวังว่าสามารถสกัดพิษไว้ชั่วคราว ตั้งสติมั่นภาวนาให้ตนยังหลงเหลือเรี่ยวแรงพอที่จะช่วยขับพิษจากร่างคนทั้งสองและตนเองได้ พลางจับริวจิและเพ็กเหล็งนั่งพับพาบ เสียงต่อสู้ยังดำเนินต่อไปแต่ปึงเพียวเซาะไร้สภาพการรับรู้สรรพสิ่งรอบข้าง มุ่งมั่นเดินลมปราณขับพิษทันที

ครู่ใหญ่จึงรู้สึกร่างกายค่อยๆมีกำลังวังชาคืนมาบางส่วนพิษในร่างตนที่ถูกสกัดไว้ถูกขับออกจนเกือบหมดสิ้นแล้ว จึงลืมตาสำรวจรอบข้างอย่างระมัดระวังขณะนี้กลับมีเพียงพวกตนสามคน เสียงการต่อสู้บนเรือใหญ่เงียบหายไปพักใหญ่แล้ว ไม่ทราบท่านโยชิเป็นอย่างไรบ้าง

ปึงเพียวเซาะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง ‘เปรี้ยง!’ ราวอสนีบาตดังขึ้นจากอีกฝากของเรือใหญ่ที่ลอยตระหง่านอยู่ตรงหน้า นั่นเป็นเสียงอาวุธสองชนิดปะทะกันอย่างแตกหัก! ประสาทหูที่ปราดเปรียวแยกแยะได้ว่านั่นเป็นเสียงดาบขนาดใหญ่ปะทะกับดาบเรียวเล็กใบคมกริบ!

ในการต่อสู้ของยอดฝีมือการปะทะกันด้วยแรงอย่างหักโหมเช่นนี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้ที่ต่อสู้กันต้องมีฝีมือทัดเทียบสูสีกันอย่างยิ่ง เป็นผู้ใดกันที่สามารถปะทะดาบกับท่านโยชิอย่างหักโหมได้ถึงขนาดนี้!

แม้ท่านโยชิจะถูกพิษพลังลดทอนไปไม่น้อย แต่ทอดตาทั่วยุทธภพผู้ที่สามารถประดาบกับมือสังหารไร้รักได้ก็ยังนับคนได้อยู่ดี!

เสียงกึกก้องนี้ปลุกสติของริวจิให้พื้นขึ้นมาเช่นกัน “คุณชายปึง...ช่วยท่านโยชิ...” ริวจิเมื่อได้สติกลับคืนมากันสิ่งแรกที่มันคิดถึงคือความปลอดภัยของท่านโยชิ

ปึงเพียวเซาะยังลังเลพลังของตนยังไม่ฟื้นขึ้นเต็มที่ หากเผชิญสู้ต่อสู้ที่แข็งแกร่งไม่เพียงชีวิตตนแม้ชีวิตของคุณชายริวจิและน้องเพ็กเหล็งก็เกรงว่าอาจรักษาไว้ไม่ได้...

“คุณชายปึง...” ริวจิมองด้วยสายตาวิงวอน

ปึงเพียวเซาะตัดสินใจ หยิบไม้พายที่ล้มระเกะระกะอยู่ข้างกายจ้วงพายไปยังด้านหลังของเรือใหญ่อย่างระมัดระวัง เสียงการต่อสู้เงียบลงแล้ว ภาพด้านหลังเรือใหญ่ที่ปรากฏต่อตาของปึงเพียวเซาะและริวจิมีแต่ความว่างเปล่าไร้บุคคลใดๆ แต่แล้วสายตาของปึงเพียวเซาะก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งพาดอยู่บนซากไม้ที่แตกจากลำเรืออย่างไร้สติ เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบว่าร่างนั้นสวมใส่ชุดสีเขียว!

นั่นเป็นร่างของ นาคามูระ โยชิ!

