วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 1)




บทที่ 1.

ชนบทนอกเมือง...

หมู่บ้านนอกเมืองล้วนมีความเป็นอยู่ไม่แตกต่างกัน

ชาวบ้านต่างตื่นแต่เช้า ภรรยาลุกขึ้นหุงข้าวตักใส่ชามใบโต แล้วผัดผักหลายชนิดอีกหนึ่งจาน ผัดผักจานนั้นไม่มีเนื้อแม้สักชิ้น ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้มีเนื้อกินกันเฉพาะช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเท่านั้น เป็ดไก่จะมีโอกาสได้ลิ้มรสก็ต่อเมื่อถึงวันสารทวันไหว้

สามีลุกขึ้นตรวจดูจอบเสียมเตรียมออกไปไร่นา ส่วนผู้มีอาชีพนายพรานล่าสัตว์ต่างตรวจคันธนูคู่มือ พันเชือกรอบที่จับจนแน่นกระชับเหมาะมือ ง้างสายทดสอบประสิทธิภาพแรงดีด หลังจากกินข้าวชามใหญ่ ผัดผักจานโตต่างคนต่างมุ่งหน้าไปทำงานของตนจนมืดค่ำจึงตรงกลับบ้าน

พลบค่ำภรรยาตักข้าวร้อนกรุ่นใส่ชามใบเดิม เย็นนี้มีต้มเม็ดบัวชามใหญ่ หอมอบอวนด้วยกลิ่นน้ำแกงสีเขียวข้นซึ่งเคี่ยวจากใบบัว ในเวลาเยี่ยงนี้แทบทุกบ้านต่างมีเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวอุ่นจนร้อนอีกกระปุกหนึ่ง นี่คือเวลาพลบค่ำของชนบทนอกเมืองไม่ว่าที่ไหนล้วนเป็นเช่นนี้

ณ หมู่บ้านเทียนเกี๊ย ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ

แสงอาทิตย์สีเหลืองเข้มครอบคลุมขอบฟ้าดุจแพรทองผืนใหญ่

แต่ประกายเจิดจ้าเหนือฟากฟ้าของม่านแสงยามอัสดงกลับต้องอันตรธานไปในพริบตา เมื่อรัศมีของมันทอดลงกระทบบนสิ่งๆหนึ่ง...

เป็นเกล็ดหิมะ...เกล็ดหิมะสีขาวละเอียดนุ่มนวลประดุจใยไหม

บัดนี้มันได้ถืออภิสิทธิ์เข้ายึดครองผืนดินทุกหนแห่งภายในหมู่บ้านนี้ ไม่ยินยอมละเว้นแม้ปลายยอดหญ้าที่อ่อนไหวและบางเบาอย่างยิ่ง

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยตั้งอยู่นอกเมืองจุงกิงประมาณสี่ลี้

เมืองจุงกิงเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญด้วยมีแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นทางออกสู่ทะเล หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมสายใหญ่ใช้ลำเลียงสินค้าจากเมืองต่างๆเพื่อมุ่งสู่มหานครแห่งความมั่งคั่ง

: ถนนสายใหญ่ซึ่งตัดผ่านกลางหมู่บ้านคราคร่ำไปด้วยผู้คน รถม้าและเกวียนบรรทุกสินค้าอยู่ตลอดเวลา พื้นดินถูกล้อเกวียนเกือกม้าเหยียบย่ำจนอัดแน่น ดุจปูลาดด้วยแผ่นหินหนาแกร่งตลอดทั้งสาย พ่อค้าใหญ่ พ่อค้าเล็ก ผู้คนต่างถิ่นผ่านมาผ่านไปไม่ทราบแต่ละวันมีจำนวนมากมายเพียงใด ตลาดกลางหมู่บ้านไม่เคยว่างเว้นผู้คน โรงเตี๊ยมโอ่โถงมักไม่เหลือห้องว่าง หากเป็นเพียงผู้เดินทางผ่านมาโดยมิได้จองล่วงหน้ายากยิ่งที่จะหาห้องพักได้

แต่ทุกสิ่งต่างมีข้อยกเว้น เพราะหากท่านมีเงินขาวๆก้อนโตๆที่ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธ ไม่เพียงห้องพัก ไม่ว่าสิ่งใดสถานที่นี้ล้วนมีให้ท่านได้

สำนักคณิกาของที่นี่เลื่องชื่ออย่างยิ่ง สถานที่แห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาเช่นกัน

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ผู้คนต่างหาความสุขใส่ตัวได้เต็มที่อย่างยิ่ง ไฟในโรงเตี๊ยมและสำนักคณิกาต่างไม่เคยดับสนิทจนรุ่งอรุณของวันใหม่

หากแต่ในหลายวันที่ผ่านมากลับเกิดปรากฏการณ์พิสดารที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

หมู่บ้านที่คึกคักยิ่งกลับกลายเป็นเงียบเชียบราวกับหมู่บ้านร้าง ถนนหนทางที่เคยพลุกพล่านกลับปราศจากผู้คนเดินสัญจรแม้แต่คนเดียว!

นั้นเป็นเพราะตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหิมะได้ตกอย่างหนัก ถนนสายใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าหมู่บ้านถูกหิมะถล่มปิดทางจนกองเกวียนสินค้าไม่สามารถผ่านไปมาได้ คงเหลือเพียงทางเดินเท้าสายเล็กๆที่ใช้สัญจรไปมาได้อย่างยากลำบากเท่านั้น สินค้ามากมายตกค้างอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว พ่อค้า นักเดินทาง คนของสำนักคุ้มกันภัยล้วนต้องนั่งจับเจ่าอย่างไร้ความหมาย ร้านค้าตลาดสดร้านขายของชำพากันพร้อมใจหยุดกิจการจนหมด

ผู้คนต่างอยู่ในบ้านช่องห้องพัก นั่งอุ่นเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวจนร้อนเพียงพอลวกกระเพาะลำไส้ตนเองและมิตรสหาย บ้างมุดตัวอยู่ใต้ผ้านวมอุ่นหนาอิงไออุ่นโฉมสะคราญ ในยามที่ธรรมชาติเป็นอริกับผู้คนเยี่ยงนี้แม้จะมีธุระรีบร้อนปานใดก็ไม่มีผู้ใดยินยอมออกจากที่พักมากระทำเรื่องราวใดๆเป็นแน่

เวลานี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช โรงเตี๊ยมมีชื่อที่สุดในหมู่บ้านกลับมีเรื่องพิสดารเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง!

หิมะหยุดตกแล้ว...

หิมะหยุดตกย่อมมิใช่เรื่องพิสดาร

เช่นไรจึงเป็นเรื่องพิสดาร?

ชายวัยกลางคนสวมชุดขาว ร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปเกือบศอก ยืนอยู่กลางถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน มือแข็งแกร่งหยาบหนาทั้งคู่ซุกไว้ในแขนเสื้อยาว หน้าขาวซีดประหนึ่งไร้โลหิต คิ้วหนาดกขาวดุจหิมะ หางคิ้วทิ้งยาวลงมาเกือบจรดติ่งหู เคราเงินขาวละเอียดจรดหน้าอกส่องประกายวับวาวดุจถักทอจากไหมเนื้อดี ทุกสัดส่วนในร่างสูงใหญ่เปี่ยมความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง

แต่ดวงตาทั้งสองกลับหลุบต่ำคล้ายปิดลงประหนึ่งสะลึมสะลือดั่งคนครึ่งหลับครึ่งตื่น

คนผู้นี้มิได้กำลังสะลึมสะลือใกล้หลับอย่างแน่นอน...

ประกายคมกล้าฉายแววเรืองโรจน์เล็ดรอดออกจากดวงตาที่เกือบปิดสนิทกลับยังเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอัสดงยามอาทิตย์ลับฟ้าหลายเท่า!

ผู้ที่กำลังใกล้หลับไหนเลยมีประกายตาเช่นมัน!

เหตุที่ชายชุดขาวยังไม่ยอมลืมตาเนื่องเพราะมันรู้สึกขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้น

คนทุกผู้ต่างอาศัยดวงตาของตนเมื่อต้องการพิศดูสิ่งต่างรอบกายตน

ขณะนี้รอบตัวมันยังไม่มีสิ่งใดที่จำต้องใส่ใจ มันจึงคิดถนอมดวงตาทั้งคู่ให้มากไว้ เพราะอีกสักครู่ดวงตาของมันจะต้องเผชิญงานหนักอย่างยิ่ง!

ขณะนี้มันกำลังรอคอย...

ชายชุดขาววัยกลางคนทราบดี อีกสักครู่หากตนไม่สามารถรวบรวมกำลังสมาธิจนถึงขีดสูงสุดไม่เพียงนัยน์ตาทั้งสองข้างอาจจำต้องปิดไปตลอดกาล แม้แต่ลมหายใจก็ต้องขาดห้วงลงโดยพลัน!

เวลาที่มันรอคอยจะมาถึงเมื่อไหร่?

เวลาที่มันรอคอยมาถึงแล้ว...

เนื่องเพราะคนที่มันรอคอยเดินออกมาแล้ว...

บุรุษสองคนความสูงต่ำไล่เลี่ยกัน เดินอย่างไม่รีบร้อนออกมาจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช พิจารณาสัดส่วนรูปร่างของพวกมันแล้วนับว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับชาวตงง้วนโดยทั่วไป หากยืนประจันหน้ากับชายชุดขาวคงอยู่ระดับไหล่เท่านั้น...

แต่คนทั้งสองกลับไม่ดูต่ำเตี้ย ทั้งไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนว่าพวกมันต่ำเตี้ยอย่างเด็ดขาด!

เพราะทุกคนทราบพวกมันทั้งสองเป็นคนของหมู่ตึกบูรพา!

คนผู้หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มหน้าขาวเค้าหน้าหล่อเหลาสีหน้าแช่มชื่นปลอดโปร่ง สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดีตัดเย็บประณีต เพียงมองแวบแรกย่อมคาดเดาฐานะของผู้สวมใส่ได้

มันย่อมต้องเป็นกงจื้อที่รุ่มรวยผู้หนึ่ง...

ไม่ว่าผู้ใดต่างดูออกชุดที่กงจื้อผู้นั่นสวมใส่ต้องมิใช่ชุดแต่งกายของชาวตงง้วนอย่างแน่นอน...

ชุดในยาวสีขาวไม่ต่างกับชาวยุทธทั่วไป แต่เสื้อสีน้ำเงินเข้มตัวนอกนั้นปักลวดลายสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน กางเกงยาวที่สวมใส่ยิ่งดูรุ่มร่ามอย่างไรพิกล ยังมีดาบเรียวยาวที่เสียบอยู่ข้างเอว...นั่นก็มิใช่ดาบของชาวตงง้วน

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะ ด้ามเก่าคร่ำคร่าฝักสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดๆ

ทั่วทั้งตัวบุรุษหนุ่มมีเพียงดาบเล่มนี้ที่เรียบง่ายแตกต่างกับลักษณะผู้เป็นเจ้าของ เหตุนี้ยามที่คนทั่วไปจ้องดูมันสิ่งที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นดาบเล่มนี้เอง!

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ชายอีกผู้หนึ่งวัยล่วงเลยจนจอนผมมีสีขาวแซมประปราย สีหน้ามิแข็งกระด้าง มิดุดัน ยิ่งไม่เคร่งเครียดบึ้งตึง แต่เฉยชา เฉยชาจนไร้อารมณ์ความรู้สึกดั่งไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ บุรุษผู้นี้สวมชุดเขียวการแต่งกายเป็นแนวเดียวกับกงจื้อผู้นั้นเพียงแต่เรียบง่ายกว่า สวยงามน้อยกว่า เสื้อผ้าเนื้อธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่ง ร้านขายผ้าทุกร้านย่อมต้องมีผ้าชนิดนี้เป็นจำนวนมากแน่นอน

ธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่งแต่กลับดูไม่ซอมซ่อเป็นเพียงแต่เรียบง่ายธรรมดา เสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อนที่เรียบง่ายไม่มีลวดลายใดๆปักเย็บบนนั้นทั้งสิ้น

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะก็คาดอยู่ที่เอวของชายผู้นี้

ดาบยาวที่เปี่ยมไปด้วยรังสีชนิดหนึ่ง...

เป็นรังสีไร้รูปเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพายุร้ายกลางฤดูตงเทียน แผ่ประกายบาดนัยน์ตาส่งอานุภาพคุกคามผู้คนรุนแรงมหาศาล

รังสีดาบกระจายครอบคลุมทั่วบริเวณแม้ขณะที่มันยังอยู่ในฝัก!

นี่เป็นดาบที่ร่ำลือกันว่ารวดเร็วที่สุดในแผ่นดินยุคนี้!

เพียงแวบแรกที่ผู้คนได้เห็นบุคคลเช่นนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าตน มิว่าผู้ใดต้องมองออก บุรุษผู้สวมอาภรณ์ชุดเขียวมิใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

ยิ่งธรรมดาสามัญกลับยิ่งดูทรงอำนาจ

เพราะมีเพียงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้นที่ยินยอมกระทำตนเป็นคนสามัญ เพราะมีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่สำนึกได้ว่าคุณค่าแท้จริงของตนเองอยู่ที่ใด!

กลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บหลังหิมะที่ตกอย่างหนัก กระนั้นคนทั้งสามยังสวมเสื้อผ้าเบาบางเพียงชั้นเดียวราวกับทั้งหมดได้นัดหมายกันมาชมดอกโบตั๋นในฤดูชุนเทียน มิมีผู้ใดแยแสต่อความผันแปรของสภาพรอบข้าง ราวร่างของบุรุษทั้งสามต่างหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า

บัดนี้หน้าต่างบ้านช่องร้านค้าทุกบานบนถนนสายใหญ่หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเปิดออกจนหมดสิ้น ผู้คนต่างเบียดเสียดผลักดันกันเพียงเพื่อจะชะโงกหน้าลงมายังถนนเบื้องล่าง ทุกผู้ล้วนใส่เสื้อผ้าหลายชั้นทั้งยังกระชับอาภรณ์ของตนตลอดเวลา ร่างกายของคนเหล่านั้นย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้า

เด็กรับใช้หลายคนรีบวิ่งกุลีกุจอยกโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหลายตัวออกจากโรงเตี๊ยมนำมาตั้งเบื้องหน้ากงจื้อผู้สวมอาภรณ์ราคาแพง จัดแจงปูโต๊ะด้วยผ้าอย่างดี สุราหอมกรุ่นชั้นดีอุ่นจนร้อนแล้ว อาหารหลายจานถูกยกมาตั้งอาทิ เนื้อลูกแพะตุ๋น เนื้อนกเจ็ดชนิดผัดน้ำมันหอย ไก่ขอทานหอมกรุ่นยังมีเต้าหู้ทรงเครื่องที่ขาวราวหิมะ

แต่เพียงครู่หนึ่งสิ่งที่ขาวราวหิมะอย่างแท้จริงจึงเดินเข้ามา

: เนื้อหิมะขาวละเอียดยังต้องกลายเป็นขุ่นมัวยามเผชิญกับพวกนาง เสียดายที่เวลานี้พวกนางต่างสวมอาภรณ์ทั้งหนาทั้งมิดชิดมีเพียงใบหน้าเรียวมนเท่านั้นที่ไร้อาภรณ์ปกปิด

เพราะร่างกายของพวกนางย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้าอย่างแน่นอน...

เสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวคณิกาเลื่องชื่อแห่งนครจุงกิงกลับยินยอมเดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ พวกนางต่างนั่งอยู่ข้างๆกงจื้อเจ้าสำราญผู้สวมชุดราคาแพงเนื้อผ้าแปลกตา

ใบหน้าของกงจื้อผู้นี้นับว่าหล่อเหลาอย่างยิ่งจริงๆ หน้าขาวคิ้วบางเรียวสีดำสนิท ใบหน้าไร้ริ้วรอยใดๆ ปราศจากหนวดเคราแม้เพียงสักเส้น มันถนอมใบหน้าตัวเองเสมอมาไม่ยอมให้สิ่งใดกระทบจนเกิดริ้วรอยแม้แต่น้อย สัดส่วนต่างๆบนใบหน้าล้วนอยู่ในที่ๆเหมาะสมอย่างยิ่ง ด้วยใบหน้าเช่นนี้หากมันเป็นเพียงบุตรหลานชาวบ้าน ชาวนาสามัญธรรมดาคาดว่ายังต้องมีดรุณีน้อยใหญ่เข้ามากรุ่มรุมให้วุ่นวายใจไม่หยุดหย่อน

แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้กลับเป็นถึงกงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุทธภพปัจจุบัน เรื่องดรุณีน้อยใหญ่จึงมิจำเป็นต้องพูดถึงอีก

โยชิโอกะ ริวจิไม่มีเวลาว่างแม้แต่น้อย เดี๋ยวป้อนไก่ขอทานเสี่ยวชุ่ย เดี๋ยวดื่มเหล้าจากชุนฮัว เดี๋ยวเล่นทายมือกับเสี่ยวชุ่ย ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลายโยชิโอกะ ริวจิล้วนไม่สนใจ สีหน้าแช่มชื่นรอยยิ้มกรุ่มกริ่มจ้องดรุณีทั้งสองไม่วางตา สองมือประคองนงคราญ กล่าววาจาหยอกเย้า ลำคอถูกราดรดด้วยสุรา ขณะเคี้ยวเนื้อลูกแพะนุ่มลิ้น

บุรุษอีกสองคนเล่า...

บุรุษทั้งสองยืนประจันหน้ากันเนิ่นนานชายชุดขาวจึงกล่าวว่า

“ท่านก็มาแล้ว...ยังต้องการกล่าวสิ่งใดหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดตอบ

ชายชุดขาวแสยะยิ้ม***มอำมหิต

“ดาบของท่านรวดเร็วสมคำร่ำลือจริงหรือไม่”

ยังคงไม่มีผู้ใดตอบ...

ชายชุดเขียวไม่ตอบคำ คิ้วของมันหนากว่าคนทั่วไป ดูคล้ายแพขนาดใหญ่ยิ่งดูยิ่งสะดุดตา เค้าหน้ารูปสี่เหลี่ยมเฉยเมยไร้อารมณ์ใดๆ มองดูดังแท่งศิลาอันแข็งแกร่งมากกว่าใบหน้ามนุษย์ เส้นผมและขนคิ้วบางส่วนเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา จอนยาวทั้งสองข้างมีสีเทาแซมอยู่ประปราย ยามจ้องมองไปเบื้องหน้าแววตาเจิดจ้าแน่วนิ่งเป็นประกายดั่งยามอาทิตย์อุทัย

คนผู้นี้ความจริงมีอายุราวสามสิบเศษๆ แต่ปลายขอบตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยริ้วรอยของการตรากตรำต่อสู้มาอย่างโชกโชน ทำให้ใบหน้ามันดูสูงวัยกว่าอายุแท้จริงถึงสิบกว่าปี

มือแข็งแกร่งทั้งคู่ปล่อยตามสบายข้างลำตัว บุรุษชุดเขียวได้แต่มองตรงไปเบื้องหน้า มันเพ่งมองไปยังชายชุดขาว ลมหายใจแผ่วเบาทอดถอนออกมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายไม่ต้องการมองบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตน ที่แท้มันทอดถอนหายใจให้กับบุรุษชุดขาว เพราะมันทราบภายใต้สภาวะที่ตนพร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ต้องไม่มีผู้ใดสามารถรักษาชีวิตรอดจากคมดาบของมันได้!

สิบปีก่อนทั่วทั้งเกาะพู้ซึ้งไม่มีผู้ใดสามารถต้านดาบของนาคามูระ โยชิได้

ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากย้ายมาพำนักอยู่กับหมู่ตึกบูรพาในตงง้วน ฉายามือสังหารไร้รักก็ดังก้องจนกลบรัศมีบรรดายอดฝีมือที่เคยมีชื่อเลื่องลือในตงง้วนจนสิ้น!

เสียงชายชุดขาวคำรามเบาๆในคำคอ ดวงตาเรืองโรจน์ทั้งคู่ลืมโพลงขึ้น ถึงเวลาที่ต้องใช้มันแล้ว! คิ้วหนาขมวดเข้าหากันใบหน้าซีดขาวกลับกลายเป็นแดงกล่ำดุจโลหิต ร่างสูงใหญ่แต่ปราดเปรียวอย่างยิ่งสะบัดมือทั้งสองข้างวูบขึ้น พลันบังเกิดประกายแหลมคมของอาวุธสีดำสนิทสองสายพุ่งจู่โจมตรงไปยังลำคอและทรวงอกของชายชุดเขียวรวดเร็วปานสายฟ้า!

ชายเสื้อสีเขียวสะบัดวูบดาบยาวพลันหลุดจากฝักไปอยู่ในมือ นี่เป็นระดับความเร็วของการชักดาบที่ผู้คนไม่สามารถคาดคำนวนได้!

รวดเร็ว! รวดเร็วอย่างยิ่ง!

ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าดาบยาวสีเงินเล่มนั้นหลุดออกจากฝักมาอยู่ในมือของชายชุดเขียวได้อย่างไร

ชายชุดขาวก็ไม่สามารถ!

ดาบยาวสีเงินที่คล้ายหนักอย่างยิ่ง แต่ชายชุดเขียวเพียงสะบัดข้อมือวูบบังเกิดเป็นเงาดาบนับสิบเส้นแผ่เป็นวงกว้างสกัดการจู่โจมปานสายฟ้าของชายชุดขาวได้ในกระบวนท่าเดียว!

มือทั้งคู่พลันมาจับด้ามดาบพร้อมกันยิ่งเพิ่มพูนสภาวะจู่โจม พลิกปลายดาบพุ่งตรงไปยังประกายสีดำทั้งสองสาย ประกายคมดาบพุ่งผ่าอากาศวาววับใสกระจ่างทรงมหิธานุภาพดุจมังกรขาวเริงนภา

ไม่มีสายตาคู่ใดเห็นดาบของมันกระทำอย่างไรกับประกายสีดำคู่นั้น ผู้คนเพียงเห็นมือของมันสะบัดวูบไปมา แต่ชายชุดขาวกลับไม่มีปัญญารับสภาวะการจู่โจมนี้ ถึงกับต้องผงะร่างถอยกรูดประกายสีดำทั้งสองเส้นสลายวับไปกับตา

ชายชุดเขียวยังคงวาดดาบต่อเนื่องเงาดาบยาวสีเงินพุ่งตามติดคุกคาม รอบบริเวณปรากฏเศษผ้าสีขาวปลิวว่อน รังสีดาบยิ่งนานยิ่งอำมหิตหิวกระหายราวจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งภายใต้รัศมีแห่งมัน

ชายชุดขาวยิ่งหน้าแดงกล่ำหยาดเหงื่อผุดขึ้นโทรมใบหน้า มันทราบดีสถานการณ์ขณะนี้ชีวิตตนเองกำลังล่อแหลมจวนตัวอย่างยิ่ง พู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือมิว่าพลิกแพลงกระบวนท่าอย่างไรกลับมิอาจเข้าประชิดคมดาบสีเงินได้แม้แต่น้อย เพียงแค่รังสีดาบยังสามารถคุกคามกดดันจนตนเองถอยกรูดไม่อาจเข้าประชิด การจะโต้ตอบกลับได้แม้สักกระบวนท่ายิ่งคล้ายหมดหนทางโดยสิ้นเชิง

แต่เทพพู่กันคู่ยะเยือกมีชื่อเสียงในยุทธภพมากว่าสิบปีไหนเลยยินยอมรับความพ่ายแพ้ในสภาพนี้ คิ้วยาวตั้งชี้ชัน แสยะยิ้ม***มเกรียม แววตาลุกโชนดุจเปลวเพลิง ฉับพลันมือหยาบหนาแกร่งทั้งคู่ของมันกลับกลายเป็นซีดขาวไร้สีเลือดดุจซากศพ! กระแสไอเย็นมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากมือทั้งคู่รวดเร็วปานอสนีบาต!

ชายชุดขาวทุ่มเทพลังทั้งหมดจู่โจมด้วยไอเย็นไร้ลักษณ์แผ่พิษเย็นจากฝ่ามือทั้งสองผ่านไปที่ปลายพู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือ พุ่งเป็นสายถล่มทลายราวคลื่นล้างหาดเข้าทำร้ายคู่ต่อสู้โดยปราศจากรูป กว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวไอเย็นก็พุ่งประชิดตัวแล้ว พิษไอเย็นที่รุนแรงสามารถกระแทกอวัยวะภายในจนแหลกเหลวป่นยุ่ย! หากแข็งขืนเกร็งกำลังต้านพิษเย็นสายนี้ไว้ ยังต้องเผชิญกับประกายแหลมคมทั้งคู่ของพู่กันสีดำสนิทซึ่งจู่โจมตามมาติดๆ ด้วยอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

นี่เป็นวิชาลอบสังหารที่อำมหิตที่สุดแขนงหนึ่ง!

ชายชุดขาวคิดไม่ถึงว่าตนจำต้องใช้ท่าไม้ตายประจำตัวรวดเร็วปานนี้ แต่เมื่อใช้ออกไปแล้วมันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง มันมั่นใจนี่เป็นกระบวนท่าที่คู่ต่อสู้ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้แน่นอน

ห้าปีแล้วที่วิชาฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะของเทพพู่กันคู่ยะเยือกไร้ซึ่งผู้ต่อต้าน!

เมื่อชายชุดเขียวรู้สึกถึงพิษเย็นมหาศาลที่พุ่งจู่โจม ไอเย็นก็ครอบคลุมชายเสื้อเขียวกระชั้นชิดยิ่งเสียแล้ว เห็นได้ชัดหากมันไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกัน อวัยวะภายในต้องแหลกเหลวอย่างแน่นอน แต่หากทำเช่นนั้นไหนเลยจะลอดพ้นปลายพู่กันแหลมคมที่พุ่งคุกคามตามมาดุจประกายอสนีบาตได้

ชั่วพริบตานั้น ชายชุดเขียวทั้งไม่หลบหลีบ ยิ่งไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกันตัว ซ้ำยังพุ่งร่างตรงเข้าหาชายชุดขาวอย่างรวดเร็ว

ร่างสีเขียวเคลื่อนไหววูบรวดเร็วไม่ช้ากว่ายามที่มันสะบัดดาบยาวในมือแม้แต่น้อย!

ปลายดาบสีเงินพุ่งเข้าปะทะผ่ากระแสไอเย็นอย่างแข็งขืน จุดหมายของมันคือหว่างคิ้วของชายชุดขาว!

เป็นการจู่โจมที่อยู่เหนือการคาดคิดของเทพพู่กันคู่ยะเยือกโดยสิ้นเชิง มันตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด ชั่วขณะถึงกับไม่กล้าส่งกระแสพลังจนสุด พริบตานั้นมันจำต้องรั้งพู่กันคู่สีดำทั้งสองในมือกลับมาป้องกันใบหน้าในทันที

กระบวนท่าฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะสูญเสียสภาวะจู่โจมของตนเองลงโดยสิ้นเชิง!

เสียงดังกึกก้องเมื่อโลหะสองชนิดกระทบกัน...ครู่หนึ่ง...

ชายชุดขาวเก็บพู่กันทั้งสองไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วดั่งไม่เคยนำมันออกมาใช้ สีหน้าแดงกล่ำกลายเป็นซีดขาวจนปราศจากสีเลือด แววตาทั้งคู่เปล่งประกายแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แววตาที่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตคนผู้หนึ่ง!

“ห้าปี...ข้าเก็บตัวอยู่ในสถานที่นี้ถึงห้าปี คิดว่าพลังฝีมือรุดหน้าขึ้นอีกมาก...แต่...”

ใบหน้าของมันไม่ปรากฏแววของความเจ็บปวด แต่ชายชุดขาวล้มลงแล้ว พู่กันสีดำสนิทร่วงหล่นจากแขนเสื้อแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่หว่างคิ้วจนถึงปลายคางปรากฏเส้นบางๆสีแดงเส้นหนึ่ง

กลางหิมะขาวร่างในชุดขาวของเทพพู่กันคู่ยะเยือกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปตลอดกาล...

ชายชุดเขียวก้มหน้าลงต่ำอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดดูออกดาบยาวถูกเก็บเข้าฝักตั้งแต่เมื่อไหร่

สีหน้าเคร่งครึมยังเฉยชาไร้ความรู้สึกใดๆ มิได้ยินดีลิงโลดกับชัยชนะของตน ทั้งมิได้เศร้าโศกเสียใจที่มือทั้งคู่ต้องแปดเปื้อนโลหิตอีกครา

มันเพียงรู้สึกนี่เป็นอีกครั้งที่มันปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนาง...

คำมั่นสัญญาที่กลายมาเป็นรากฐานค้ำจุนให้ชีวิตของตนสามารถยืนหยัดอยู่ต่อมาได้กว่าสิบปี...

นาคามูระ โยชิเดินมายังโต๊ะของริวจิ รับสุราอุ่นจอกหนึ่งจากมันแล้วดื่มลงคอจนหมด แต่ยังไม่แตะต้องอาหารแม้สักจานเดียว โฉมสะคราญทั้งสองยิ่งไม่แม้แต่ชำเลืองตามอง

โยชิโอกะ ริวจิรินสุราให้ นาคามูระ โยชิอีกหนึ่งจอก แววตาที่มองบุรุษชุดเขียวบ่งบอกความเคารพนับถืออย่างยิ่ง รอจนคนผู้นั้นดื่มจนหมดจึงโอบเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวาลุกขึ้นเดินออกจากที่แห่งนั้น

นาคามูระ โยชิออกเดินตามไม่ถามสักคำดั่งบ่าวไพร่เดินตามผู้เป็นนาย

หิมะเริ่มตกอีกแล้ว...

ผู้คนต่างปิดประตูหน้าต่างบ้านช่องห้องพักของตนจนหมดสิ้น

แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่เสียงวิพากวิจารณ์กลับดังกระหึ่มขึ้นจากทุกตรอกซอกซอย...

“นาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพานับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของยุคได้จริงๆ”

“มือสังหารไร้รักไม่ผิดคำร่ำลือเลย”

“สมคำร่ำลืออะไร เป็นแต่เพียงบ่าวไพร่ของผู้อื่น”

“กงจื้อคนนั้นมีบ่าวไพร่เช่นนี้นับเป็นวาสนาจริงๆ”

“มีเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวากลับมีวาสนากว่า”

“แม่นางเสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวกลับน่าดูกว่าจริงๆ”

“ข้าต้องเก็บเงินไปดื่มกับนางสักครั้งให้ได้”

“ถ้าข้าเก็บเงินได้ข้าไม่ดื่มกับนางหรอกข้าจะ...”

ไม่มีความคิดเห็น: