วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 13)




: บทที่ 13.

อารามบ้อเมี่ยความจริงตั้งอยู่ไม่ห่างจากหมู่ตึกพันอักษร หากเดินทางด้วยรถม้าใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็บรรลุถึง แต่ปึงเพียวเซาะไม่มีรถม้า ดังนั้นได้แต่ใช้วิชาตัวเบาโลดลิ่วไปอย่างไม่หยุดยั้ง

มันเลาะแนวป่าเข้าสู่ทางเดินเท้า ถึงอย่างไรการเดินตามแนวทางเดินเท้าย่อมต้องสะดวกรวดเร็วกว่าการลัดเลาะไปในป่าอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังอาจสืบข่าวความเคลื่อนไหวของหมู่ตึกบูรพาได้บ้าง

ปึงเพียวเซาะยิ่งครุ่นคิด ยิ่งร้อนรุ่มใจ เหตุใดกระบี่ของพี่น้องตระกูลลิ้ม จึงตกอยู่ในมือบุรุษชุดดำทั้งห้าได้?

น้องปวยฮวยกับน้องเอ็งฮวยถูกจับหรือ!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงคิดประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันได้เจอมา

เริ่มต้นจากกลุ่มคนลึกลับ ซึ่งต้องการจับตัวพี่น้องตระกูลลิ้มที่ศาลาหินนอกเมือง บุรุษหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าขบวนคนนั้น มองแวบเดียวก็ดูออกว่า ต้องมิใช่มีฝีมือธรรมดาสามัญแน่นอน มันเป็นบุคคลลึกลับคนที่หนึ่ง!

เรือของหมู่ตึกบูรพาที่ถูกชิงไป หัวหน้าแก๊งมังกรวารีดำซึ่งสามารถต่อสู้กับท่านโยชิ และพี่แป๊ะเฮาะได้อย่างสูสี มันเป็นบุคคลลึกลับคนที่สอง!

ผู้ที่ลอบเข้ามาทำร้ายบ้อเอี้ยไต้ซือใช่เป็น บุคคลลึกลับคนที่หนึ่งและคนที่สองหรือไม่? ถ้ามิใช่ก็ต้องมีบุคคลลึกลับคนที่สาม!

แลัวยังมือกระบี่ชุดดำทั้งห้าอีก ฝีมือของพวกมันมิได้ด้อยไปกว่ามือกระบี่อันดับต้นๆ ในยุทธภพอย่างแน่นอน แม้พวกมันทั้งห้ามีฝีมือร้ายกาจ แต่การเอาชนะสองเซียนตระกูลลิ้มย่อมมิใช่เรื่องง่ายดาย คาดว่าคงต้องมีผู้ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังพวกมัน หรือยังมีบุคคลลึกลับคนที่สี่!

หรือบุคคลลึกลับทั้งสี่แท้จริงเป็นบุคคลเดียวกัน!

ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เซียนแพทย์กับเซียนพิษจะถูกมอมยา หรือฝีมือของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ยังร้ายกาจกว่าดรรชนีหยาดพิรุณของตระกูลลิ้ม!

ผู้ที่จับกุมตัวบ้อเอี้ยไต้ซือ ท่านโยชิและน้องเพ็กเหล็งย่อมต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นไหนเลยรับมือดรรชนีวชิระของบ้อเอี้ยไต้ซือ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากเจ้าอาวาสวัดเสี้ยวลิ้มได้!

บ้อเอี้ยไต้ซือ ท่านโยชิ พี่น้องตระกูลลิ้มล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของยุทธภพ เหตุใดจึงเกิดเหตุเภทภัยขึ้นพร้อมๆกัน?

กรณีเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวเนื่องกันหรือเป็นเพียงความบังเอิญ?

ปึงเพียวเซาะหนอ...ปึงเพียวเซาะ ในโลกนี้ไหนเลยมีเหตุบังเอิญคล้องจองติดต่อกันปานนี้!

เรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยวกัวอย่างที่ริวจิคาดเดาหรือไม่?

ใช่นางเป็นคนล่อตนให้ออกมา เพื่อเปิดโอกาสให้คนร้ายลงมือหรือไม่?

ถ้าเป็นนั้นจริงตนควรทำอย่างไร!

เรื่องประดานี้มันกลับไม่มีเบาะแสให้สืบค้นแม้แต่น้อย...

ตอนนี้มันทราบเพียง เมฆหมอกร้ายได้ปกคลุมยุทธภพอีกครั้งหนึ่งแล้ว!

การค้นหาร่องรอยของบ้อเอี้ยไต้ซือ ท่านโยชิ พี่น้องตระกูลลิ้มต้องหวังพึ่งบัณฑิตไร้ร่องรอย

เหตุการณ์เฉพาะหน้ารีบด่วนที่มันต้องไปกระทำก่อนคือ เร่งรุดไปสกัดริวจิที่หมู่ตึกพันอักษร มิให้กงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาก่อเหตุสร้างเรื่องจนลุกลามใหญ่โต

ความจริงมันไม่คิดยุ่งกับเรื่องราวในยุทธภพอีกแล้ว แต่ความเข้าใจผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินไป หากไม่ยับยั้งไม่ทราบต้องมีผู้คนล้มตายมากมายเท่าไหร่ มันไหนเลยไม่ยุ่งเกี่ยวได้ ยิ่งตนมีส่วนบกพร่องก่อให้เกิดเรื่องราวในครั้งนี้ด้วยยิ่งต้องยื่นมือเข้าแก้ไข

ปึงเพียวเซาะสลัดความคิดทั้งหมดออกจากสมอง เร่งเดินพลังพลิ้วกายดุจเหาะเหิน โลดแล่นเดินทางไปยังหมู่ตึกพันอักษรทันที

เร่งรุดเดินทางอีกราวหนึ่งชั่วยาม มันก็พบเรื่องประหลาดประการหนึ่ง

บนทางเท้าเบื้องหน้า ปรากฏรถม้าคันใหญ่กำลังแล่นอยู่ ทั่วตัวรถคลุมผ้าปกปิดภายในอย่างมิดชิด รอบรถคันนั้นคุ้มกันด้วยบุรุษฉกรรจ์หลายสิบคน มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวยุทธมีฝีมือมิใช่เบาทั้งสิ้น ดูจากการตกแต่งรถม้าคล้ายเป็นขบวนของคหบดีหรือขุนนางสำคัญ

เหตุนี้เองจึงเป็นเรื่องแปลกประหลาด?

ปกติขบวนของคหบดีหรือเหล่าขุนนางไหนเลยยินยอมเดินทางตามเส้นทางเล็กแคบเช่นนี้ คนเหล่านั้นชมชอบเดินทางตามถนนสายใหญ่ เนื่องเพราะพวกมันนิยมให้ผู้คนชื่นชมความโอ่อ่าร่ำรวยของพวกมัน ทางเล็กแคบที่ปราศจากผู้คนสัญจรเช่นนี้พวกมันไม่เคยชมชอบเสมอมา

แต่จะอย่างไรนี่มิใช่เรื่องที่มันต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยังคงเร่งรุดเดินทางจะดีกว่า...

ถึงมันคิดเช่นนั้น แต่การจะผ่านผู้คนขบวนนี้กลับมิง่ายดายอย่างที่คิด

เนื่องเพราะเส้นทางนี้เป็นเพียงทางเดินเท้าสายเล็ก รถม้าคันใหญ่เช่นนี้วิ่งเพียงคันเดียวก็เกือบเต็มทางแล้ว ไหนจะยังมีขบวนผู้คนนับสิบอีก มันจะผ่านไปได้อย่างไร?

หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน มันคงพุ่งทะยานฝ่าคนกลุ่มนี้อย่างไม่ใยดี แต่ในเวลาเช่นนี้ย่อมมิควรก่อเรื่องราวใด มันยังมีงานเร่งด่วนรออยู่

ปึงเพียวเซาะจึงคิดเลาะแนวป่าข้างทาง แล้วอ้อมไปทะลุที่เบื้องหน้าขบวน หากทะลุไปข้างหน้าได้ก็คงทิ้งผู้คนขบวนนี้ไปไกลแล้ว คิดดังนั้นประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงจึงโผกายเข้าไปในแนวป่าข้างทางทันที

ขณะที่ร่างปราดเปรียวกำลังพลิ้วกายผ่านรถม้าคันใหญ่ ประสาทหูที่ว่องไวพลันได้ยินเสียงผู้คนสนทนา อย่างแผ่วเบาดังลอดออกจากรถม้าคันใหญ่นั้น

สุ้มเสียงที่ดังออกจากรถม้าคันนั้น ทำให้เลือดในกายของบุรุษหนุ่มเย็นเฉียบยิ่งกว่าหิมะน้ำแข็ง!

เนื่องเพราะหนึ่งในสุ้มเสียงนั้น เป็นเสียงของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!

พี่แป๊ะเฮาะไฉนอยู่ในรถม้าคันนั้นได้? มันฟังผิดพลาดหรือไม่?

ปึงเพียวเซาะรีบชะลอความเร็วลง เปลี่ยนเป็นวิ่งขนาบไปกับรถม้าคันนั้น คอยเงี่ยหูฟังการสนทนาของผู้คนในรถม้า

ผู้คนในรถม้ายังคงสนทนากันต่อไป

สุ้มเสียง***มหาญของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวว่า “สิบกว่าปีแล้ว...ท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย...”

เสียงแหลมเล็กเสียดแก้วหูของบุรุษอีกคนขัดขึ้น “ตอนนี้ท่านสมควรตอบคำถามของเราได้แล้ว หรือสิบปีที่ผ่านมายังไม่เพียงพอให้ท่านหาข้อแก้ตัว!”

บุรุษเจ้าของเสียง***มหาญกล่าวว่า “ท่านเม้ง มิต้องรีบร้อนเกินไป เมื่อถึงหมู่ตึกพันอักษรความจริงต้องกระจ่างอย่างแน่นอน”

บุรุษเจ้าของเสียงแหลมเล็กกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเพียงเกรงว่า ระหว่างเดินทางคนผู้นี้จะยังมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่อีก”

บุรุษเสียง***มหาญกล่าวน้ำเสียงภาคภูมิยิ่ง “มันโดนฝ่ามือหิมะเยือกของข้าพเจ้ามิใช่เบา คาดว่านอกจากเซียนแพทย์ผู้นั้น ข้าพเจ้านึกไม่ออกจริงๆว่า ใครจะสามารถถอนพิษไอเย็นจากตัวมันได้ ท่านไม่ควรวิตกจนเกินไปนัก”

สุ้มเสียงทุ้มกังวานอีกเสียงหนึ่ง แทรกขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ที่ท่านแป๊ะกล่าวมิเกินเลยไปจริงๆ ฝ่ามือหิมะเยือกของท่านร้ายกาจยิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่ายังเหนือล้ำกว่าเทพพู่กันคู่ยะเยือกศิษย์พี่ของท่านอีกหลายส่วน นอกจากเซียนแพทย์ตระกูลลิ้มแล้ว ไม่มีผู้ใดที่สามารถช่วยขจัดพิษไอเย็นในตัวข้าพเจ้าได้”

คราวนี้ปึงเพียวเซาะได้ยินเสียงทุ้มกังวานของบุรุษผู้นั้นอย่างชัดเจน มันถึงกับโพล่งออกมาอย่างแตกตื่น!

“พี่แป๊ะเฮาะ!”

จากการสนทนาประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงทราบชัด อี้แป๊ะเฮาะถูกกลุ่มคนเหล่านี้กุมตัวไว้ ฟังจากสุ้มเสียงของอี้แป๊ะเฮาะแสดงว่าได้รับบาดเจ็บมิใช่เบา ตอนนี้มันไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้ว โผร่างทะยานขึ้นเหนือยอดไม้สูง พลิ้วกายลิ่วอ้อมขบวนผู้คน ลงมาดักหน้ารถม้าคันใหญ่ทันที

บุรุษฉกรรจ์หลายสิบคนต่างตะลึงงันกับการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของบุรุษแปลกหน้า พวกมันต่างชักอาวุธออกมาตระเตรียมครบมือ

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างเคร่งขรึม “คนที่พวกท่านกุมตัวอยู่ในรถ เป็นสหายของข้าพเจ้า”

บุรุษฉกรรจ์เหล่านั้นสบตากันวูบ พวกมันไม่กล่าวสิ่งใด ต่างคนต่างกระชับอาวุธในมือ แยกย้ายกันเข้ากลุ้มรุมปึงเพียวเซาะในทันที!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงแค่นหัวเราะ วาดฝ่ามือทั้งซ้ายขวาหมุนวนรอบตัวอย่างรวดเร็วมิหยุดยั้ง! กอปเป็นคลื่นอากาศพลังมหาศาล บังคับกระแสอากาศรอบกายเกิดเป็นเกลียวพายุรุนแรงหอบใหญ่!

พริบตานั้น ฝุ่นฝง ดินละเอียดบนพื้นล้วนฟุ้งกระจายจนรอบตัวมัน คล้ายคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ม้วนหอบใบไม้รอบบริเวณเข้าไว้ในเกลียวแกนกลางพายุ

มันเปล่งเสียงคำรามก้อง! ฟาดพลังฝ่ามือทั้งสองข้างใส่กลุ่มชายฉกรรจ์กว่าสิบคนนั้นเต็มแรง!

พลังกระแสวายุถึงกับผลักดันใบไม้พลิ้วบางเหล่านั้นจนกลายเป็นดั่งอาวุธซัด! พุ่งเข้ากระแทกจุดชีพจรของเหล่าชายฉกรรจ์อย่างแม่นยำ!

ทันทีที่พลังฝ่ามือฟาดออก เหล่าชายฉกรรจ์อาวุธครบมือ ต่างมีโอกาสส่งร้องขึ้นเพียงหนึ่งคำ!

ร่างกายพวกมันล้มลงกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นดุจใบไม้ร่วง!

พวกมันล้มลงโดยไม่ตัวด้วยซ้ำว่าถูกทำร้ายเยี่ยงไร!

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น!

ปึงเพียวเซาะกล่าวอีกประโยค “พวกท่านที่อยู่ภายใน ขอให้ส่งตัวพี่แป๊ะเฮาะให้ข้าพเจ้าด้วย”

ประตูรถคันใหญ่เปิดออก บุรุษร่างสูงใหญ่อายุราวสามสิบเศษผู้หนึ่ง ก้าวลงมาจากรถม้าอย่างไม่รีบร้อน มันมิใช่จอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ

ปึงเพียวเซาะไม่ทราบ คนผู้นี้เรียกว่าอะไร “ท่านคือ...”

บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั่นยืนมือไขว้หลังอย่างทรนง ท่าทาง***มหาญ ดวงตากลมโตเป็นประกาย คิ้วดกหนา โหนกแก้มนูนสูงแสดงชัดพลังภายในของมันต้องแกร่งกร้าวไม่น้อย สีหน้าเคร่งเครียด เหนือริมฝีปากไว้หนวดเรียวงาม ขับให้บุคลิกของมันภูมิฐานยิ่ง มันแต่งกายด้วยชุดต่วนเนื้อดี ที่เอวยังห้อยหยกขาวแผ่นใหญ่ชิ้นหนึ่ง มองไปคล้ายคหบดีร่ำรวย

แต่หากมองที่มือทั้งคู่ของมันความคิดเช่นนั้นต้องแปรเปลี่ยนไปแล้ว!

เนื่องเพราะต้องไม่มีคหบดีที่มีมือเช่นนี้แน่!

มือทั้งคู่ของมันซีดขาวยิ่ง! ซีดขาวไร้โลหิตประดุจมือของซากศพ!

ประกายตาเจิดจ้าจ้องมองปึงเพียวเซาะอย่างดูแคลน แน่ล่ะสารรูปของปึงเพียวเซาะในตอนนี้ยังมอซออย่างยิ่ง ทั้งยังเหม็นกลิ่นสุราเต็มตัวมิผิดไปจากขี้เมาตามท้องถนน บุรุษผู้นั้นหันไปมองเหล่าชายฉกรรจ์บริวารนับสิบของมัน ซึ่งบัดนี้นอนแน่นิ่งอยู่เกลื่อนพื้น แล้วแค่นหัวเราะในลำคอ

บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นกล่าว***มหาญกังวาน “ทารกน้อยผู้นี้ดูเหมือนมีอยู่ท่าสองท่า”

“ท่านแป๊ะ มิทราบท่าสองท่านั้นเป็นอย่างไร” เสียงแหลมเล็กขัดหูดังขึ้น บุรุษอีกผู้หนึ่งร่างผอมเกร็งก้าวตามลงมาจากรถม้า ร่างของมันซูบผอมเหมือนคนอมโรค หน้าตายิ่งซูบซีดไร้สง่าราศี คล้ายแก่ชราอย่างยิ่ง แต่ท่วงท่าที่กระฉับกระเฉงของมัน กลับบ่งบอกว่าอายุมิควรเกินสี่สิบเศษ ดวงตาทั้งคู่ขุ่นมัวลึกโตแต่กลับแวววาวซ่อนประกายคมกริบ

มันแต่งกายด้วยชุดหรูหรายิ่งกว่าบุรุษร่างสูงใหญ่แซ่แป๊ะเสียอีก เสื้อผ้าแพรวพราวไปด้วยกระดุมทอง ฝักกระบี่ในมือประดับอัญมณีเม็ดใหญ่เจ็ดเม็ด บนด้ามกระบี่ยังฝังอัญมณีอีกสองเม็ด!

บุรุษแซ่แป๊ะมองเหล่าบริวารบนพื้นอีกครั้งแล้วกล่าว “คาดว่าคงเป็นอาวุธลับขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ซัดออกพร้อมกันหลายสิบชิ้น ระดับความแม่นยำและรวดเร็วไม่เลวจริงๆ”

“ผู้เชี่ยวชาญอาวุธลับเช่นนี้ ดูเหมือนจะเหมาะกับกระบี่ของข้าพเจ้ามากกว่าวิชาฝ่ามือของท่าน?”

บุรุษแซ่แป๊ะหัวเราะเสียงดัง “ในเมื่อท่านเม้งกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าไหนเลยกล้าขัด”

ปึงเพียวเซาะทราบแล้ว บุรุษร่างสูงใหญ่แซ่แป๊ะ ใช่แป๊ะทิเอ็ง? ศิษย์ผู้น้องของเทพพู่กันคู่ยะเยือกที่ถอนตัวจากยุทธภพ ไปอยู่นอกด่านเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหรือไม่? ลือกันว่าคนผู้นี้นิสัย***มหาญหยิ่งทนง ทั้งยังมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมกว่าศิษย์พี่ของมันอีก แต่เนื่องเพราะมันมีเรื่องขัดแย้งกับศิษย์พี่ จึงไปออกอาศัยอยู่นอกด่าน ตั้งแต่นั้นมันไม่เคยกลับเข้าตงง้วนอีกเลย มันไฉนกุมตัวพี่แป๊ะเฮาะไว้?

บุรุษร่างซูบผอมแซ่เม้ง กระบี่ของมันฝังอัญมณีเจ็ดเม็ดไว้ที่ฝัก อีกสองเม็ดไว้ที่ด้ามกระบี่ หรือจะเป็นเม้งตีตู เจ้าของกระบี่เก้ามรกตสลายชีพที่อาศัยอยู่ถิ่นอัศดงคต? มันอยู่ไกลปานนั้นไฉนเดินทางเข้าตงง้วน?

ปึงเพียวเซาะกล่าว “ท่านคือแป๊ะทิเอ็ง? ส่วนอีกท่านใช่เม้งตีตูหรือไม่?”

แป๊ะทิเอ็งหัวเราะในลำคอ “ทารกผู้นี้สายตาไม่เลวจริงๆ ถึงกับรู้จักเราสองคน”

เม้งตีตูกล่าวเสียงแหลมขัดหูท่าทีโกรธเกรี้ยว “ทั้งมันยังมีกำลังขวัญไม่น้อย ถึงกล้าเรียกชื่อพวกเราตรงๆ อย่างไม่ยำเกรงเช่นนี้!”

สุ้มเสียงสุภาพ ราบเรียบของบุรุษอีกผู้หนึ่งดังขึ้นจากภายในรถม้า

“หากพวกท่านทราบว่าบุรุษผู้นี้เป็นใคร ต้องมิแปลกใจที่ไฉนมันจึงรู้จักท่าน ทั้งต้องมิกล้าตำหนิมันที่เรียกชื่อท่านตรงๆเช่นนั้น”

ปึงเพียวเซาะใจหายวาบ ไม่คิดว่าเวลานี้ในรถม้าคันใหญ่ นอกจากพี่แป๊ะเฮาะแล้วยังจะมีผู้อื่นอยู่อีก!

มันได้ยินเสียงลมหายใจภายในรถม้าเพียงสามคนเท่านั้น พี่แป๊ะเฮาะมีอาการบาดเจ็บลมหายใจจึงติดขัดไม่ปะติดปะต่อ ส่วนอีกสองคนลมหายใจแม้แผ่วเบาแต่ประสาทหูของมันยังคงจับได้

แต่มันไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของบุรุษผู้พูดประโยคเมื่อครู่แม้แต่น้อย นั้นแสดงว่าคนผู้นี้ต้องมีพลังภายในที่ล้ำลึกกล้าแข็งยิ่ง!

แป๊ะทิเอ็งถึงกับขมวดคิ้ว สีหน้ายิ่งเคร่งเครียดขึ้น “ท่านนักพรตทราบว่ามันเป็นผู้ใด?”

ที่แท้บุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในรถม้าเป็นนักพรตรูปหนึ่ง?

นักพรตผู้นั้นกล่าวว่า “พวกท่านทราบหรือไม่ มันใช้วิชาใดสยบบริวารนับสิบของท่านในครั้งเดียว?”

เม้งตีตูยิ้มเย้ยหยัน กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ทราบมันใช้อาวุธซัดพิสดารชนิดใด?”

นักพรตผู้นั้นยิ่งกล่าวยิ่งเคร่งขรึมจริงจัง “พวกท่านอยู่นอกด่านนานนับสิบปี ย่อมมิเคยเห็นฝีมือของมัน แต่คาดว่าพวกท่านต้องเคยได้ยินชื่อ ‘ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่’ มาบ้าง”

แป๊ะทิเอ็งพยักหน้ากล่าวว่า “ย่อมต้องเคย ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่โด่งดังมาหลายสิบปี เป็นวิชาเฉพาะของตระกูลปึง”

เม้งตีตูจ้องมองปึงเพียวเซาะจนตาค้าง กล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านหมายความว่า!”

ปึงเพียวเซาะแทรกขึ้น เสียงราบเรียบ “วิชาของข้าพเจ้าคือฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่จริงๆ”

วิชาฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่ เน้นการบังคับพลังลมปราณให้แข็งหยุ่นได้ดั่งใจเป็นสำคัญ กระแสลมปราณที่คมกริบสามารถตัดขาดกระทั่งเหล็กกล้า ส่วนลมปราณอ่อนหยุ่นสามารถต้านรับศาสตราวุธได้ทุกชนิด

นับจากอดีตถึงปัจจุบัน กล่าวกันว่าประมุขตระกูลรุ่นก่อนๆ ไม่มีผู้ใดเลยที่สำเร็จวิชานี้ถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมจริงๆ ปึงเพียวเซาะเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งได้รอบหลายสิบปี มันสามารถประสบความสำเร็จในวิชานี้ตั้งแต่อายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่เหล่าผู้เฒ่าในยุทธภพที่เคยเห็นฝีมือของมันต่างมีความเห็นตรงกันว่า ในตอนนั้นพลังการฝึกปรือของมัน ยังมิถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมอย่างแน่นอน

เวลานั้นล่วงเลยมาสิบปีแล้ว ขณะนี้ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่ของมัน ใช่สำเร็จถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมหรือไม่?

นักพรตผู้นั้นไม่กล่าวต่อแล้ว

รอยยิ้มเย้ยหยันหายไปจากใบหน้าเม้งตีตู ใบหน้าอมโรคของมันยามเคร่งเครียด กลับคล้ายศพตายซากร่างหนึ่ง “ฮึๆ นับว่าวันนี้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

แป๊ะทิเอ็งแม้สำรวมขึ้นเล็กน้อย แต่ยังกล่าวอย่าง***มหาญ “ท่านคือประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง คุณชายปึงเพียวเซาะ?”

“เป็นข้าพเจ้า”

“ได้ยินว่าท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพตั้งแต่สิบปีที่แล้ว?”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

“อย่างนั้นเหตุใดวันนี้ท่านจึงยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเรา?”

“พวกท่านเหตุใดต้องกุมตัวจอมยุทธอี้ไว้?”

เม้งตีตูแทรกเสียงเกรี้ยวกราด “พวกเราจับโจรร้ายผู้นี้เพื่อชำระสะสางคดีความ!”

ปึงเพียวเซาะขมวดคิ้วงุนงง “ไม่ทราบพี่แป๊ะเฮาะกระทำความผิดเรื่องใด?”

เม้งตีตูแค่นหัวเราะกล่าว “มันลอบวางยาพิษในสุรา สังหารคุณชายกงซุนซาเทียนและคุณหนูเซี่ยงกัวเซียนนึ้ง”

ปึงเพียวเซาะสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ประมุขทั้งห้าตระกูลใหญ่ ได้ตัดสินให้พี่แป๊ะเฮาะเป็นผู้บริสุทธิ์ ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว”

เม้งตีตูตะคอกเสียงดังแสบแก้วหู “นั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้ว พวกเราไม่รับทราบ!”

แป๊ะทิเอ็งยังคงกล่าว ท่าทีให้เกียรติบุรุษหนุ่มไม่น้อย “ครั้งนี้พวกเราเพียงคำตามที่ได้รับการไหว้วานมาเท่านั้น”

ปึงเพียวเซาะยิ่งงุนงงสงสัยขึ้นกว่าเดิม “ผู้ใดไหว้วานพวกท่าน?”

ตั้งแต่เริ่มต้นสนทนา เม้งตีตูมิมีท่าทีให้เกียรติปึงเพียวเซาะแม้แต่น้อย ยิ่งพูดยิ่งคล้ายหาเรื่องทะเลาะต่อยตี “นี่มิใช่เรื่องของท่าน!”

นักพรตผู้ยังนั่งผู้ในรถม้ากล่าวว่า “มิต้องปิดบังมันหรอก ช้าหรือเร็วมันก็ต้องรู้ว่าผู้ใดไหว้วานพวกเรา บางทีเมื่อมันรู้อาจอาสาคุ้มกันพวกเรา เดินทางไปส่งยังหมู่ตึกพันอักษรก็เป็นได้”

ปึงเพียวเซาะเกิดสางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นวูบหนึ่ง มันกลับคิดให้สิ่งที่ตนสังหรณ์ผิด “เป็นผู้ใดไหว้วานพวกท่านกันแน่”

“คุณหนูรองตระกูลเซี่ยงกัว เซี่ยงกัวเม้งจู!” ขณะกล่าวประโยคนี้แป๊ะทิเอ็งดวงตาเป็นประกาย ดังเห็นร่างของเทพธิดาจุติลงมาเบื้องหน้า!

เป็นนางจริงๆ!

ปึงเพียวเซาะกำมือแน่น ร่างสั่นเทิ้ม ‘เม้งจูเจ้ากำลังคิดจะทำอะไร!’

เม้งตีตูยิ่งกำกระบี่มั่น ยกขึ้นขวางหน้าอกเตรียมชักกระบี่ออกได้ทุกเมื่อ “เมื่อรู้แล้วก็รีบหลีกทางให้พวกเรา”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงยังพยายามระงับโทสะไว้ “พวกท่านจะนำพี่แป๊ะเฮาะไปหมู่ตึกพันอักษร?”

ประกายตาคมกริบของเม้งตีตูยังจับจ้อง ราวจะกินเลือดกินเนื้อ “ถูกต้อง คุณหนูรองนัดหมายให้ส่งตัวโจรร้ายไปชำระสะสางคดีที่นั่น”

ปึงเพียวเซาะสูดลมหายใจลึกยาว “หากข้าพเจ้าคิดขัดขวาง?”

ใบหน้าเม้งตีตูปรากฏรอยยิ้มขัดตาผู้คน “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านคิดขัดขวางอยู่ทีเดียว!”

เสียงไออย่างรุนแรงดังจากภายในรถม้า ย่อมเป็นเสียงของอี้แป๊ะเฮาะ ครู่หนึ่งมันจึงกล่าวเสียงอ่อนล้า “ตลอดการเดินทางพวกท่านยังดีต่อข้าพเจ้าไม่น้อย ดังนั้นข้าพเจ้ามีบางอย่างคิดกล่าว”

“เฮอะ ท่านต้องการกล่าวอะไร”

เสียงอ่อนล้าแต่ยังชัดกังวานกล่าวต่อ “พวกท่านทั้งสองอย่าคิดขัดขวางน้องเพียวเซาะ หากต้องการกุมตัวข้าพเจ้าไปยังหมู่ตึกพันอักษรให้ได้ ก็ควรเชื้อเชิญนักพรตท่านนี้ลงไปเจรจาจะดีกว่า”

เม้งตีตูบันดาลโทสะ “เหลวไหล! ขนาดจับกุมตัวเจ้ายังอาศัยแค่เราเพียงสองคน กับขี้เมาซอมซ่อเพียงคนเดียวไหนเลยต้องลำบากท่านนักพรต”

อี้แป๊ะเฮาะนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าพเจ้าเพียงกล่าวด้วยความหวังดี”

“เฮอะ! พวกเราไหนเลยจะหลงกลอุบายเขียนเสือให้วัวกลัวของเจ้า!”

“อย่างนั้นวันนี้ของปีหน้า ข้าพเจ้าคงต้องระลึกถึงพวกท่าน”

“อี้แป๊ะเฮาะท่านเพ้อเจ้ออะไร!”

“วันนี้ของปีหน้าเป็นวันเสียชีวิตของพวกท่าน ข้าพเจ้าไหนเลยลืมเลือนได้”

ปึงเพียวเซาะแทรกขึ้นเสียงราบเรียบ “พี่แป๊ะเฮาะวางใจ ข้าพเจ้ามิเคยเห็นชีวิตผู้อื่นด้อยค่ากว่าตนเอง”

“เราทราบดี แต่ในการเสี่ยงชีวิตเป็นตายไหนเลยสามารถออมฝีมือได้ หากมีโอกาสเจ้าก็ยั้งไมตรีบ้าง...”

เม้งตีตูฟังพวกมันสองคนพูดกัน ถึงกับหัวเราะเสียงดังอย่างขบขัน ฉับพลัน! ประกายกระบี่พุ่งวาบขึ้นตรงเข้าใส่ลำคอของปึงเพียวเซาะอย่างเร่งร้อน!

ผู้ใดจะคาดคิดขณะที่มันกำลังหัวเราะยังสามารถชักกระบี่ฆ่าคนได้!

ปึงเพียวเซาะยังยืนนิ่งมั่นคงดุจขุนเขา หมุนมือทั้งสองข้างเป็นวงกลมขนาดใหญ่วางอยู่ระดับอก ประกายกระบี่เจิดจ้าที่พุ่งวาบเข้าใส่ลำคอถึงกับเบี่ยงเบนทิศทางในทันที!

กระบี่เก้ามรกตสลายชีพของเม้งตีตูถูกกระแสอากาศ ซึ่งเกิดจากพลังฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่ดึงดูดจากเป้าหมาย มาหยุดนิ่งอยู่กลางฝ่ามือของปึงเพียวเซาะ โดยที่ฝ่ามือทั้งสองของปึงเพียวเซาะมิได้สัมผัสลำกระบี่แม้แต่น้อย!

เม้งตีตูตกใจจนหน้าแดงกล่ำ กระบี่เก้ามรกตของมันไม่เพียงล้ำค่าอย่างยิ่ง เนื้อกระบี่ยังผสมโลหะพิเศษที่พบได้ในถิ่นอัศดงคตเท่านั้น ดังนั้นจึงมิเพียงคมกริบขนาดตัดเส้นผมขาด แต่ยังเบาอย่างยิ่งทั้งเวลาชักกระบี่จู่โจมยังปราศจากสุ้มเสียงให้ค้นรอย

ไม่ทราบมีจอมยุทธเลื่องชื่อกี่คนเสียชีวิตใต้คมกระบี่ของมัน เนื่องเพราะไม่ทราบว่ามันชักกระบี่ตั้งแต่เมื่อไหร่!

กระบวนท่าเมื่อครู่เป็นหนึ่งในท่าสังหารที่มันภูมิใจยิ่ง แต่เวลานี้กระบี่ของมันกลับถูกกระแสอากาศ ที่อัดแน่นอยู่กลางฝ่ามือของปึงเพียวเซาะดูดตรึง มิอาจทิ่มแทงไปหรือถอนกระบี่ออกได้!

เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า สีหน้าเริ่มปรากฏแววตื่นตระหนก เม้งตีตูเร่งลมปราณจนสุดกำลัง แต่กลับทำได้เพียงให้ลำกระบี่สั่นไหว ปลายกระบี่ของมันมิได้ขยับเขยื้อนจากจุดเดิมแม้แต่น้อย

แป๊ะทิเอ็งเห็นสภาพเช่นนั้นคำราม “ฮึ” ในลำคอ ฝ่ามือทั้งสองข้างฟาดออก เป้าหมายที่ศรีษะของปึงเพียวเซาะ!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงเพียงวนมือเล็กน้อย ปลายกระบี่ของเม้งตีตูกลับย้อนไปฟันใส่ฝ่ามือของแป๊ะทิเอ็งอย่างเหลือเชื่อ

แป๊ะทิเอ็งตื่นตระหนกยิ่ง ฝ่ามือของมันฟาดออกไปอย่างเต็มแรงไหนเลยดึงรั้งกลับได้ อารามตกใจมันทิ้งทั้งตัวหลบคมกระบี่ ร่างสูงใหญ่กลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้นอย่างหมดท่า

เม้งตีตูคิดฉวยจังหวะที่กระบี่ของมันหลุดจากพันธนาการ หมุนร่างรอบหนึ่งตวัดแทงกระบี่ออกอย่างเผ็ดร้อน ครั้งนี้มันใช้พลังเต็มที่สิบส่วน ท่วงท่าประสานเหมาะเจาะไร้ช่องโหว่ ความคมของกระบี่ ความลึกล้ำของพลังลมปราณผสานกันเป็นกระบี่สังหารอย่างแท้จริง!

ฝีมือของมันความจริงเป็นยอดมือกระบี่ของยุทธภพได้อย่างเต็มภาพภูมิ แต่เสียดายที่ผู้ที่มันต่อสู้ด้วยเป็นกงจื้ออัจฉริยะปึงเพียวเซาะ!

ปึงเพียวเซาะวาดฝ่ามือเป็นวงกลมแล้วฟาดออก สวนกับกระบี่ของเม้งตีตู หรือมันเสียสติไปแล้วจึงสวนฝ่ามือรับคมกระบี่เช่นนี้!

แต่กระบี่นี้กลับมิได้ทะลุผ่านมือของมัน! เนื่องเพราะปลายกระบี่ถูกกระแสพลังบีบอัด หยุดยั้งอยู่ห่างจากใจกลางฝ่ามือของปึงเพียวเซาะไม่ถึงสองนิ้ว!

แป๊ะทิเอ็งฉวยโอกาสลอบมาด้านหลัง ฟาดฝ่ามือหิมะเยือกใส่แผ่นหลังของปึงเพียวเซาะเต็มแรง พิษไอเย็นพุ่งเป็นสายแผ่ซ่านเกือบกระทบแผ่นหลังบุรุษหนุ่ม

แต่พริบตานั้นปึงเพียวเซาะกลับโผร่างลอยลิ่วขึ้นในอากาศอย่างพิสดาร เช่นนี้จึงกลายเป็นว่ากระบี่ที่เผ็ดร้อนของเม้งตีตู กลับต้องปะทะกับไอพิษหิมะเยือกของแป๊ะทิเอ็ง!

พวกมันสองคนตกใจจนหน้าถอดสี พลังฝ่ามือฟาดออกไปแล้วไหนเลยรั้งคืนได้ กระบี่แทงออกไปยิ่งไม่สามารถจะเบี่ยงเบนเป้าหมาย แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็มิใช่ชนชั้นธรรมดา ในสถานะการณ์ล่อแหลมยังกุมสติมั่น

แป๊ะทิเอ็งรีบเดินลมปราณ ฟาดฝ่ามือออกอีกข้างสุดแรงหมายเบี่ยงทิศทางกระบี่ เม้งตีตูเองก็ฉวยฝักกระบี่ข้างเอวหมุนควงเป็นวงกลม กลายเป็นโล่ห์ป้องกันพิษไอเย็น เกิดเสียงดังสนั่นเมื่อพลังสองสายปะทะกัน!

แป๊ะทิเอ็งยังยืนหยัดอย่างทรนง แต่ใบหน้าซีดเผือดไร้โลหิตยิ่งกว่าฝ่ามือหิมะเยือกของมันเสียอีก!

มือข้างซ้ายกำแน่นสั่นเทา โลหิตสีแดงสดไหลเป็นทางยาว มือของมันถูกกระบี่กรีดเป็นแผลยาว ตั้งแต่ฝ่ามือไปจนเกือบถึงข้อศอก! แต่โลหิตมิได้ไหลออกมาชุ่มโชก คาดว่าบาดแผลคงไม่เป็นอันตรายถึงเส้นเอ็นกระดูก

เม้งตีตูกลับหน้าแดงกล่ำ ทรุดตัวทรงกับพื้นดินคล้ายจะร่ำร้องไห้ ฝักกระบี่ประดับอัญมณีเจ็ดเม็ดของมันถึงกับป่นยุ่ยอยู่เบื้องหน้า! อัญมณีเจ็ดเม็ดนั้นบ้างแตกบ้างร้าวกลับกลายเป็นสิ่งของไร้ค่าไปแล้ว!

พวกมันทั้งสองจ้องมองปึงเพียวเซาะด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง!

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างจริงใจ “ฝีมือของพวกท่านยอดเยี่ยมจริงๆ”

เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากมิใช่เพราะพวกมันทั้งสองมีฝีมือยอดเยี่ยม เมื่อครู่กระบี่ของเม้งตีตูคงฟันแขนซ้ายของแป๊ะทิเอ็งขาดสะบั้นไปแล้ว และพิษไอเย็นจากพลังฝ่ามือของแป๊ะทิเอ็งก็จะกระแทกอวัยวะภายในเม้งตีตูป่นยุ่ย มีสภาพไม่ต่างจากฝักกระบี่ของมัน

ปึงเพียวเซาะยังกล่าวอย่างนอบน้อมยิ่ง “ไม่ทราบท่านนักพรตจะให้เกียรติลงมาสนทนากับข้าพเจ้าได้หรือไม่”

อี้แป๊ะเฮาะกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านนักพรตออกจะอำมหิตเกินไปแล้ว ทั้งที่รู้ว่าท่านแป๊ะและท่านเม้งไม่อาจสู้น้องเพียวเซาะได้ กลับไม่ห้ามปราม คิดใช้มันทั้งสองทดสอบดูว่า สิบปีนี้ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่ของน้องเพียวเซาะ ก้าวหน้าขึ้นขนาดไหนแล้ว”

นักพรตผู้นั้นไม่ตอบคำ แต่ประตูรถม้าคันใหญ่เปิดออกอีกครั้ง ผู้ที่เดินลงมาเป็นย่อมเป็นนักพรตผู้หนึ่ง มันรูปร่างสูงโปร่งอายุราวสี่สิบเศษ ใบหน้าเปล่งปลั่งเปี่ยมสง่าราศีดูเยาว์วัยยิ่ง แต่ทั้งคิ้วทั้งเครากลับขาวโพลนปลิวไหวตามแรงลม ดูไปคล้ายเซียนผู้วิเศษ

เมื่อร่างสูงโปร่งก้าวลงมายืนอย่างแช่มช้า ทุกท่วงท่าของมันดูเชื่องช้า คล้ายมันมิเคยกระทำสิ่งใดอย่างรีบเร่งมาก่อน แม้เชื่องช้าแต่ไม่เหลาะแหละระโหยโรยแรง ทุกกิริยาอาการของมันกลับมั่นคงยิ่ง ทุกท่วงท่าคล้ายสามารถกลายเป็นกระทวนท่าจู่โจมได้ทุกเมื่อ!

ประกายตานุ่นนวลอ่อนโยน แต่ดำสนิทดุจห้วงทะเลลึก สุดจะหยั่งความล้ำเลิศของวิชาฝีมือได้!

ปึงเพียวเซาะรู้สึกหนักใจยิ่ง พลังฝีมือของนักพรตผู้นี้ต้องมิได้ด้อยไปกว่าท่านโยชิ หรือพี่แป๊ะเฮาะแน่!

นานแล้วที่มันไม่เคยเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจเช่นนี้ แต่ยิ่งมองหน้านักพรตผู้นี้ มันยิ่งคลับคล้ายคลับคลา เหมือนเคยเห็นหน้านักพรตผู้นี้มาก่อน ในยามกระทันหันกลับยังคิดไม่ออก

บัดนี้มันจึงได้สังเกตบนหลังนักพรตผู้นั้นสะพายกระบี่สองเล่ม?

นักพรตผู้นั้นยังกล่าวอย่างสุภาพ “คุณชายปึงในที่สุดก็ได้เจอกันอีก”

“ที่แท้พวกเราเคยพบกันมาก่อนจริงๆ ไม่ทราบท่านคือ?”

นักพรตผู้นั้นไม่ตอบ แต่ปลดกระบี่เล่มหนึ่งจากหลังของตน กระบี่เล่มนั้นเก่าคร่ำคร่า ฝักกระบี่สลักลวดลายโบราณงดงาม ที่ด้ามก็สลักลวดลายโบราณเช่นกัน นับเป็นกระบี่โบราณที่ล้ำค่าเล่มหนึ่ง

นักพรตผู้นั้นชักกระบี่ออกจากฝักอย่างแช่มชา ดวงตาแน่วนิ่งจับจ้องที่ปึงเพียวเซาะ

เมื่อกระบี่ทั้งเล่มหลุดจากฝัก ปึงเพียวเซาะถึงกับจ้องมองมันอย่างแตกตื่น!

ที่แท้กระบี่โบราณเล่มนั้นปลายกระบี่กลับหักไปร่วมเชียะเศษ!

นักพรตผู้นั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบท่านจำกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่?”

ปึงเพียวเซาะระงับความตื่นเต้น กล่าวแต่ละคำอย่างยากยิ่ง “ข้าพเจ้าจำได้!”