หลังจากเรือใหญ่ทั้งสามลำของหมู่ตึกบูรพาตามมาทัน เหล่าหัวหน้าสาขาที่เหลือรีบพาคนทั้งสี่ขึ้นมารักษาพยาบาลยังห้องพักบนเรือใหญ่ทันที ซินแสของหมู่ตึกบูรพารีบให้ยาสกัดพิษกับคนทั้งสี่ หัวหน้าแซ่เซียรีบเดินพลังขับพิษให้โยชิ หัวหน้าแซ่ลี้ขับพิษให้ริวจิ ปึงเพียวเซาะซึ่งขับพิษในกายไปกว่าครึ่งแล้วเดินพลังขับพิษให้ม่อย้งเพ็กเหล็ง

ผ่านไปไม่ถึงชั่วน้ำเดือดก็สามารถขับพิษให้ริวจิและม่อย้งเพ็กเหล็งจนหมดสิ้นแต่โยชิกลับยังไม่ได้สติ

ปึงเพียวเซาะนั่งพับพาบเดินพลังขับพิษที่ยังหลงเหลือในกายตน พลังลมปราณของปึงเพียวเซาะกล้าแข็งอย่างยิ่งจริงๆ แม้โดนพิษสลายพลังยังสามารถเร่งพลังขับพิษให้ตนเองและริวจิกับม่อย้งเพ็กเหล็งได้ทันท่วงที ก่อนที่พิษจะเข้าสู่ชีพจรสำคัญนับเป็นช่วงเวลาที่ฉิวเฉียดอย่างยิ่ง แต่หากโยชิไม่สกัดเหล่าคนชุดดำไว้เปิดโอกาสให้ปึงเพียวเซาะมีเวลาขับพิษน่ากลัวคนทั้งสามคงมีสภาพไม่ต่างกับโยชิตอนนี้แล้ว

แล้วอาการของโยชิเป็นเช่นไร!

กระทั่งจนปึงเพียวเซาะขับพิษในกายจนหมดเป็นคนสุดท้ายอาการของโยชิก็ยังไม่วี่แววว่าจะดีขึ้น

ร่างที่เคยทรนงองอาจสร้างความครั่นคร้ามให้ผู้พบเห็นนอนแซ่วอยู่บนเตียงอย่างปราศจากกำลังวังชา ใบหน้าที่โรยราเกินกว่าอายุที่แท้จริงอยู่มาก บัดนี้ยิ่งหมองคล้ำไร้สง่าราศีราวกับเป็นคนสูงอายุร่างกายอ่อนแอผู้หนึ่งกำลังนอนหลับไหล

“ท่านโยชิ ถูกพิษอะไรกันแน่!” ริวจิหน้าซีดเผือด ขอบตาแดงกล้ำ น้ำตาคลอเบ้า ยืนตัวสั่นอยู่ข้างกายนาคามูระ โยชิ ความวิตกกังวลพลุ่งพล่านขึ้นจนยากระงับ

“เป็นพิษสลายลมปราณเช่นเดียวกับพวกเรา” ม่อย้งเพ็กเหล็งกล่าวขึ้น

ขณะนี้หัวหน้าแซเซียกับแซ่ลี้ผลัดเปลี่ยนกันเดินพลังขับพิษให้โยชิอย่างสุดความสามารถ แต่กลับไร้ผลอาการของโยชิไม่มีวี่แววว่าจะกระเตื้องขึ้นแม้แต่น้อยแขนขายังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ใบหน้ายิ่งซีดเซียวลงทุกขณะ

กระทั่งซินแสยังส่ายหน้าอับจนปัญญา ได้แต่กล่าวอย่างอ้ำๆอึ้งๆ “ท่านโยชิใช้พลังมากเกินไปเป็นเหตุให้พิษแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดชีพจรสำคัญถูกกระทบกระเทือนเกรงว่าตอนนี้...หนทางช่วยเหลือ...”

ริวจิตะคอกใส่คนรอบข้างอย่างเดือดดาล “พวกเราก็โดนพิษเช่นกัน แค่เดินพลังก็สลายพิษไปจนสิ้น แต่ทำไมท่านโยชิกลับอาการหนักเช่นนี้!”

