วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

เป้าหมายใหม่ ในปีใหม่




ไม่มีใครสามารถเลือกที่เกิดได้ แต่สามารถเลือกที่จะเป็นได้

การเริ่มต้นใหม่ในทางที่ดีไม่จำเป็นต้องเลือกเทศกาล

“อยากจะเปลี่ยนชีวิต ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ต้องเปลี่ยมที่จิตใจเราเอง” สร้างคุณภาพใหม่ให้กับจิตตนเอง รู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิต

โดยธรรมชาติของมนุษย์มีความช่างคิด ช่างฝัน เราจึงมักสร้างเป้าหมายของชีวิตขึ้นใหม่อยู่เสมอ

แล้วสุดท้ายก็ตกเป็นทาสของการบรรลุเป้าหมายนั้นโดยดุษฏี ผลักดันตัวเองอย่างหนักทุกวันเพื่อเป้าหมายที่สร้างขึ้นนั้น

โดยทั่วไปเขามักดิ้นรนเพื่อให้ได้เงินมากๆ มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ จนบ้างครั้งละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง

ดูแลคนรอบข้าง และไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่ง งานอดิเรกที่เขารัก

แต่วันหนึ่งเมื่อเขามองกลับไปอาจเห็นว่าเป้าหมายของชีวิตที่เขาคิดขึ้นนั้น สิ่งที่เขาขวนขวาย และพยายามไขว่คว้าอยู่นั้น มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเขาเลย

ไม่ได้นำมาซึ่งความเกษมสำราญที่แท้จริง ทั้งยังอาจเป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากไม่รู้จบสิ้นก็เป็นได้

เป้าหมายของการกระทำนั้นจำเป็นต้องมีอยู่ แต่ต้องไม่งมงายหรือยึดมั่นจนเกินไปเพราะความงมงายยึดมั่นเกินไป ทำลายความสดชื่นมั่นคงในการดำเนินชีวิตของเราได้

บางครั้งสิ่งที่ต้องการของชีวิตจริง ๆ นั้น คือความสมดุลระหว่างการงานกับการพักผ่อน ครอบครัวและเวลาส่วนตัว โดยที่เขากลับไม่ได้เอาใจใส่มันทั้งๆที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน

...ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราต้องหันกลับมาตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตของเราอย่างไร?

ดำรงจิตใจให้มั่นคง เริงรื่น ชื่นบาน และเกษมสำราญกับการมีเมตตาช่วยเหลือสรรพชีวิตเถิด ดำรงตนอยู่ในเป้าหมายของชีวิตที่แท้จริง

ไม่มีอะไรทำร้ายเรามากเท่ากับจิตที่วางไว้ผิด ถ้าจิตเราวางไว้ถูกที่ ก็สามารถหาความสุขได้ ความสุขสามารถหาได้ทุกขณะ..


โดย อุดม นิราช

ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง
เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม)
หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย…… ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ
อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…..
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น …… จากนี้ไป …… ขอให้พวกเรา
อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ …… โอกาสที่พิเศษสุด…… แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ….. อยาก …
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น …….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า ……. สักวันหนึ่ง …….. ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง…

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเดินทางของชีวิต

โดยธรรมชาติของมนุษย์มีความช่างคิด ช่างฝัน เราจึงมักสร้างเป้าหมายของชีวิตขึ้นใหม่อยู่เสมอ

แล้วสุดท้ายก็ตกเป็นทาสของการบรรลุเป้าหมายนั้นโดยดุษฏี ผลักดันตัวเองอย่างหนักทุกวันเพื่อเป้าหมายที่สร้างขึ้นนั้น

โดยทั่วไปเขามักดิ้นรนเพื่อให้ได้เงินมากๆ มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ จนบ้างครั้งละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง

ดูแลคนรอบข้าง และไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่ง งานอดิเรกที่เขารัก

แต่วันหนึ่งเมื่อเขามองกลับไปอาจเห็นว่าเป้าหมายของชีวิตที่เขาคิดขึ้นนั้น สิ่งที่เขาขวนขวาย และพยายามไขว่คว้าอยู่นั้น มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเขาเลย

ไม่ได้นำมาซึ่งความเกษมสำราญที่แท้จริง ทั้งยังอาจเป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากไม่รู้จบสิ้นก็เป็นได้

เป้าหมายของการกระทำนั้นจำเป็นต้องมีอยู่ แต่ต้องไม่งมงายหรือยึดมั่นจนเกินไปเพราะความงมงายยึดมั่นเกินไป

ทำลายความสดชื่นมั่นคงในการดำเนินชีวิตของเราได้

บางครั้งสิ่งที่ต้องการของชีวิตจริง ๆ นั้น คือความสมดุลระหว่างการงานกับการพักผ่อน ครอบครัวและเวลาส่วนตัว โดยที่เขากลับไม่ได้เอาใจใส่มันทั้งๆที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน

...ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราต้องหันกลับมาตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตของเราอย่างไร?

ดำรงจิตใจให้มั่นคง เริงรื่น ชื่นบาน และเกษมสำราญกับการมีเมตตาช่วยเหลือสรรพชีวิตเถิด

ดำรงตนอยู่ในเป้าหมายของชีวิตที่แท้จริง

http://precadet26.org/msgboard/userpic/26org11.jpg

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พลังคำพูด



พลังคำพูด
๑ กล่าวทั่วไป
"ด้วยมนุษย์ พูดกัน ทุกวันนี้
ไม่มีที่ หยุดหน่วง เหมืองห้วงเหว
ไม่มีรส หมดเนื้อ เหลือแต่เปลว
พูดเหลวเหลว มีมาก ไม่อยากฟัง………….."
จาก "นิราศทวาราวดี"
เราเคยนับคำพูดประจำวันของเรากันบ้างหรือเปล่าว่า ในวันหนึ่ง ๆ เราพูดกันคนละประมาณที่คำ นายเอลเม่อร์ วิลเลอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้รวบรวมทำเป็นสถิติไว้ว่า โดยเกณฑ์เฉลี่ยแล้ว มนุษย์พูดกันคนละประมาณ ๓๐,๐๐๐ คำต่อวันถ้าเรานำคำพูดประจำวันเหล่านี้มาพิมพ์เป็นหนังสือ เราจะได้หนังสือเล่มย่อม ๆ วันละเล่ม
ถ้าถ้อยคำในหนังสอเต็มไปด้วยถ้อยคำประเภท "พูดแต่ดี" ผู้อ่านก็จะอ่านด้วยความรู้สึกที่ติดอกติดใจ เลื่อมใสศรัทธาหรือเชื่อถือปฏิบัติตาม หากในหนังสือมีแต่ถ้อยคำประเภท "ดีแต่พูด" ปราศจากสาระประโยชน์ ก็จะไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้อ่านคนใดเลยสักคนเดียว
อันที่จริง อย่าถามเลยว่ามนุษย์เรานี้เคยนับคำพูดประจำวันของตัวเองบ้างหรือเปล่า ในวันหนึ่ง ๆ เกือบจะวาไม่มีใครสนใจคำพูดประจำวันเหล่านั้นได้ให้คุณให้โทษแก่เขาเพียงใดเสียด้วยซ้ำไปด้วยเหตุมนุษย์ละเลยการประเมินผลคำพูดของตนเองนี่เอง คำกล่าวในนิราศทวาราวดีดังกล่าวไว้ข้างต้น จึงเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบันนี้
คำพูดเป็นสิ่งที่มีรสชาดเรียกว่า "รสน้ำคำ" ดังสุนทรภู่กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งว่า
ถึงบางพูด พูดดี เป็นศรีศักดิ์
มีคนรัก รสถ้อย อร่อยจิต………..
ข้อความที่ว่า "มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต" เป็นความหมายที่เด่นชัดว่าคำพูดมี "รสชาติ" ซึ่งเป็นอาหารของจิตใจที่ผ่านเข้ามาทางประสาทหู
คำพูดเป็นเครื่องปรุงการพูดให้เกิดความเรืองรอง มีชีวิตชีวา
คำพูดเมือหลุดออกจากปาก จะพุ่งเข้าสู้หูผู้ฟังทันที ไม่มีอะไรมายับยั้งได้ เราไม่สามารถสั่งให้คำพูดหยุด เหมือนหอบังคับการบินสั่งให้เครื่องบินหยุดบิน เราไม่สามารถยิงคำพูดให้ตกลงมาเหมือนการยิงนก
ทันทีที่คำพูดพุ่งเข้าสู่หูผู้ฟัง ก็จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ถ้าไม่เป็นการสร้างมิตรก็ต้องก่อศัตรู คำพูดดังกล่าวจะเข้าไปเสียดแทงหัวใจ ที่มาตำมันสมอง และแล้วอาจจะประทับความรู้สึกที่ดี หรือไม่ก็ฝังความรู้สึกที่เลว ๆ ไว้ในสมองของฟังอย่างหนึ่งอย่างใดเสมอ
คำพูดเป็นทั้งยาบำรุงจิตใจให้เกิดพลังเข้มแข็ง มานะ อดทน หรือตรงกันข้าม อาจทำให้ท้อถอยหมดกำลังใจ หรือเสียผู้เสียคนไปเลยก็มี
ไม่เพียงแต่หินหรือเหล็กเท่านั้นที่สามารถทุบกระดูดให้แตกได้ คำพูดก็มีทางทำได้เช่น กัน คำพูดที่เกิดจากการขาดความระมัดระวัง ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฟังเจ็บปวดเท่านั้น มันยังสามารถทำความพินาศย่อยยับแก่ผู้พูดมามากต่อมาก
นักการพูดตระหนักเสมอว่า การพูดก่อนคิดเป็นจุดที่ "อ่อนแอที่สุด" การปล่อยคำพูดออกไปโดยปราศจากความยั้งคิดเพียงเสี่ยววินาทีเดียว แม้จะใช้เวลาเป็นปี ๆ ก็ไม่สามารถถอนคำพูดคืนหรือลบมันทั้งได้ มิตรภาพที่พยายามสร้างขึ้นมาด้วยเวลานานนับปี เพียงเอ่ยคำรุนแรงคำเดียวความเป็นมิตรก็ขาดสะบั้นลงในฉับพลัน
คำพูดมิได้มีฤทธิ์เดชเพียงพุ่งเข้าสู้หูผู้ที่เรากล่าวถึงโดยตรงเท่านั้นมันสามารถเล่นผ่านจากหูผู้หนึ่งไปยังหูของอีกผู้หนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือพูดที่กล่าวกับคน ๆ หนึ่ง แล้วถูกถ่ายทอดไปยังอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะแผลงฤทธิ์หนักข้อขึ้นอีกหลายเท่า
การใช้คำพูดที่ไร้สาระก็ดี การสร้างข่าวลือก็ดี การซุบซิบนินทาก็ดี การกล่าวถึงความประพฤติของผู้อื่นก็ดี เปรียบได้กับการเติมยาพิษลงในคำพูด และมักจะเกิดอันตรายมากกว่าความปลอดภัยรอเบิร์ต บัตเลอร์ ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า "ถ้าเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และเซ็นชื่อกำกับรับรองไม่ได้ ก็อย่าพูดถึงมันเสียเลย……….."
รัฐบุรุษ และสตรีสำคัญ ๆ ของโลก เช่น อับราฮ์ม ลินคอล์ม วินสตัน เชอร์ชิลล์ นางโกลดาร์แมร์ อินทิรา คานธี หรือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แห่งประเทศไทย หาได้เป็นนักพูดมาแต่ เกิดไม่
ทำไมบุคคลสำคัญเหล่านี้ เวลากล่าวสุนทรพจน์ จึงเป็นที่จับอกจับใจลึกซึ่งแหลมคม ประทับใจ น่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง จนกลายเป็นสุนทรพจน์อมตะที่กล่าวขวัญกันอยู่จนถึงปัจจุบัน
คำตอบคือ
การศึกษาวิธีพูด ประสบการณ์ และการฝึกฝนนั้นเอง
คำพูดเกิดจากการศึกษาวิธีพูด และประสบการณ์และการฝึกฝน เป็นคำพูดประเภท มีพลัง
คำพูดเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด ในการกระตุ้นให้ผู้อื่นกระทำ
ในการพูดทุกครั้ง โปรดจำไว้ว่า "จงให้คำพูดเหมาะกับการกระทำ"
จงพูดพร้อมกับทำ เพื่อให้ตาและหูของผู้ฟังทำงานพร้อมกัน
จงเพาะแนวความคิดลงในสมองของผู้ฟัง จนผู้ฟังเชื่อว่าเป็นความคิดของเขาเอง
ขอให้เรามาปรับปรุงถ้อยคำให้มีพลังกันเถิด และถ้อยคำที่มีพลังจะปรับปรุงการพูดของเราให้ทรงพลังยิ่งขึ้นไป

๒ ปัจจัยการเพิ่มพลังคำพูด
ก. อิทธิพลของคำสรรพนาม
โดยทั่วไป คนเรามักมองไม่เห็นความสำคัญ มองข้าม หรือไม่ก็นึกไม่ถึงว่าคำ "สรรพนาม" ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะใช้แทนคำนามแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์ประการใดอีก อย่างดีหน่อยคนที่พิถีพิถันก็รู้จักใช้สรรพนามได้ถูกต้องกับกฏไวยากรณ์ สุภาพ และเหมาะสมกับกาลเวลาหรือโอกาสเท่านั้นหากมองทางด้านจิตวิทยา และพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จะเห็นว่าคำ "สรรพนาม" มีอิทธิพลต่อจิตใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่รู้จักใช้คำ "สรรพนาม" ในระหว่างการพูดจะช่วยให้การพูด มีพลัง ขึ้นอย่างน่าประหลาด คำว่า ……
ท่าน………… เป็นคำทรงพลังที่สุดในทุกภาษา
เรา…………… เป็นคำทรงพลังที่ถัดลงมา
ฉัน……………. เป็นคำที่เล็กที่สุดและอ่อนที่สุดในภาษามนุษย์
ท่านและเรา…... ใช้ด้วยกัน ผสมกลมกลืนกันยิ่งนัก
ท่านและเรา……ใช้ด้วยกัน จะทรงพลังเสียยิ่งกว่าใช้อย่างเดียว
คนทั่วไปมักมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ในวงการทูตถือว่าเป็น “ เรื่องเล็ก “ “อาจก่อให้เกิด “เรื่องใหญ่ที่เสียหาย “ หรือเรื่องเล็กนั่นแหละอาจนำมาซึ่ง “ เรื่องใหญ่โตที่เป็นความก้าวหน้าของโลก อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ………. “
เวลาที่ทุกคนพูด “ มักชอบฉุดตัวเองออกจากความเป็นกันเองของผู้อื่นเสมอ โดยไม่รู้ตัว มิใช่สิ่งอื่นใด ทั้งนี้เพราะความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้ สรรพนาม นั่นที่เดียว
การพูดของผู้ว่าราชการจังหวัดของไทยเราท่านหนึ่ง กล่าวในวันไปรับตำแหน่งใหม่ในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ต่อหน้าราชการและประชาชน ณ ศาลาประชาคมของจังหวัด ซึ่งตลอดเวลาของการพูด มีคำว่า "ข้าพเจ้า" มากมายถึง ๔๔ ครั้ง เกือบจะไม่มีคำว่า "ท่าน กับ เรา หรือ พวกเรา เสียเลย
ในที่สุด ผู้ว่าราชการท่านนี้ก็อยู่ที่จังหวัดนั้นได้ไม่นานก็ต้องย้ายไปที่อื่น คงอาจเป็นเพราะว่า ข้าราชการและประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ เพราะข้าราชการและประชาชนคงจะมีความหมั่นไส้ท่านเก่งแต่เพียงคนเดียว คนอื่นไม่มีความหมาย เพราะคำว่า "ข้าพเจ้า" ของท่าน ฟังดูแล้วช่างใหญ่โตวางก้าม เก่งกาจ แต่งเพียงผู้เดียว
ในคำพูด "สุนทรพจน์" ของท่านอับราฮัม สินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้กล่าวที่สมรภูมิ เกตติสเบิร์ก มีผลทำให้สงครามกลางเมืองยุติลงภายในเวลาไม่ถึง ๔ นาที (โดยประมาณ) หากมีโอกาสได้อ่านสุนทรพจน์ของท่านแล้ว จะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีจิตวิทยาในการใช้คำ สรรพนาม อย่างมีประสิทธิ์ภาพ คือมีคำว่า เรา และ ของเรา ๑๐ ครั้ง คำว่า ท่าน และพวกท่าน ๗ ครั้งส่วนคำว่า ข้าพเจ้า มีเพียงครั้งเดียวและแสดงออกมาในลักษณะที่ผู้ฟังเห็นว่าไม่ได้สำคัญหรือใหญ่โตอะไรเลย
เวลาเราใช้คำว่า "เรา" "ของเรา" ฟังดูช่างเป็นสำเนียงที่ไพเราะซาบซึ้งและมีเสน่ห์ เพราะมีความหมายว่า ทุกคนอยู่ในความเอาใจใส่จากเราอย่างแน่นแฟ้น ช่างชุ่มชื่นสนิทสนมกลมเกลียวอย่างธรรมชาติ มีผลบันดาลให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้พูดเสมอ เช่นเวลาเราพูดกับภรรยาที่บ้านว่า "นี่บ้านฉัน…….รถยนต์ของฉัน…….." ภรรยาของเราจะรู้สึกต่อคำพูดอย่างหนึ่ง แต่ถ้ากล่าวว่า "นี่บ้านของเรา ……รถยนต์ของเรา" หล่อนย่อมเกิดความรู้สึกอึกอย่างหนึ่งแน่นอน
การรู้จัดใช้คำว่า "เรา พวกเรา ของเรา" จะทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับผู้พูด แล้วทุกคนก็จะต่อสู้เพื่อเรา หรือพวกเรา การรู้จักใช้คำว่า ท่าน เรา พวกเรา ของเรา" อย่างเข้าใจในความหมายทางจิตวิทยา จะได้รับความร่วมมือร่วมใจมากกว่ารู้จักใช้แต่เพียงคำว่า "ข้าพเจ้า ผม หรือ ฉัน" เพียงคำเดียว และหากจำเป็นจะต้องใช้ก็ขอให้เป็นไปในลักษณะที่มีความหายหรือความสำคัญน้อยที่สุด
ข. ถ้อยคำมนต์ขลัง
ถ้อยคำมนต์ขลัง หมายถึงถ้อยคำประเภท "เสมอแนะให้เชื่อตาม" หรือ "ทึกทักให้เชื่อตาม" แบ่งออกเป็น ๒ แบบคือ ๑) แบบฉายสปอร์ตไลท์ไปที่ดอกกุหลาบ ปล่อยให้หนามกุหลาบอยู่ในความมืด
๒) แบบระหว่างบางอย่างกับบางอย่างไม่ใช่ระหว่างบางอย่าง กับไม่มีอะไรสักอย่าง
๑) แบบฉายสปอร์ตไลท์ไปที่ดอกกุหลาบ เช่น "คุณพูดไม่เข้าใจ" เป็นคำพูดธรรมดา แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น "ผมฟังไม่เข้าใจ" จะกลายเป็นถ้อยคำที่มีพลังไปทันที หรือประโยค ที่ว่า "คุณทำงานผิดพลาดมาก" ผู้ฟังย่อมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ถ้ากล่าวเสียใหม่ว่า "งานสำคัญ ๆ อย่างนี้ใคร ๆ ก็ทำผิดพลาดได้แม้แต่ผมเองก็เคยทำผิดมาก่อน…….." จะเป็นคำกล่าวที่สะกดผู้ฟังได้มากกว่าเป็นต้น
๒) แบบระหว่างบางอย่างกับบางอย่าง แบบนี้เป็นที่ผู้พูดต้องเน้นให้อีกฝ่ายหนึ่งเลือกตกลงใจที่จะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งนามที่พูดต้องการไม่ใช่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเลือกคำตอบที่ผิดความมุ่งประสงค์ของตน ตัวอย่าง เช่น "คืนนี้เราไปเที่ยวนอกบ้านกันดีไหม…….." เป็นคำพูดธรรมดา การชวนอาจไม่มีผล แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นว่า "คืนนี้เราจะไปดูหนัง หรือ เต้นรำ กันดี….." เราก็จะได้รับคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ดูหนังก็เต้นรำ ซึ่งความต้องการของผู้พูดก็คือ อะไรก็ได้ ขอให้ได้ออกนอกบ้านก็แล้วกัน
หรือการนัดหมายกัน เช่น
"ผมมีธุระสำคัญจะปรึกษา คุณสมชายจะให้ผมพบได้เมื่อไร ……….." อย่างนี้กว่าจะได้พบยาก หรืออาจจะไม่ได้พบเลยก็ได้
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นถ้อยคำ "มนต์ขลัง" ว่า……….
คุณสมชายครับ ผมมีธุระสำคัญจะปรึกษา จะให้ผมมาพบเวลาก่อนเที่ยงหรือ ตอนบ่ายครับ" ไม่ว่าคุณสมชายจะเลือกเวลาใด ก็สมปรารถนาของเราเสมอคือได้พบแน่ เป็นต้น
ถ้อยคำมนต์ขลัง ส่งกระแสให้เกิดปฏิกิริยาต่ออารมณ์
ถ้อยคำมนต์ขลัง ทำให้กระดูกสันหลังเสียววูบ หัวใจเต้นแรง เราจะไม่มีวันขาดทุนจากการใช้ถ้อยคำมนต์ขลัง
การใช้ถ้อยคำมนต์ขลังที่ดี ควรเกิดจากความจริงใจ ไม่ใช่การเสแสร้ง
ค. การสกดด้วยเสียง
เสียงสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้
เสียงย่อมบอกอารมณ์ผู้พูดได้เสมอ
เสียงสามารถสะกดผู้ฟังได้
ในการพูด ผู้ฟังจะวินิจฉัยถ้อยคำ และนำเสียงมากกว่าลักษณะอาการอื่น ๆ
๙ ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ของความกระทบกระทั่งบ่ดหมางมีสาเหตุมาจากเสียงเป็นส่วนใหญ่
เสียงแม้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็สามารถปรับปรุงให้เหมาะสมได้
การรู้จักใช้เสียง นอกจากจะเพิ่มเสน่ห์แก่ผู้พูดแล้ว ยัง ยังช่วยให้คำพูดมีพลังอีกด้วย
คำว่า "ไม่ได้" ของสตรี อาจจะหมายถึง "ได้" ก็ได้สุดแล้วแต่เสียงที่เปล่งออกมา
เวลาเราเรียกสุนัขด้วยเสียงดุดันว่า "มานี่ มันอาจจะวิ่งหนี แต่ถ้าพูดว่า "ออกไป" ด้วยเสียงเรียบ ๆ มันก็จะเดินเข้ามาหาเราก็ได้
คำ "ขอบคุณ" ด้วยน้ำเสียงที่ต่างกัน ย่อมมีความหมายไม่เหมือนกัน
ถ้าตำรวจจราจรกล่าวกับผู้ทำผิดกฎจราจรด้วยเสียงห้วน ๆ ว่า "ขอดูใบอนุญาตซิ………" อาจมีการโต้เถียงหรือท้าทายกันอย่างรุนแรง แต่ถ้ากล่าวเสียใหม่ด้วยเสียงสุภาพว่า "ขอโทษ ท่านคงเผลอทำผิดกฎจราจรไปกระมัง ขอดูใบอนุญาตหน่อยนะครับ ………." แม้ว่าผู้ทำผิดกฎจราจรจะต้องเสียค่าปรับไปบ้าง ก็ไม่มีความรู้สึกเสียดาย เป็นต้น
เสียงประเภทกระแทกแดกดัน ห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ เป็นเสียงประเภทไม่มีราคาต่างงวด
เสียงอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ สามารถสะกดผู้ฟังได้เสมอ (ยกเว้นผู้ร้ายสำคัญในกรณีพิเศษ)
"สิ่งที่สำคัญกว่าคำพูดที่เราใช้ ก็คือวิธีที่เราใช้ "นี่คือความหมายของการใช้เสียงในการพูดถ้อยคำ ……….ถ่ายทอดความคิด แต่ น้ำเสียง………..ถ่ายทอดอารมณ์
อย่าลืมว่า……..เสียงเป็นเครื่องโฆษณาบุคลิกภาพ
จงทำเสียงให้ประทับใจในเวลาพูด
ง. คำพูดทำให้เกิดภาพ
เหตุใดโทรทัศน์จึงน่าสนใจกว่าวิทยุ ภาพยนต์ดึงดูดใจมากกว่าจานเสียง ทำไมห้องเรียนจึงต้องมีกระดานดำ……….
สุภาษิตจีนกล่าวว่า "ภาพภาพเดียว มีค่ายิ่งกว่าคำพูด ๑,๐๐๐ คำ
เวลาเราพูด ทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพได้ไหม ? เพราะการพูดที่เป็นภาพช่วยให้แนะความคิดของผู้พูดพุ่งเข้าสู่จิตใจของผู้ฟังได้อย่างรวดเร็ว
คำพูดที่เกิดภาพ คือคำพูดที่มีพลัง ยิ่งถ้าทำให้เป็นภาพระบายสีได้ด้วย ก็จะเป็นที่ประทับใจได้ทากขึ้นทีเดียว
คำพูดที่ทำให้เกิดภาพ มักจะเต็มไปด้วย "ตัวอย่างเช่น ………" เสมอ
ถ้ามีใครสักคนบอกเราว่า ที่ตลาดบางสำภูมีร้านขายหมูสะเต๊ะ อยู่ร้านหนึ่ง อร่อยมากเราจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะเราต่างก็เคยกินหมู่สะเต๊ะกันมานากแล้ว รสชาติก็เหมือน ๆ กัน
แต่ถ้าพูดให้เกิดภาพว่า "ที่ตลาดบางลำภู มีร้านขายหมูสะเต๊ะอยู่ร้านหนึ่ง อร่อยมากเวลาปิ้งมันจะหยดลงถูกถ่านเสียงดัง ฉ่า ….ฉ่า…….." ผู้ฟังจะรู้สึกน้ำลายสอและอยากกินขึ้นมาทันทีทันใด
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์รัฐบุรุษหนึ่งของไทย เป็นนักการทหารที่มีศิลปในการใช้ถ้อยคำที่มีพลังแบบ พูดให้เกิดภาพได้ดีคนหนึ่ง การปราศรัยของท่านไม่ว่าครั้งใด มักจะเป็นที่ประทับใจผู้ฟังเสมอ ตัวอย่าง เช่น………
คำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔ เมื่อ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ มีข้อความว่า………
"การแทรกแซงตัวของคอมมิวนิสต์มีอยู่ทุกกรแส ในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อและแผนการที่ฉลาดหลายอย่าง ทุ่มเทเงินทองเป็นจำนวนมหาศาล ดำเนินการทั้งทางลับและเปิกเผย ทำความพยายามทุกวิถีทางที่จะให้เกิดความเสื่อมโทรม ระส่ำระสายในประเทศ ขุดโค่นราชบัลลังก์ ล้มล้างพระพุทธศาสนา และทำลายสถาบันทุกอย่างที่ชาติไทยได้ผดุงรักษามาด้วยความเสียสละอย่างยิ่งยวด……เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นแผลร้ายพิษแรง สำหรับประเทศชาติ ไม่มีทางบำบัดด้วยวิธีปลีกย่อยแต่ละเรื่อง แต่ละรายไม่สามารถจะแก้ไข้ด้วยวิถีทางเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนตัวตนหรือเพียงแต่แก้ระบบบางอย่าง ซึ่งเปรียบประดุจโรคร้ายที่ ไม่มีทางรักษาด้วยยากันยาทา จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดถึงขั้นศัลยกรรม และเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาโรคร้ายดังกล่าว………"
เกือบจะทุกถ้อยคำในประโยคการพูด ผู้ฟังมองเห้นภาพชัดเจนและเห็นจริงเห็นจังไปด้วยล้วนเป็นคำพูดที่มีพลังและปลุกเร้าให้ตื่นตัว ลุกขึ้นต่อสู้โดยร่วมมือกับรัฐบาล
หากสนใจการพูดของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะเห็นว่า ไม่ว่าในการกล่าวคำปราศรัย การแสดงสุนทรพจน์ หรือการแถลงผลงาน ให้ท่านลองไปอ่านดู ก็จะเห็นด้วยกับคำพูดของท่านทุกครั้ง
จ. การกระตุ้นด้วยคำถาม
การกระตุ้นด้วยคำถามเป็นศิลปอย่างหนึ่งในการเพิ่มพลังคำพูด
การกระตุ้นด้วยคำถามช่วยให้ความคิดของผู้พูดพุ่งเข้าสู่จิตใจผุ้ฟังได้อยางมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
การกระตุ้นด้วยคำถาม ขจัดปฏิกิริยา หรือความคิดที่ไม่เห็นด้วยของผู้ฟังได้อย่างชัด
การกระตุ้นด้วยคำถามช่วยประหยัดถ้อยคำและเวลาในการพุด
การกระตุ้นด้วยคำถาม ทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเหมือนว่า เขากำลังพูดอยู่กับตัวของเขาเอง และกำลังคิดตอบปัญหาของตัวเอง ถึงแม้ผู้ฟังจะนึกได้ว่าเป็นการพูดของผู้พูด ก็มีความรู้สึกเหมือนว่า เขากำลังได้รับการขอร้องมากกว่าการบังคับ
แพตทริค เฮนรี สมาชิกรัฐสภาเวอร์บิเนียร์ (เมืองขึ้นของอังกฤษสมัยนั้น) เขาต่อสู้เพื่อให้รับเวอร์ยิเนียร์มีอิสรภาพ ด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ในรัฐสภา หากการกล่าวของเขาไม่ได้รับความร่วมมือจากสมาชิกรัฐสภา เขาจะต้องถูกแขวนคคอเพราะเป็นกบถต่ออังกฤษแต่กลับประสบความสำเร็จด้วยการพูดที่เต็มไปด้วยคำถามตลอดการพูด เขากล่าวว่า………. "พี่น้องของเรา ต่างอยู่ในสนามรบทำไม เราจึงอยู่ที่นี่กันอย่างงอมืองอตีน…..เราจะนอนคอยกันอย่างเกียจค้าน เช่นนี้หรือ?……..ชีวิตต้องเป็นที่รักหวงแหน มีเสรีภาพเป็นที่ชื่นใจไหม?…….เมื่ออยู่ในฐานะจองจำและเป็นทาสอย่างนี้ ?……. จองจำหรือเป็นทาส หรือจะสู้อังกฤษดี?………..ในที่สุดสมาชิกรัฐสภาเห็นด้วยกับเขารัฐเวอร์ยิเนียร์จึงได้รับการปล่อยให้มีอิสรภาพ
แม้ในการชักชวนให้มีการเดินขบวน ก็มีเคล็ดลับหรือวิธีการแห่งประเด็นนี้ด้วย นักเดินขบวนทั้งหลายจึงประสบความสำเร็จเสมอ หากไม่สามารถจะพูดให้คนอื่นเห็นด้วยกับแนวความคิดของเราด้วยวิธีพูดธรรมดา แล้ว ให้ลองใช้วิธีกระตุ้น ปลุกเร้าด้วยคำถามดูบ้าง อาจจะพบกับความง่ายดายอย่างไม่คาดฝันก็ได้
ฉ. คำพูดแบบเพื่อนเก่า
วิลรอเยอร์ กล่าวว่า "ผมรักถ้อยคำ แต่ผมไม่ชอบถ้อยคำแปลก ๆ เพราะเราไม่เข้าใจมันและมันไม่เข้าใจเรา………ผมชอบถ้อยคำแบบเพื่อนเก่าที่พอเห็นหน้าแพล้บเดียวก็จำได้……….."
เวลาพูด จงใช้ถ้อยคำง่าย ๆ ธรรมดา ๆ แบบเพื่อนเก่า พอได้ยินปุ๊บก็เข้าใจปั๊บบางคนดัดใช้คำยาก ๆ สูง ๆ เพื่อต้องการจะอวดภูมิว่า ตัวเองเป็นผู้มีภูมิปัญญาสูงมากกว่าที่จะพูดเพื่อความเข้าใจคนพวกนี้แปลก ยิ่งพูดให้คนเข้าใจยากได้เท่าไดรู้สึกว่า เป็นความภาคภูมิใจยิ่งนัก หารู้ไม่ว่า นั่นเขากำลังพูดอยู่กับป่าช้า ต่อให้เขาพูดไปจนกระทั่งขากรรไกรหัก หรือจนกว่าแก้วหูของผู้ฟังแตก ก็หาได้ทำให้การพูดนั้นบรรลุความสำเร็จได้ไม่ รังแต่จะสร้างความรำคาญ อึดอัด แก่ผู้ฟังมากกว่า
คำว่า "ฉันรักเธอ" ไม่ว่าจะไปพูดกับใครที่ไหน พอได้ยินปุ๊บก็เข้าใจปั๊บเพราะเป็นคำพุดแบบเพื่อนเก่าที่คุ้นหน้ากัน พอเห็นหน้าแปล๊บเดียวก็จำได้
แต่ถ้าดัดพูดว่า "เธอเขย่าธรรมชาติอารมณ์เสน่ห์ของฉันให้หวั่นไหว …….." ฟังเข้าใจก็ยากหรือไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สำหรับผู้ฟังที่อยู่ห่างไกลกลิ่นไอแห่งความเจริญขั้นนี้…………
การใช้ถ้อยคำสูงๆ ไม่ได้ช่วยให้เกิดความเข้าใจ ชนะใจ หรือจูงใจผู้ฟังได้เลยถ้อยคำง่าย ๆ ที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันต่างหากที่สามารถมองเห็นภาพได้ถนัดชัดเจนกว่าและเข้าใจได้ง่ายกว่าเป็นไหน ๆ
นักวิชาการบางคนเวลาพูด ชอบใช้ศัพท์ทางวิชาการพร่ำเพรื่อไม่เลือกว่าที่ใดควรหรือไม่ควรพูด ผู้ฟังจำนวนมากเบื่อหน่าย เอือมระอาต่อการฟัง เช่นนี้มามากต่อมาก อย่าง เช่น……
"การบรรยายวันนี้ เป็นการบรรยายเรื่องการอนุรักษ์ป่า บริรักษกรได้เผยผึ่งถึงพิชานอันเป็นอนันตริภาพให้เห็นถึงหิตาตุหิตประโยชน์………." เป็นต้น ซึ่งในการใช้ถ้อยคำในการพุดอย่างนี้จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ และมีศรัทธาที่จะฟังเพราะจะต้องมาแปลไทยเป็นไทยกันอีกขั้นหนึ่งไป

๓ สรุป
ในบรรดาคำพูด วันละ ๓๐,๐๐๐ คำ ต่อวันของเรา เราแน่ใจหรือยังว่าเป็นคำพูดประเภท "พูดแต่ดี" ไม่ใช่ "ดีแต่พูด" คำพูดประเภท "พูดแต่ดี" ล้วนเป็นคำพูดที่มีพลัง
ก่อนที่จะพูดจงคิดเสียก่อนว่า เป็นยาพิษหรือน้ำผึ้ง คำพูดหากจะเปรียบเสมือนแสงแดดถ้าเราสามารถทำให้แสงมารวมกันได้มากเท่าใด ก็ยิ่งจะมีพลังเผาไหม้มากขึ้นเพียงนั้น
"ศิลปทั้งผอง ต้องฝึกหัด ตามบรรทัดฐานเห็นเป็นปฐม
วาทศิลป์เลิศล้ำคำนิยม คมเหมือนคมอาวุธใดในปถพี
ครูอาจารย์การพูดพิสูจน์แล้ว อันดวงแก้วแจ่มจำรัสรัศมี
ถึงแรกมัวสลัวค่าเหมือนราคี เช็ดขัดดีขึ้นมาจึงน่ายล"

*********************

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ความเป็นมาของปัญหา

ผมทราบมาว่าการต่อต้านสยามของรัฐปัตตานีในครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๓๗๔...ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น..

แต่เรื่องที่น่าคิดเกิดขึ้นตรงนี้.....

รัชการที่ ๕ ได้เริ่มจัดระเบียบการบริหารขึ้นใหม่ตามระบบเทศาภิบาล ยกเลิกระบบการปกครองแบบหัวเมือง ดังนั้นจากเจ้าเมืองที่ปกครองกันเองเก็บภาษีกันเองแล้วส่งส่วยให้สยาม ๓ ปีต่อครั้ง..กลายเป็นระบบผู้ว่าราชการจังหวัด (แต่สมัยนั้นเขาเรียกว่าข้าหลวงเทศาภิบาล) รับเงินเดือนจากทางการสยาม เจ้าเมืองปัตตานีไม่ค่อยแฮปปี้ รู้สึกว่าตนเองเสียอำนาจไปมาก ตอนนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นมาพอสมควร รัชการที่ ๕ ก็ให้เจ้าพระยาดำรงราชานุภาพมากำกับดูแล

ผมก็สงสัยว่า......แล้วทำไมรัชการที่ ๕ ต้องเปลี่ยนระบบด้วยเล่า.. หรือว่าท่านอยากมีอำนาจ....พวกผมก็เดาเอานะว่ายุคนั้นอังกฤษ กับฝรั่งเศส เข้ามาล่าอาณานิคม..เราต้องทำให้เขาเห็นว่าสยามเราเป็นรัฐเดียว...คุณจะมาแบ่งไม่ได้...ซึ่งยุคนั้นมันก็มีเจ้าเมืองซึ่งเคยส่งส่วยให้บางคนเลือกที่จะอยู่กับอังกฤษหรือฝรั่งเศส

7 เดือนแห่งความพยายามยื้อชีวิตครูจูหลิง




วันนี้ไม่มีครูจูหลิง ที่กูจิงลือปะ...!?!

โดย คม ชัด ลึก วัน พุธ ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2550 13:16 น.
7 เดือนแห่งความพยายามยื้อชีวิตจบลงด้วยชีวิต การเดินทางอันแสนยาวนานของผู้หญิงตัวเล็กๆ จากเชียงรายสู่ปลายทางแห่งฝันสิ้นสุดลงพร้อมกัน วันนี้ที่กูจิงลือปะไม่มีครูจุ้ย "จูหลิง ปงกันมูล" อีกต่อไป

เพื่อสานฝันให้เป็นจริง ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จึงบากบั่นจากบ้านเกิดเมืองนอน จากจังหวัดเหนือสุดแดนสยาม มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่แตกต่างทั้งขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม

ปี 2546 ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อ "จูหลิง ปงกันมูล" หรือที่พ่อแม่ญาติพี่น้อง ทั้งผองเพื่อนเรียกติดปากว่า "จุ้ย" จบการศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์งานศิลปะมาพอสมควร ก่อนจะเก็บกระเป๋าเดินทางไกลจากเชียงรายไปนราธิวาส รับจ้างวาดภาพตามโบสถ์วัดต่างๆ นำเงินที่ได้ส่งกลับให้พ่อและแม่

2 ปีให้หลัง จุ้ย ก็มีคำนำหน้าชื่อให้ใครต่อใครในนราธิวาสเรียกขานว่า "ครูจุ้ย" หรือ "ครูจูหลิง" แทนที่จะเรียกว่า จุ้ย เฉยๆ เหมือนอย่างเคย เมื่อสอบเข้าบรรจุเป็นครูที่ ร.ร.กูจิงลือปะ หมู่ 4 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

ด้วยความเป็นคนมีอุปนิสัยร่าเริง เป็นกันเอง เธอจึงเป็นที่รักใคร่ชอบพอของเด็กๆ เพื่อนครู และชาวบ้านกูจิงลือปะ แต่เหมือนฟ้าจะลิขิตชีวิตเธอมาเพียงแค่นี้ เมื่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ลุกลามนำภัยมาสู่ตัวเธออย่างไม่รู้ตัว

เที่ยงวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ครูจุ้ย พร้อมด้วยเพื่อนครู ร.ร.กูจิงลือปะ อีกหลายคน ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวที่หน้าโรงเรียน จู่ๆ ก็มีเสียงประกาศตามสายเป็นภาษามลายู เพื่อนครูมุสลิมฟังแล้วถึงกับตกใจ แปลได้ใจความว่า ให้ชาวบ้านรวมตัวกันจับครูไทยพุทธเป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับอิสรภาพของ "อับดุลการิม มาแต" กับ "มูหะหมัดสะแปอิง มือรี" 2 ผู้ต้องหาทำร้าย 2 นาวิกโยธินถึงแก่ความตาย

เหตุการณ์ร้ายแรงเกินกว่าที่ใครๆ จะคาดคิดไปถึง เมื่อชาวบ้านกว่า 300 คน กรูเข้าจับตัว ครูจูหลิง กับ น.ส.ศิรินาถ ถาวรสุข สองครูไทยพุทธ ถูลู่ถูกังไปตามถนนตรงไปยังห้องเก็บของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านกูจิงลือปะ ห่างจากโรงเรียนไป 400 เมตร ระหว่างทางทั้งสองถูกตบตีทำร้ายร่างกายต่างๆ นานา

ในห้องที่ปิดล็อกและมืดมิด ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งสวมหมวกไหมพรม ตรงเข้าใช้ไม้กระหน่ำตีสองครูอย่างทารุณ สติสัมปชัญญะครั้งสุดท้ายของครูจูหลิงจบสิ้นลงตรงจุดนี้ !!!

แต่กว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือ นำร่างอันสะบักสะบอมของครูจูหลิงและครูศิรินาถ ออกจากจุดเกิดเหตุส่งโรงพยาบาลก็ต้องเสียเวลาอยู่นาน กว่าจะฝ่าอุปสรรคขวากหนามที่ชาวบ้านทำไว้ ทั้งโรยตะปูเรือใบ ตัดต้นไม้ปิดทางเข้า-ออก อาการของสองครูก็เข้าขั้นโคม่า กว่าจะไปถึง รพ.สงขลานครินทร์ ก็ปาเข้าไปตี 3 ของอีกวัน

ครูจูหลิง โชคร้ายกว่าเพื่อน เธอไม่ได้สติเลยนับตั้งแต่ถูกทำร้าย อันเนื่องมาจากศีรษะช้ำและร้าว 20 แห่ง ต้นคอ ไขสันหลังบวม ฐานกะโหลกศีรษะแตก อันเกิดจากการถูกทุบตีอย่างรุนแรง แขนหัก และกระดูกสันหลังแตก

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางการเฝ้าอธิษฐานของคนไทย ที่ต่างก็รับรู้ข่าวสารด้วยความสะเทือนใจ วันแล้ววันเล่า คนแล้วคนเล่า ที่เดินทางไปเยี่ยมดูอาการ ต่างขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องคุ้มครองครูจูหลิง และภาวนาขอให้เธอหายโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็ขอให้มีปาฏิหาริย์ช่วยให้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่เผชิญอยู่

เดือนกรกฎาคม ครอบครัวปงกันมูลก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับครูจูหลิงเป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ พร้อมกับรับสั่งให้สำนักพระราชวังติดตามสอบถามอาการ เพื่อถวายรายงานก่อน 10.00 น.ของทุกวัน พร้อมกันนี้ ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ รพ.สงขลานครินทร์ ถึง 3 ครั้ง เพื่อใช้ในการรักษาอาการของครูจูหลิง ตลอดจนช่วยเหลือครอบครัวปงกันมูล

มีการระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก 18 สาขา 18 คน และพยาบาลวิชาชีพอีกจำนวนหนึ่ง ให้การเยียวยารักษาอย่างใกล้ชิด โดยมี "สูน กับ คำมี ปงกันมูล" พ่อและแม่เฝ้าดูแลอยู่ข้างๆ แต่ความจริงที่ดำรงอยู่อย่างปวดร้าวนั่นก็คือ อาการของครูจูหลิงอยู่ในภาวะทรงตัวตลอด นับตั้งแต่เข้ารับรักษาตัววันแรก

3 เดือนผ่านไป ครูจูหลิงยังไม่รู้สึกตัว ไม่มีอาการตอบสนองของสมองและก้านสมอง แพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อควบคุมการหายใจอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ให้ยาป้องกันลิ่มเลือดที่ขาแข็งตัว เคาะปอดระบายเสมหะ ลดการอุดตันของปอด และให้อาหารทางสายยาง

ก่อนครบ 3 เดือน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ได้มอบโล่ "คนดีศรีอาชีวะ" ประเภทวิชาศิลปกรรม ให้แก่ ครูจูหลิง ในฐานะของผู้ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ

10 กันยายน 2549 ครอบครัวปงกันมูลก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมอาการป่วยของครูจุ้ยที่ รพ.สงขลานครินทร์

ปลายเดือนธันวาคม 2549 หรือ 7 เดือนให้หลัง รศ.น.พ.สุเมธ พีรวุฒิ ผอ.รพ.สงขลานครินทร์ ได้ร่วมหารือกับ น.พ.สมบูรณ์ศักดิ์ ญาณไพศาล ผอ.รพ.เชียงรายราชประชานุเคราะห์ และทีมแพทย์ กรณีย้ายครูจุ้ยกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด

"แม่ดีใจที่จะได้กลับบ้าน และเชื่อว่าจูหลิงก็ดีใจด้วยเช่นกัน แม่หวังว่าลูกของแม่จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะการกลับบ้านเกิดครั้งนี้ จะทำให้ความรัก ความผูกพันที่มีต่อภูมิลำเนาเดิม ส่งผลให้อาการดีขึ้น แม้จะเป็นเพียงความเชื่อก็ตาม" คำมี ให้สัมภาษณ์เมื่อรู้ว่าเธอกับลูกจะได้กลับบ้าน

แต่สุดท้ายโชคชะตาก็เลือกที่ไม่ยืนอยู่ข้างผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ เมื่อแพทย์ตรวจพบฝีในสมองจำนวนมาก จึงย้ายจากหอผู้ป่วยพิเศษกลับเข้าไปอยู่ในห้องไอซียูเพื่อผ่าตัดเอาฝีออก และความจริงที่พบอีกก็คือ สมองครูจุ้ยเริ่มฝ่อลงเรื่อยๆ ดังนั้น โครงการเคลื่อนย้ายครูจุ้ยกลับบ้านเกิดจึงต้องเลื่อนออกไป

แล้ววันที่ครูจุ้ยจะได้กลับบ้านก็มาถึง แต่เป็นการกลับโดยปราศจากลมหายใจ !!!

8 มกราคม 2550 การต่อสู้บนเส้นทางชีวิตที่แสนยากลำบาก ทั้งตัวครูจุ้ยเอง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คณะแพทย์ ตลอดจนคนไทยที่เฝ้าหวังว่า สักวันเธอจะกลับมาหายดีอีกครั้งก็ยุติลง

นับจากวันนี้ที่กูจิงลือปะจะไม่มีครูจุ้ยอีกต่อไป คงเหลือเพียงความทรงจำ และเรื่องราวของนักต่อสู้หญิงจากแดนไกล ผู้สละชีวิตให้กับมาตุภูมิในฐานะ "ครู" ผู้เสียสละ


กิตติพันธ์ กุลศิริปัญโญ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 1)




บทที่ 1.

ชนบทนอกเมือง...

หมู่บ้านนอกเมืองล้วนมีความเป็นอยู่ไม่แตกต่างกัน

ชาวบ้านต่างตื่นแต่เช้า ภรรยาลุกขึ้นหุงข้าวตักใส่ชามใบโต แล้วผัดผักหลายชนิดอีกหนึ่งจาน ผัดผักจานนั้นไม่มีเนื้อแม้สักชิ้น ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้มีเนื้อกินกันเฉพาะช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเท่านั้น เป็ดไก่จะมีโอกาสได้ลิ้มรสก็ต่อเมื่อถึงวันสารทวันไหว้

สามีลุกขึ้นตรวจดูจอบเสียมเตรียมออกไปไร่นา ส่วนผู้มีอาชีพนายพรานล่าสัตว์ต่างตรวจคันธนูคู่มือ พันเชือกรอบที่จับจนแน่นกระชับเหมาะมือ ง้างสายทดสอบประสิทธิภาพแรงดีด หลังจากกินข้าวชามใหญ่ ผัดผักจานโตต่างคนต่างมุ่งหน้าไปทำงานของตนจนมืดค่ำจึงตรงกลับบ้าน

พลบค่ำภรรยาตักข้าวร้อนกรุ่นใส่ชามใบเดิม เย็นนี้มีต้มเม็ดบัวชามใหญ่ หอมอบอวนด้วยกลิ่นน้ำแกงสีเขียวข้นซึ่งเคี่ยวจากใบบัว ในเวลาเยี่ยงนี้แทบทุกบ้านต่างมีเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวอุ่นจนร้อนอีกกระปุกหนึ่ง นี่คือเวลาพลบค่ำของชนบทนอกเมืองไม่ว่าที่ไหนล้วนเป็นเช่นนี้

ณ หมู่บ้านเทียนเกี๊ย ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ

แสงอาทิตย์สีเหลืองเข้มครอบคลุมขอบฟ้าดุจแพรทองผืนใหญ่

แต่ประกายเจิดจ้าเหนือฟากฟ้าของม่านแสงยามอัสดงกลับต้องอันตรธานไปในพริบตา เมื่อรัศมีของมันทอดลงกระทบบนสิ่งๆหนึ่ง...

เป็นเกล็ดหิมะ...เกล็ดหิมะสีขาวละเอียดนุ่มนวลประดุจใยไหม

บัดนี้มันได้ถืออภิสิทธิ์เข้ายึดครองผืนดินทุกหนแห่งภายในหมู่บ้านนี้ ไม่ยินยอมละเว้นแม้ปลายยอดหญ้าที่อ่อนไหวและบางเบาอย่างยิ่ง

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยตั้งอยู่นอกเมืองจุงกิงประมาณสี่ลี้

เมืองจุงกิงเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญด้วยมีแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นทางออกสู่ทะเล หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมสายใหญ่ใช้ลำเลียงสินค้าจากเมืองต่างๆเพื่อมุ่งสู่มหานครแห่งความมั่งคั่ง

: ถนนสายใหญ่ซึ่งตัดผ่านกลางหมู่บ้านคราคร่ำไปด้วยผู้คน รถม้าและเกวียนบรรทุกสินค้าอยู่ตลอดเวลา พื้นดินถูกล้อเกวียนเกือกม้าเหยียบย่ำจนอัดแน่น ดุจปูลาดด้วยแผ่นหินหนาแกร่งตลอดทั้งสาย พ่อค้าใหญ่ พ่อค้าเล็ก ผู้คนต่างถิ่นผ่านมาผ่านไปไม่ทราบแต่ละวันมีจำนวนมากมายเพียงใด ตลาดกลางหมู่บ้านไม่เคยว่างเว้นผู้คน โรงเตี๊ยมโอ่โถงมักไม่เหลือห้องว่าง หากเป็นเพียงผู้เดินทางผ่านมาโดยมิได้จองล่วงหน้ายากยิ่งที่จะหาห้องพักได้

แต่ทุกสิ่งต่างมีข้อยกเว้น เพราะหากท่านมีเงินขาวๆก้อนโตๆที่ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธ ไม่เพียงห้องพัก ไม่ว่าสิ่งใดสถานที่นี้ล้วนมีให้ท่านได้

สำนักคณิกาของที่นี่เลื่องชื่ออย่างยิ่ง สถานที่แห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาเช่นกัน

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ผู้คนต่างหาความสุขใส่ตัวได้เต็มที่อย่างยิ่ง ไฟในโรงเตี๊ยมและสำนักคณิกาต่างไม่เคยดับสนิทจนรุ่งอรุณของวันใหม่

หากแต่ในหลายวันที่ผ่านมากลับเกิดปรากฏการณ์พิสดารที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

หมู่บ้านที่คึกคักยิ่งกลับกลายเป็นเงียบเชียบราวกับหมู่บ้านร้าง ถนนหนทางที่เคยพลุกพล่านกลับปราศจากผู้คนเดินสัญจรแม้แต่คนเดียว!

นั้นเป็นเพราะตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหิมะได้ตกอย่างหนัก ถนนสายใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าหมู่บ้านถูกหิมะถล่มปิดทางจนกองเกวียนสินค้าไม่สามารถผ่านไปมาได้ คงเหลือเพียงทางเดินเท้าสายเล็กๆที่ใช้สัญจรไปมาได้อย่างยากลำบากเท่านั้น สินค้ามากมายตกค้างอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว พ่อค้า นักเดินทาง คนของสำนักคุ้มกันภัยล้วนต้องนั่งจับเจ่าอย่างไร้ความหมาย ร้านค้าตลาดสดร้านขายของชำพากันพร้อมใจหยุดกิจการจนหมด

ผู้คนต่างอยู่ในบ้านช่องห้องพัก นั่งอุ่นเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวจนร้อนเพียงพอลวกกระเพาะลำไส้ตนเองและมิตรสหาย บ้างมุดตัวอยู่ใต้ผ้านวมอุ่นหนาอิงไออุ่นโฉมสะคราญ ในยามที่ธรรมชาติเป็นอริกับผู้คนเยี่ยงนี้แม้จะมีธุระรีบร้อนปานใดก็ไม่มีผู้ใดยินยอมออกจากที่พักมากระทำเรื่องราวใดๆเป็นแน่

เวลานี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช โรงเตี๊ยมมีชื่อที่สุดในหมู่บ้านกลับมีเรื่องพิสดารเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง!

หิมะหยุดตกแล้ว...

หิมะหยุดตกย่อมมิใช่เรื่องพิสดาร

เช่นไรจึงเป็นเรื่องพิสดาร?

ชายวัยกลางคนสวมชุดขาว ร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปเกือบศอก ยืนอยู่กลางถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน มือแข็งแกร่งหยาบหนาทั้งคู่ซุกไว้ในแขนเสื้อยาว หน้าขาวซีดประหนึ่งไร้โลหิต คิ้วหนาดกขาวดุจหิมะ หางคิ้วทิ้งยาวลงมาเกือบจรดติ่งหู เคราเงินขาวละเอียดจรดหน้าอกส่องประกายวับวาวดุจถักทอจากไหมเนื้อดี ทุกสัดส่วนในร่างสูงใหญ่เปี่ยมความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง

แต่ดวงตาทั้งสองกลับหลุบต่ำคล้ายปิดลงประหนึ่งสะลึมสะลือดั่งคนครึ่งหลับครึ่งตื่น

คนผู้นี้มิได้กำลังสะลึมสะลือใกล้หลับอย่างแน่นอน...

ประกายคมกล้าฉายแววเรืองโรจน์เล็ดรอดออกจากดวงตาที่เกือบปิดสนิทกลับยังเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอัสดงยามอาทิตย์ลับฟ้าหลายเท่า!

ผู้ที่กำลังใกล้หลับไหนเลยมีประกายตาเช่นมัน!

เหตุที่ชายชุดขาวยังไม่ยอมลืมตาเนื่องเพราะมันรู้สึกขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้น

คนทุกผู้ต่างอาศัยดวงตาของตนเมื่อต้องการพิศดูสิ่งต่างรอบกายตน

ขณะนี้รอบตัวมันยังไม่มีสิ่งใดที่จำต้องใส่ใจ มันจึงคิดถนอมดวงตาทั้งคู่ให้มากไว้ เพราะอีกสักครู่ดวงตาของมันจะต้องเผชิญงานหนักอย่างยิ่ง!

ขณะนี้มันกำลังรอคอย...

ชายชุดขาววัยกลางคนทราบดี อีกสักครู่หากตนไม่สามารถรวบรวมกำลังสมาธิจนถึงขีดสูงสุดไม่เพียงนัยน์ตาทั้งสองข้างอาจจำต้องปิดไปตลอดกาล แม้แต่ลมหายใจก็ต้องขาดห้วงลงโดยพลัน!

เวลาที่มันรอคอยจะมาถึงเมื่อไหร่?

เวลาที่มันรอคอยมาถึงแล้ว...

เนื่องเพราะคนที่มันรอคอยเดินออกมาแล้ว...

บุรุษสองคนความสูงต่ำไล่เลี่ยกัน เดินอย่างไม่รีบร้อนออกมาจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช พิจารณาสัดส่วนรูปร่างของพวกมันแล้วนับว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับชาวตงง้วนโดยทั่วไป หากยืนประจันหน้ากับชายชุดขาวคงอยู่ระดับไหล่เท่านั้น...

แต่คนทั้งสองกลับไม่ดูต่ำเตี้ย ทั้งไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนว่าพวกมันต่ำเตี้ยอย่างเด็ดขาด!

เพราะทุกคนทราบพวกมันทั้งสองเป็นคนของหมู่ตึกบูรพา!

คนผู้หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มหน้าขาวเค้าหน้าหล่อเหลาสีหน้าแช่มชื่นปลอดโปร่ง สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดีตัดเย็บประณีต เพียงมองแวบแรกย่อมคาดเดาฐานะของผู้สวมใส่ได้

มันย่อมต้องเป็นกงจื้อที่รุ่มรวยผู้หนึ่ง...

ไม่ว่าผู้ใดต่างดูออกชุดที่กงจื้อผู้นั่นสวมใส่ต้องมิใช่ชุดแต่งกายของชาวตงง้วนอย่างแน่นอน...

ชุดในยาวสีขาวไม่ต่างกับชาวยุทธทั่วไป แต่เสื้อสีน้ำเงินเข้มตัวนอกนั้นปักลวดลายสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน กางเกงยาวที่สวมใส่ยิ่งดูรุ่มร่ามอย่างไรพิกล ยังมีดาบเรียวยาวที่เสียบอยู่ข้างเอว...นั่นก็มิใช่ดาบของชาวตงง้วน

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะ ด้ามเก่าคร่ำคร่าฝักสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดๆ

ทั่วทั้งตัวบุรุษหนุ่มมีเพียงดาบเล่มนี้ที่เรียบง่ายแตกต่างกับลักษณะผู้เป็นเจ้าของ เหตุนี้ยามที่คนทั่วไปจ้องดูมันสิ่งที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นดาบเล่มนี้เอง!

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ชายอีกผู้หนึ่งวัยล่วงเลยจนจอนผมมีสีขาวแซมประปราย สีหน้ามิแข็งกระด้าง มิดุดัน ยิ่งไม่เคร่งเครียดบึ้งตึง แต่เฉยชา เฉยชาจนไร้อารมณ์ความรู้สึกดั่งไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ บุรุษผู้นี้สวมชุดเขียวการแต่งกายเป็นแนวเดียวกับกงจื้อผู้นั้นเพียงแต่เรียบง่ายกว่า สวยงามน้อยกว่า เสื้อผ้าเนื้อธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่ง ร้านขายผ้าทุกร้านย่อมต้องมีผ้าชนิดนี้เป็นจำนวนมากแน่นอน

ธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่งแต่กลับดูไม่ซอมซ่อเป็นเพียงแต่เรียบง่ายธรรมดา เสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อนที่เรียบง่ายไม่มีลวดลายใดๆปักเย็บบนนั้นทั้งสิ้น

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะก็คาดอยู่ที่เอวของชายผู้นี้

ดาบยาวที่เปี่ยมไปด้วยรังสีชนิดหนึ่ง...

เป็นรังสีไร้รูปเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพายุร้ายกลางฤดูตงเทียน แผ่ประกายบาดนัยน์ตาส่งอานุภาพคุกคามผู้คนรุนแรงมหาศาล

รังสีดาบกระจายครอบคลุมทั่วบริเวณแม้ขณะที่มันยังอยู่ในฝัก!

นี่เป็นดาบที่ร่ำลือกันว่ารวดเร็วที่สุดในแผ่นดินยุคนี้!

เพียงแวบแรกที่ผู้คนได้เห็นบุคคลเช่นนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าตน มิว่าผู้ใดต้องมองออก บุรุษผู้สวมอาภรณ์ชุดเขียวมิใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

ยิ่งธรรมดาสามัญกลับยิ่งดูทรงอำนาจ

เพราะมีเพียงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้นที่ยินยอมกระทำตนเป็นคนสามัญ เพราะมีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่สำนึกได้ว่าคุณค่าแท้จริงของตนเองอยู่ที่ใด!

กลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บหลังหิมะที่ตกอย่างหนัก กระนั้นคนทั้งสามยังสวมเสื้อผ้าเบาบางเพียงชั้นเดียวราวกับทั้งหมดได้นัดหมายกันมาชมดอกโบตั๋นในฤดูชุนเทียน มิมีผู้ใดแยแสต่อความผันแปรของสภาพรอบข้าง ราวร่างของบุรุษทั้งสามต่างหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า

บัดนี้หน้าต่างบ้านช่องร้านค้าทุกบานบนถนนสายใหญ่หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเปิดออกจนหมดสิ้น ผู้คนต่างเบียดเสียดผลักดันกันเพียงเพื่อจะชะโงกหน้าลงมายังถนนเบื้องล่าง ทุกผู้ล้วนใส่เสื้อผ้าหลายชั้นทั้งยังกระชับอาภรณ์ของตนตลอดเวลา ร่างกายของคนเหล่านั้นย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้า

เด็กรับใช้หลายคนรีบวิ่งกุลีกุจอยกโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหลายตัวออกจากโรงเตี๊ยมนำมาตั้งเบื้องหน้ากงจื้อผู้สวมอาภรณ์ราคาแพง จัดแจงปูโต๊ะด้วยผ้าอย่างดี สุราหอมกรุ่นชั้นดีอุ่นจนร้อนแล้ว อาหารหลายจานถูกยกมาตั้งอาทิ เนื้อลูกแพะตุ๋น เนื้อนกเจ็ดชนิดผัดน้ำมันหอย ไก่ขอทานหอมกรุ่นยังมีเต้าหู้ทรงเครื่องที่ขาวราวหิมะ

แต่เพียงครู่หนึ่งสิ่งที่ขาวราวหิมะอย่างแท้จริงจึงเดินเข้ามา

: เนื้อหิมะขาวละเอียดยังต้องกลายเป็นขุ่นมัวยามเผชิญกับพวกนาง เสียดายที่เวลานี้พวกนางต่างสวมอาภรณ์ทั้งหนาทั้งมิดชิดมีเพียงใบหน้าเรียวมนเท่านั้นที่ไร้อาภรณ์ปกปิด

เพราะร่างกายของพวกนางย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้าอย่างแน่นอน...

เสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวคณิกาเลื่องชื่อแห่งนครจุงกิงกลับยินยอมเดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ พวกนางต่างนั่งอยู่ข้างๆกงจื้อเจ้าสำราญผู้สวมชุดราคาแพงเนื้อผ้าแปลกตา

ใบหน้าของกงจื้อผู้นี้นับว่าหล่อเหลาอย่างยิ่งจริงๆ หน้าขาวคิ้วบางเรียวสีดำสนิท ใบหน้าไร้ริ้วรอยใดๆ ปราศจากหนวดเคราแม้เพียงสักเส้น มันถนอมใบหน้าตัวเองเสมอมาไม่ยอมให้สิ่งใดกระทบจนเกิดริ้วรอยแม้แต่น้อย สัดส่วนต่างๆบนใบหน้าล้วนอยู่ในที่ๆเหมาะสมอย่างยิ่ง ด้วยใบหน้าเช่นนี้หากมันเป็นเพียงบุตรหลานชาวบ้าน ชาวนาสามัญธรรมดาคาดว่ายังต้องมีดรุณีน้อยใหญ่เข้ามากรุ่มรุมให้วุ่นวายใจไม่หยุดหย่อน

แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้กลับเป็นถึงกงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุทธภพปัจจุบัน เรื่องดรุณีน้อยใหญ่จึงมิจำเป็นต้องพูดถึงอีก

โยชิโอกะ ริวจิไม่มีเวลาว่างแม้แต่น้อย เดี๋ยวป้อนไก่ขอทานเสี่ยวชุ่ย เดี๋ยวดื่มเหล้าจากชุนฮัว เดี๋ยวเล่นทายมือกับเสี่ยวชุ่ย ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลายโยชิโอกะ ริวจิล้วนไม่สนใจ สีหน้าแช่มชื่นรอยยิ้มกรุ่มกริ่มจ้องดรุณีทั้งสองไม่วางตา สองมือประคองนงคราญ กล่าววาจาหยอกเย้า ลำคอถูกราดรดด้วยสุรา ขณะเคี้ยวเนื้อลูกแพะนุ่มลิ้น

บุรุษอีกสองคนเล่า...

บุรุษทั้งสองยืนประจันหน้ากันเนิ่นนานชายชุดขาวจึงกล่าวว่า

“ท่านก็มาแล้ว...ยังต้องการกล่าวสิ่งใดหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดตอบ

ชายชุดขาวแสยะยิ้ม***มอำมหิต

“ดาบของท่านรวดเร็วสมคำร่ำลือจริงหรือไม่”

ยังคงไม่มีผู้ใดตอบ...

ชายชุดเขียวไม่ตอบคำ คิ้วของมันหนากว่าคนทั่วไป ดูคล้ายแพขนาดใหญ่ยิ่งดูยิ่งสะดุดตา เค้าหน้ารูปสี่เหลี่ยมเฉยเมยไร้อารมณ์ใดๆ มองดูดังแท่งศิลาอันแข็งแกร่งมากกว่าใบหน้ามนุษย์ เส้นผมและขนคิ้วบางส่วนเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา จอนยาวทั้งสองข้างมีสีเทาแซมอยู่ประปราย ยามจ้องมองไปเบื้องหน้าแววตาเจิดจ้าแน่วนิ่งเป็นประกายดั่งยามอาทิตย์อุทัย

คนผู้นี้ความจริงมีอายุราวสามสิบเศษๆ แต่ปลายขอบตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยริ้วรอยของการตรากตรำต่อสู้มาอย่างโชกโชน ทำให้ใบหน้ามันดูสูงวัยกว่าอายุแท้จริงถึงสิบกว่าปี

มือแข็งแกร่งทั้งคู่ปล่อยตามสบายข้างลำตัว บุรุษชุดเขียวได้แต่มองตรงไปเบื้องหน้า มันเพ่งมองไปยังชายชุดขาว ลมหายใจแผ่วเบาทอดถอนออกมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายไม่ต้องการมองบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตน ที่แท้มันทอดถอนหายใจให้กับบุรุษชุดขาว เพราะมันทราบภายใต้สภาวะที่ตนพร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ต้องไม่มีผู้ใดสามารถรักษาชีวิตรอดจากคมดาบของมันได้!

สิบปีก่อนทั่วทั้งเกาะพู้ซึ้งไม่มีผู้ใดสามารถต้านดาบของนาคามูระ โยชิได้

ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากย้ายมาพำนักอยู่กับหมู่ตึกบูรพาในตงง้วน ฉายามือสังหารไร้รักก็ดังก้องจนกลบรัศมีบรรดายอดฝีมือที่เคยมีชื่อเลื่องลือในตงง้วนจนสิ้น!

เสียงชายชุดขาวคำรามเบาๆในคำคอ ดวงตาเรืองโรจน์ทั้งคู่ลืมโพลงขึ้น ถึงเวลาที่ต้องใช้มันแล้ว! คิ้วหนาขมวดเข้าหากันใบหน้าซีดขาวกลับกลายเป็นแดงกล่ำดุจโลหิต ร่างสูงใหญ่แต่ปราดเปรียวอย่างยิ่งสะบัดมือทั้งสองข้างวูบขึ้น พลันบังเกิดประกายแหลมคมของอาวุธสีดำสนิทสองสายพุ่งจู่โจมตรงไปยังลำคอและทรวงอกของชายชุดเขียวรวดเร็วปานสายฟ้า!

ชายเสื้อสีเขียวสะบัดวูบดาบยาวพลันหลุดจากฝักไปอยู่ในมือ นี่เป็นระดับความเร็วของการชักดาบที่ผู้คนไม่สามารถคาดคำนวนได้!

รวดเร็ว! รวดเร็วอย่างยิ่ง!

ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าดาบยาวสีเงินเล่มนั้นหลุดออกจากฝักมาอยู่ในมือของชายชุดเขียวได้อย่างไร

ชายชุดขาวก็ไม่สามารถ!

ดาบยาวสีเงินที่คล้ายหนักอย่างยิ่ง แต่ชายชุดเขียวเพียงสะบัดข้อมือวูบบังเกิดเป็นเงาดาบนับสิบเส้นแผ่เป็นวงกว้างสกัดการจู่โจมปานสายฟ้าของชายชุดขาวได้ในกระบวนท่าเดียว!

มือทั้งคู่พลันมาจับด้ามดาบพร้อมกันยิ่งเพิ่มพูนสภาวะจู่โจม พลิกปลายดาบพุ่งตรงไปยังประกายสีดำทั้งสองสาย ประกายคมดาบพุ่งผ่าอากาศวาววับใสกระจ่างทรงมหิธานุภาพดุจมังกรขาวเริงนภา

ไม่มีสายตาคู่ใดเห็นดาบของมันกระทำอย่างไรกับประกายสีดำคู่นั้น ผู้คนเพียงเห็นมือของมันสะบัดวูบไปมา แต่ชายชุดขาวกลับไม่มีปัญญารับสภาวะการจู่โจมนี้ ถึงกับต้องผงะร่างถอยกรูดประกายสีดำทั้งสองเส้นสลายวับไปกับตา

ชายชุดเขียวยังคงวาดดาบต่อเนื่องเงาดาบยาวสีเงินพุ่งตามติดคุกคาม รอบบริเวณปรากฏเศษผ้าสีขาวปลิวว่อน รังสีดาบยิ่งนานยิ่งอำมหิตหิวกระหายราวจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งภายใต้รัศมีแห่งมัน

ชายชุดขาวยิ่งหน้าแดงกล่ำหยาดเหงื่อผุดขึ้นโทรมใบหน้า มันทราบดีสถานการณ์ขณะนี้ชีวิตตนเองกำลังล่อแหลมจวนตัวอย่างยิ่ง พู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือมิว่าพลิกแพลงกระบวนท่าอย่างไรกลับมิอาจเข้าประชิดคมดาบสีเงินได้แม้แต่น้อย เพียงแค่รังสีดาบยังสามารถคุกคามกดดันจนตนเองถอยกรูดไม่อาจเข้าประชิด การจะโต้ตอบกลับได้แม้สักกระบวนท่ายิ่งคล้ายหมดหนทางโดยสิ้นเชิง

แต่เทพพู่กันคู่ยะเยือกมีชื่อเสียงในยุทธภพมากว่าสิบปีไหนเลยยินยอมรับความพ่ายแพ้ในสภาพนี้ คิ้วยาวตั้งชี้ชัน แสยะยิ้ม***มเกรียม แววตาลุกโชนดุจเปลวเพลิง ฉับพลันมือหยาบหนาแกร่งทั้งคู่ของมันกลับกลายเป็นซีดขาวไร้สีเลือดดุจซากศพ! กระแสไอเย็นมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากมือทั้งคู่รวดเร็วปานอสนีบาต!

ชายชุดขาวทุ่มเทพลังทั้งหมดจู่โจมด้วยไอเย็นไร้ลักษณ์แผ่พิษเย็นจากฝ่ามือทั้งสองผ่านไปที่ปลายพู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือ พุ่งเป็นสายถล่มทลายราวคลื่นล้างหาดเข้าทำร้ายคู่ต่อสู้โดยปราศจากรูป กว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวไอเย็นก็พุ่งประชิดตัวแล้ว พิษไอเย็นที่รุนแรงสามารถกระแทกอวัยวะภายในจนแหลกเหลวป่นยุ่ย! หากแข็งขืนเกร็งกำลังต้านพิษเย็นสายนี้ไว้ ยังต้องเผชิญกับประกายแหลมคมทั้งคู่ของพู่กันสีดำสนิทซึ่งจู่โจมตามมาติดๆ ด้วยอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

นี่เป็นวิชาลอบสังหารที่อำมหิตที่สุดแขนงหนึ่ง!

ชายชุดขาวคิดไม่ถึงว่าตนจำต้องใช้ท่าไม้ตายประจำตัวรวดเร็วปานนี้ แต่เมื่อใช้ออกไปแล้วมันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง มันมั่นใจนี่เป็นกระบวนท่าที่คู่ต่อสู้ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้แน่นอน

ห้าปีแล้วที่วิชาฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะของเทพพู่กันคู่ยะเยือกไร้ซึ่งผู้ต่อต้าน!

เมื่อชายชุดเขียวรู้สึกถึงพิษเย็นมหาศาลที่พุ่งจู่โจม ไอเย็นก็ครอบคลุมชายเสื้อเขียวกระชั้นชิดยิ่งเสียแล้ว เห็นได้ชัดหากมันไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกัน อวัยวะภายในต้องแหลกเหลวอย่างแน่นอน แต่หากทำเช่นนั้นไหนเลยจะลอดพ้นปลายพู่กันแหลมคมที่พุ่งคุกคามตามมาดุจประกายอสนีบาตได้

ชั่วพริบตานั้น ชายชุดเขียวทั้งไม่หลบหลีบ ยิ่งไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกันตัว ซ้ำยังพุ่งร่างตรงเข้าหาชายชุดขาวอย่างรวดเร็ว

ร่างสีเขียวเคลื่อนไหววูบรวดเร็วไม่ช้ากว่ายามที่มันสะบัดดาบยาวในมือแม้แต่น้อย!

ปลายดาบสีเงินพุ่งเข้าปะทะผ่ากระแสไอเย็นอย่างแข็งขืน จุดหมายของมันคือหว่างคิ้วของชายชุดขาว!

เป็นการจู่โจมที่อยู่เหนือการคาดคิดของเทพพู่กันคู่ยะเยือกโดยสิ้นเชิง มันตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด ชั่วขณะถึงกับไม่กล้าส่งกระแสพลังจนสุด พริบตานั้นมันจำต้องรั้งพู่กันคู่สีดำทั้งสองในมือกลับมาป้องกันใบหน้าในทันที

กระบวนท่าฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะสูญเสียสภาวะจู่โจมของตนเองลงโดยสิ้นเชิง!

เสียงดังกึกก้องเมื่อโลหะสองชนิดกระทบกัน...ครู่หนึ่ง...

ชายชุดขาวเก็บพู่กันทั้งสองไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วดั่งไม่เคยนำมันออกมาใช้ สีหน้าแดงกล่ำกลายเป็นซีดขาวจนปราศจากสีเลือด แววตาทั้งคู่เปล่งประกายแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แววตาที่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตคนผู้หนึ่ง!

“ห้าปี...ข้าเก็บตัวอยู่ในสถานที่นี้ถึงห้าปี คิดว่าพลังฝีมือรุดหน้าขึ้นอีกมาก...แต่...”

ใบหน้าของมันไม่ปรากฏแววของความเจ็บปวด แต่ชายชุดขาวล้มลงแล้ว พู่กันสีดำสนิทร่วงหล่นจากแขนเสื้อแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่หว่างคิ้วจนถึงปลายคางปรากฏเส้นบางๆสีแดงเส้นหนึ่ง

กลางหิมะขาวร่างในชุดขาวของเทพพู่กันคู่ยะเยือกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปตลอดกาล...

ชายชุดเขียวก้มหน้าลงต่ำอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดดูออกดาบยาวถูกเก็บเข้าฝักตั้งแต่เมื่อไหร่

สีหน้าเคร่งครึมยังเฉยชาไร้ความรู้สึกใดๆ มิได้ยินดีลิงโลดกับชัยชนะของตน ทั้งมิได้เศร้าโศกเสียใจที่มือทั้งคู่ต้องแปดเปื้อนโลหิตอีกครา

มันเพียงรู้สึกนี่เป็นอีกครั้งที่มันปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนาง...

คำมั่นสัญญาที่กลายมาเป็นรากฐานค้ำจุนให้ชีวิตของตนสามารถยืนหยัดอยู่ต่อมาได้กว่าสิบปี...

นาคามูระ โยชิเดินมายังโต๊ะของริวจิ รับสุราอุ่นจอกหนึ่งจากมันแล้วดื่มลงคอจนหมด แต่ยังไม่แตะต้องอาหารแม้สักจานเดียว โฉมสะคราญทั้งสองยิ่งไม่แม้แต่ชำเลืองตามอง

โยชิโอกะ ริวจิรินสุราให้ นาคามูระ โยชิอีกหนึ่งจอก แววตาที่มองบุรุษชุดเขียวบ่งบอกความเคารพนับถืออย่างยิ่ง รอจนคนผู้นั้นดื่มจนหมดจึงโอบเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวาลุกขึ้นเดินออกจากที่แห่งนั้น

นาคามูระ โยชิออกเดินตามไม่ถามสักคำดั่งบ่าวไพร่เดินตามผู้เป็นนาย

หิมะเริ่มตกอีกแล้ว...

ผู้คนต่างปิดประตูหน้าต่างบ้านช่องห้องพักของตนจนหมดสิ้น

แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่เสียงวิพากวิจารณ์กลับดังกระหึ่มขึ้นจากทุกตรอกซอกซอย...

“นาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพานับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของยุคได้จริงๆ”

“มือสังหารไร้รักไม่ผิดคำร่ำลือเลย”

“สมคำร่ำลืออะไร เป็นแต่เพียงบ่าวไพร่ของผู้อื่น”

“กงจื้อคนนั้นมีบ่าวไพร่เช่นนี้นับเป็นวาสนาจริงๆ”

“มีเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวากลับมีวาสนากว่า”

“แม่นางเสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวกลับน่าดูกว่าจริงๆ”

“ข้าต้องเก็บเงินไปดื่มกับนางสักครั้งให้ได้”

“ถ้าข้าเก็บเงินได้ข้าไม่ดื่มกับนางหรอกข้าจะ...”