“เป็นเพราะท่านโยชิใช้พลังมากไปพิษเช่นนี้ ยิ่งออกแรงมากยิ่งออกฤทธิ์รุนแรงยิ่ง”

“ข้าจะลองขับพิษให้ท่านโยชิ” ปึงเพียวเซาะนั่งพับพาบลงหันหน้าไปยังโยชิทาบฝ่ามือเร่งเดินลมปราณอย่างรวดเร็วขุมพลังแข็งแกร่งแผ่สู่ร่างโยชิราวทำนบกั้นเขื่อนพังทลาย เพียงชั่วครู่สีหน้าที่ซีดเซียวเริ่มปรากฏสีเลือดจางๆแผ่ซ่านขึ้น แขนที่ไร้เรี่ยวแรงสามารถขยับนิ้วได้เล็กน้อย ดวงตาค่อยๆลืมขึ้นทีละน้อย

“ท่านโยชิได้สติแล้ว...” สีหน้าริวจิปีติอย่างยิ่ง

แต่โยชิสามารถลืมตาขึ้นมาได้เพียงครู่เดียวก็กลับหมดสติไปอีก

ริวจิมองปึงเพียวเซาะ แววตาไต่ถาม

“ข้าเพียงสามารถระงับพิษไว้ได้อีกระยะเวลาหนึ่ง เพียงสามารถยืดเวลาได้จนถึงค่ำวันนี้เท่านั้น...”

“ทำไมท่านสามารถขับให้กับข้าพเจ้า แม่นางเพ็กเหล้งและตัวท่านเองพร้อมกันได้ ทำไมถึงขับพิษให้ท่านโยชิไม่ได้!”

ปึงเพียวเซาะได้แต่ทอดถอนหายใจ “พิษสลายพลังที่พวกมันใช้ยังมิใช่ชนิดที่ออกฤทธิ์รุนแรงและเฉียบพลันขอเพียงไม่ใช้แรงมากจนมากเกินไปการขจัดพิษออกจากร่างมิใช่เรื่องที่ยากลำบาก...แต่อย่างที่ท่านซินแสพูด...ท่านโยชิฝืนใช้พลังมากเกินไปเร่งให้พิษแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดทั่วร่างแล้ว ไม่สามารถใช้ให้วิธีเดินพลังเพื่อขับพิษได้อีกแล้ว...”

ริวจิยังไม่สามารถระงับโทสะได้ “พวกแก๊งมังกรวารีดำ! ไม่เพียงปล้นชิงทั้งยังลอบทำร้ายพวกเราข้าพเจ้าจะต้องให้พวกมันชดใช้!”

“นี่เป็นการกระทำของแก๊งมังกรวารีดำหรือไม่ยังไม่อาจสรุปได้...ข้าใครครวญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพบเรื่องที่น่าสงสัยหลายประการ เกรงว่าสิ่งที่พวกมันต้องการไม่ใช่ปล้นชิงเรือสินค้าเสียแล้ว” หลังตรึกตรองเหตุการณ์ทั้งหมดปึงเพียวเซาะจึงกล่าวอย่างมั่นใจ

สีหน้าริวจิแตกตื่นอย่างยิ่ง “ท่านว่าอะไร!”

“ข้าคิดว่าความต้องการที่แท้จริงของพวกมันคือจัดการกับท่านโยชิ!” ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างเงียบขรึม

“อะไรนะ!” ริวจิยิ่งตกตะลึงพรึงเพริด มันไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย

“พวกมันตระเตรียมผู้คนฝีมือดีวางแผนหลอกล่ออย่างแยบยล ไหนเลยมุ่งหวังเพียงเรือสินค้าลำเดียว ตามที่ข้าคิดพวกมันวางแผนไว้ตั้งแต่แรก แกล้งปล้นชิงสินค้าหมายให้พวกท่านออกตามมา จากนั้นทำเป็นว่าจอดเรือที่ฝั่ง ให้เข้าใจว่ากำลังลำเลียงสินค้าขึ้นฝั่ง พวกมันคำนวนไว้แล้วว่าเราคงเรือเล็กเข้าจู่โจมพวกมันโดยไม่ให้รู้ตัว แต่กลายเป็นว่าพวกมันกลับแล่นเรือใหญ่ย้อนมาดักลอบโจมตีที่หลังโค้งน้ำ...ล่อให้เราขึ้นเรือแล้วใช้พิษสลายพลังที่ไม่รุนแรงนัก สุ่มนักฆ่าจู่โจมให้พวกเราต้องใช้พลังพิษจะได้ยิ่งกำเริบ”

“ถ้าเป็นอย่างที่พี่ว่า แผนของพวกมันรัดกุมมาตลอดจริงๆ แต่ไฉนไม่ใช้พิษที่รุนแรงกว่านี้ เช่นนั้นใยมิใช่สามารถจัดการกับเราทุกคนได้แล้ว” ม่อย้งเพ็กเหล็งตั้งข้อสงสัยขึ้น

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงส่ายหน้าไปมา “แผนของพวกมันรัดกุมอย่างยิ่งมาโดยตลอดไม่มีช่องว่างจริงๆ”

“หรือการที่มันเลือกใช้พิษชนิดนี้ยังมีสิ่งใดแอบแฝงอีก” ริวจิถามอย่างสงสัย

“ถ้าเจ้ารู้ตัวว่าถูกพิษสลายพลังเข้าโดยเฉียบพลันเจ้าจะทำอะไรเป็นสิ่งแรก”

“หนี!”

“ถูกต้อง!...ที่มันใช้พิษที่ไม่รุนแรงเพราะต้องการให้เราเลินเล่อ มันไม่ต้องการให้เราคิดหนีในทันที พวกมันย่อมรู้ดีด้วยฝีมือนักฆ่าเหล่านั้นไม่มีทางทำอันตรายพวกเราได้ พลังฝีมือของท่านโยชิสามารถจัดการกับคนชุดดำเหล่านั้นจนสิ้นแล้วค่อยขับพิษออกจากร่างก็ยังมีเวลาอีกถมไป แต่เพราะคิดเช่นนั้นจึงหลงกลพวกมัน...ข้าคิดว่าพวกมันต้องมียอดฝีมือรอต่อสู้กับท่านโยชิเป็นคนสุดท้ายพยายามต่อสู้ติดพันเพื่อให้ท่านโยชิสูญเสียพลังพิษจะได้ยิ่งกำเริบเร็วขึ้น...คนผู้นี้จึงเป็นมือสังหารที่แท้จริง!”

“หรือพวกมันไม่ใช่แก๊งมังกรวารีดำ! หากไม่ใช่พวกมันจะเป็นใครกันแน่!”

เมื่อได้ยินคำพูดของปึงเพียวเซาะ ม่อย้งเพ็กเหล็งถึงกับเหงื่อซึม ร่างกายเย็นเยียบคล้ายคิดถึงเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาอีกครั้ง หน้าซีดเซียวก้มต่ำไม่ยอมสบตากับผู้ใด กล่าวอย่างแผ่วเบา

“พวกมันคือแก๊งมังกรวารีดำไม่ผิดหรอก”

ริวจิเห็นท่าทีแปลกประหลาดของม่อย้งเพ็กเหล็ง จึงคาดคิดว่านางต้องรู้เรื่องมากกว่าพวกตนแน่ ตะคอกถามนางอย่างเดือดดาล “เจ้ารู้จักพวกมันใช่ไหม! ยังมีสิ่งใดที่เจ้ารู้อีกบ้างบอกมาเดี๋ยวนี้...หรือที่เจ้าอ้ำอึ้งเพราะเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอี้แป๊ะเฮาะ!”

“ศิษย์พี่ไม่เกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้หรอก แต่เมื่อหลายปีก่อนศิษย์พี่กลับมาพักที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาเกือบครึ่งปีเพราะมีอาการบาดเจ็บไม่น้อย บอกว่าเพราะต่อสู้กับโจรสลัดแก๊งมังกรวารีดำ หัวหน้าของมันใช้ดาบใหญ่สวมหมวกปีกกว้างปิดหน้าตา มันมีฝีมือพอๆกับพี่แป๊ะเฮาะเลยทีเดียว ดาดว่าที่สู้กับท่านโยชิคงจะเป็นมัน...”

“แม้แต่อี้แป๊ะเฮาะยังได้รับบาดเจ็บหรือนี่...!” ริวจินิ่งอึ้งไป

ปึงเพียวเซาะยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีกโจรสลัดผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ถึงกับมีฝีมือสูสีกับพี่แป๊ะเฮาะและท่านโยชิ ตนคิดไม่ออกจริงๆว่าในยุทธภพปัจจุบันมีใครมีฝีมือขนาดนี้ หรือตนเหินห่างยุทธภพนานเกินไปแล้ว

“พวกมันต้องการอะไรถึงคิดกำจัดท่านโยชิ” ริวจิทรุดร่างลงข้างนาคามูระ โยชิ อย่างสิ้นเรี่ยวแรง

“ย่อมเป็นคัมภีร์พันอักษร” ปึงเพียวเซาะเน้นน้ำเสียงหนักแน่น

“ใช่! หากกำจัดท่านโยชิได้คนผู้นั้นถึงมีโอกาส...มันต้องเป็นคนที่สามารถช่วงชิงได้...ผู้ที่สามารถแย่งชิงกับท่านโยชิได้และมีขุมกำลังกล้าแข็งขนาดนี้...จอมโจรเสเพลเซียวเซียน!” ริวจิโพล่งออกมา “หรือเป็นมัน!”

“ต้องไม่ใช่แน่ เซียวเซียนมีขุมกำลังอยู่ทางเหนือ ทั้งยังไม่เคยได้ยินว่าทำตัวเป็นโจรสลัด มิหนำซ้ำอาวุธที่มันใช้มิใช่ดาบใหญ่”

“อาวุธอาจเปลี่ยนกันได้!”

“หากมันเปลี่ยนอาวุธเท่ากับฆ่าตัวตาย เพราะจุดเด่นของเซียวเซียนอยู่ที่วิชาตัวเบา มันต้องไม่ด้อยไปกว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยแน่นอน ที่นี่เป็นน้ำมันไม่สามารถใช้ปมเด่นของมันได้เต็มที่ มันจึงเสียเปรียบอย่างยิ่ง หากเป็นมันจริงต้องต้านทานท่านโยชิไม่ได้แน่”

“พวกมันจะเป็นใครก็ช่าง จะหาทางรักษาท่านโยชิยังไง” ริวจิกุมขมับอย่างอับจนปัญญา

“คงมีเพียงเซียนแพทย์ไร้ใจที่ช่วยได้” เมื่อเห็นริวจิเศร้าโศกเสียใจจนเกือบคุมสติไม่อยู่เช่นนี้ ม่อย้งเพ็กเหล็งรู้สึกสงสารริวจิขึ้นมาอย่างจับใจ หวดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่หากมิใช่เขาถลันกายรับกระบี่แทน ตนคงเสียชีวิตอยู่บนเรือลำนั้นแล้ว

ปึงเพียวเซาะกล่าวว่า “ข้าพึ่งแยกจากนางมาเมื่อเช้า”

“อย่างนั้นเรารีบกลับเมืองจุงกิงกันเดี๋ยวนี้” ริวจิโพล่งขึ้นทันที

“กว่าจะกลับไปถึงเมืองจุงกิงยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งค่อนวัน ทั้งยังไม่ทราบตอนนี้พวกออกนางเดินทางไปแล้วหรือไม่เกรงว่าท่านโยชิ...” ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างครุ่นคิด

ม่อย้งเพ็กเหล็งสังเกตสภาพป่าเขาริมฝั่งแม่น้ำแล้วดวงตาพลันฉายแววยินดีจนเปี่ยมล้น

“มีอีกคนที่ยังช่วยท่านโยชิได้!”

“ใคร” ริวจิร้องถามอย่างดีใจ

ปึงเพียวเซาะเมื่อมองสภาพริมฝั่งน้ำก็ฉุกคิดขึ้นมาได้เช่นกัน “เจ้าหมายถึง!...”

ม่อย้งเพ็กเหล็งหันไปมองปึงเพียวเซาะพยักหน้าน้อยๆ “ใช่ท่านพี่ของข้า!”

“เวลาเช่นนี้เจ้ายังพูดเล่นอยู่อีก!” ริวจิไหนเลยจะเชื่อว่าพี่ของนางจะช่วยได้ยิ่งฉุนเฉียวขึ้นมาอีก

“นางมิได้เหลวไหลเมื่อไม่รู้จะหาตัวสองเซียนได้ที่ไหน ก็มีแต่บ้อเอี้ยไต้ซือเท่านั้นที่ช่วยท่านโยชิได้!” ปึงเพียวเซาะกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นมั่นใจอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น: