วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 10)





บทที่ 10.

‘มีเพียงบ้อเอี้ยไต้ซือที่ช่วยท่านโยชิได้!’

แม้ริวจิจะไม่เชื่อถือคำพูดประโยคนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นความหวังรำไรเพียงสายเดียวในเวลานี้

กงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาไม่เสียเวลาคิดให้มากความ รีบสั่งการอย่างรวดเร็วนำเรือทั้งสามลำเข้าเทียบท่าที่ใกล้ที่สุด พร้อมกำชับให้ตรวจตราดูแลมิให้เกิดเหตุซ้ำซ้อนขึ้นอีก

จากนั้นจัดหารถม้าสองคัน จ่ายค่าจ้างอย่างไม่อั้นเพียงไปให้ถึง ‘อารามบ้อเมี่ย’ ที่อยู่บนเขานอกเมืองห่างออกไปยี่สิบลี้ให้ได้ก่อนค่ำ ซ้ำยังสำทับเฉียบขาด

“หากไปถึงล่าช้าแม้สักนิดจะทิ้งศรีษะพวกเจ้าไว้บนเขาลูกนั้น!”

สารถีทั้งสองหน้าถอดสีไม่กล้าชักช้า รถม้าสองคันควบขับห้อตะบึงออกนอกเมืองผ่านไปในแนวชายป่าอย่างรวดเร็ว อาทิตย์ใกล้อัสดงอีกแล้วหิมะต้นฤดูเริ่มโปรยปราย อากาศหนาวเย็นแผ่กระจายปกคลุมเส้นทางขึ้นเขาอันสูงชัน เวลายิ่งผ่านไปริวจิยิ่งร้อนรุ่มกระวนกระวาย เหงื่อใหลซึมจนชุ่มโชกฝ่ามือคอยชะโงกหน้าตะโกนถามม่อย้งเพ็กเหล็งซึ่งทำหน้าที่นำทางอยู่ในรถม้าคันหน้าเป็นระยะๆ

‘บ้อเอี้ยไต้ซือ’ เป็นผู้ใดริวจิไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ม่อย้งเพ็กเหล็งบอกว่าเป็นพี่ชายของนาง

ไฉนพี่ของนางจึงเป็นหลวงจีน?

ไฉนคุณชายปึงจึงให้ความเชื่อมั่นกับไต้ซือรูปนี้ถึงเพียงนี้?

บ้อเอี้ยไต้ซือสามารถช่วยชีวิตท่านโยชิได้หรือไม่?

โยชิโอกะ ริวจิกำมือแน่น ขบกรามทั้งสองข้างนูนขึ้นเป็นสัน เงาร่างของคนผู้หนึ่งวูบเข้ามาในมโนสำนึก บุคคลที่ตนมิเคยลืมเลือนเลยตลอดเวลาสิบปี...สิบปีที่ตนให้คำมั่นสัญญากับคนผู้นั้นไว้...เป็นคำสัญญาครั้งแรกที่ออกจากปากเด็กชายอายุเพียงเก้าขวบ!

เสียงที่คุ้นเคยยิ่งตั้งแต่เมื่อยังเล็กแว่วดังขึ้นในสมอง น้ำเสียงใสอ่อนโยนอบอุ่นที่เคยดังก้องกังวาน แต่เวลานี้กลับแผ่วเบาคล้ายใกล้หมดสิ้นพลังแห่งชีวิตลงทุกขณะ

‘ท่านโยชิเอ็นดู...เชื่อฟังคุณชายที่สุด...คุณชายรับปาก...ข้าพเจ้าทราบ...หลังข้าพเจ้าจากไปท่านโยชิ...อาจ...อาจ...รับปากข้าพเจ้าท่านโยชิต้องมีชีวิตต่อไป...ท่านโยชิต้องมีชีวิตสืบต่อไป...’

ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น โยชิโอกะ ริวจิ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว แม้ต้องสละชีวิตของมันก็ต้องให้ท่านโยชิมีชีวิตสืบต่อไป!

สารถีรถม้าคันหน้าดึงบังเหงียนขึ้นสุดแรง อาชาพ่วงพีถึงกับยกขาหน้าทั้งสองขึ้นตะกุยอากาศเมื่อพวกมันถูกสั่งให้หยุดลงอย่างกระทันหัน

เบื้องหน้าเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ด้านบนเขียนข้อความ ‘อารามบ้อเมี่ย’

“ถึงแล้ว” ม่อย้งเพ็กเหล็งชะโงกหน้าออกมาบอกผู้ที่ตามหลังมา

ชายชุดครามร่างสูงใหญ่เป็นหัวหน้าแซ่ฮวงรีบกระโดดลงจากรถม้าคันหลัง รี่เข้าไปประคองนาคามูระ โยชิ ลงจากรถนำมานอนบนแคร่ยาวที่บรรทุกมาด้วย แล้วปกปิดร่างกายด้วยผ้านวมอุ่นหนาอีกผืน

สีหน้าของโยชิยังซีดเผือด ดวงตาสะลึมสะลือคล้ายจะรู้สึกตัวแต่ไร้สิ้นเรี่ยวแรง จะกล่าววาจาสักคำยังยากยิ่ง

ริวจิมองดูสภาพอารามกลางป่าอย่างไม่เชื่อถือ ประตูทางเข้าเก่าผุกร่อนจนบานประตูสองข้างไม่สามารถปิดเข้ากันได้สนิท หากไม่ทราบต้องคิดว่าที่นี่เป็นอารามร้างไร้ผู้อยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน สถานที่เช่นนี้หรือจะมีผู้ที่สามารถช่วยชีวิตท่านโยชิได้?

“เปิดประตูด้วย พวกเรามีธุระต้องการพบบ้อเอี้ยไต้ซือ” ม่อย้งเพ็กเหล็งตะโกนเสียงดัง แต่คล้ายไม่มีผู้ใดได้ยิน ประตูบานใหญ่ยังปิดอยู่เช่นเดิม

“ไม่ต้องเสียเวลาแล้วพังเข้าไปเลย!” ริวจิหมดความอดทน กุมด้ามดาบมั่นหมายจะฟันประตูให้แหลกลง แต่ดาบของริวจิกลับไม่สามารถชักออกมาได้! เพราะมือของปึงเพียวเซาะยึดกุมข้อมือของมันไว้แน่น ไม่ว่าจะออกแรงสบัดอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดจากการยึดกุมของประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงได้ ดวงตาทั้งคู่ถลึงใส่ปึงเพียวเซาะอย่างขัดเคือง

ปึงเพียวเซาะปลอบโยนบุรุษหนุ่มเลือดร้อนด้วยแววตาอ่อนโยน “เราเป็นผู้มาเยี่ยมเยียนต้องให้เกียรติ์เจ้าของสถานที่บ้าง” ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงกล่าวพร้อมกับหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นเป่าช้าๆแผ่วเบา

ทั่วบริเวณเป็นป่าเขาทั้งสิ้น ปกติมีเพียงเสียงจักจั้นเรไรขับขานท่วงทำนองแห่งขุนเขาลำเนาไพร ประสานเสียงอื้ออึงทำลายความสงบของราตรีกาล ยามนี้เพิ่มเสียงขลุ่ยเยือกเย็นที่บรรจงผิวนุ่มนวลแผ่วเบา แต่กระแสเสียงที่บังเกิดกลับดังกึกก้องสะท้อนกังวานไปทั่วทั้งขุนเขา ทุกสรรพเสียงต่างหยุดนิ่งในทันที ดั่งต้องการให้ขลุ่ยลำน้อยอวดสำเนียงของมันอย่างเต็มที่

เพียงครู่เดียว...ประตูเก่าคร่ำคร่าของอารามโดดเดี่ยวกลางป่าเขาก็เปิดออก ท่ามกลางความมืดที่เริ่มครอบคลุมทั่วบริเวณ ปรากฏแสงโคมดวงน้อยวูบไหวไปมาอยู่ในมือคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาเหล่าผู้มาเยือนอย่างแช่มช้า

เมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ริวจิจึงเห็นถนัดตาที่แท้เป็นหลวงจีนรูปหนึ่งอายุราวสามสิบปีเศษ ดูน่าจะอ่อนวัยกว่าท่านโยชิเพียงเล็กน้อย ร่างกายสูงใหญ่กำยำ สัดส่วนบุคลิกทนงองอาจ ใบหน้าเอิบอิ่มดวงตากลมโตดำสนิทล้ำลึกจนสุดหยั่ง ท่วงท่าการเดินสง่างาม กิริยาแช่มช้าน่าเลื่อมใส ดวงตาหลุบต่ำลงเบื้องล่างเล็กน้อย ผิวกายคล้ำกว่าชาวตงง้วนทั่วไปละม้ายผิวของม่อย้งเพ็กเหล็ง หากไม่สวมใส่จีวรแล้วแต่งกายดุจชาวยุทธทั่วไปตนต้องเข้าใจว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่น่าเกรงขามผู้หนึ่ง!

“คารวะไต้ซือ” ม่อย้งเพ็กเหล็งน้ำตาคลอเบ้าลำคอตีบตันไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้อีก

ดวงหน้าการุณย์ค่อยเงยขึ้นมองดรุณีน้อยยิ้มเปี่ยมเมตตา “บิดากับศิษย์พี่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงอ่อนโยนแจ่มใสกังวานทักทายอย่างสนิทสนม

“บิดาสุขภาพดียิ่ง ส่วนศิษย์พี่...ข้าเองก็ไม่ได้ข่าวคราวมาระยะหนึ่งแล้ว”

หลวงจีนรูปนั้นถอนหายใจ “เวรกรรม...เวรกรรม” ดวงตาแจ่มใสมองตรงไปเบื้องหลังดรุณีน้อยจึงแลเห็นบุรุษหนุ่มผู้สามารถทำให้ตนต้องออกมานอกอาราม แววตาเปี่ยมความยินดีฉายชัดเจนบนใบหน้า

“คารวะไต้ซือ...สิบปีนี้...” คำพูดของปึงเพียวเซาะตีบตันอยู่ในลำคอมิต่างกับม่อย้งเพ็กเหล็ง ไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้มากกว่านี้

“จำเริญ...จำเริญในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้” น้ำตาแห่งความปลื้มปีติถึงกับเอ่อคลอนัยน์ตาหลวงจีนรูปนั้น

บ้อเอี้ยไต้ซือยินดีอย่างยิ่งที่น้องชายผู้นี้สามารถกลับมาเผชิญโลกภายนอกได้อีกครั้ง ตนยังจำสีหน้าแววตาของน้องชายผู้นี้เมื่อคราวงานศพของคุณชายใหญ่กับคุณหนูเซี่ยงกัวได้ดี คราวนั้นตนคิดว่าหมดหวังเสียแล้วที่จะโน้มน้าวจิตใจที่แหลกสลายของปึงเพียวเซาะให้ทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“พวกท่านทักทายกันพอหรือยัง!” ริวจิขมวดคิ้วเครียด ตะเบ็งเสียงแทรกขึ้นด้วยความร้อนรน

“เจ้านี่ไร้มารยาทจริงๆ!” ม่อย้งเพ็กเหล็งตะคอกกลับคิดจะว่ากล่าวอีกหลายคำ แต่พอเหลียวไปเห็นแววตาห่วงใยวิตกกังวลของริวจิที่มีต่อท่านโยชิ ถ้อยคำที่คิดกล่าวก็ชงักลงโดยพลัน

บ้อเอี้ยไต้ซือโบกมือห้ามม่อย้งเพ็กเหล็งแล้วเพ่งพิจารณาบุรุษทั้งสามที่อยู่ด้านหลัง

“หากไต้ซือช่วยท่านโยชิให้รอดปลอดภัย ข้าพเจ้าจะบริจาคเงินสร้างอารามให้ใหญ่โตกว่านี้อีกสิบเท่า ถ้าต้องการสิ่งใดสามารถบอกมาได้เต็มที่...”

“เจ้า!” ม่อย้งเพ็กเหล็งถลึงตาใส่ริวจิ ถึงรุ่มร้อนปานใดมันก็ไม่น่าพูดเช่นนี้

บ้อเอี้ยไต้ซือโบกมือห้ามม่อย้งเพ็กเหล็งอีกครั้ง

“กุศลเจตนาของประสกอาตมาขอรับด้วยใจ อารามของเราสิ่งที่ควรมีนับว่ามีพอแล้ว สิ่งที่ยังไม่มีออกจะเกินความจำเป็นไปบ้าง” สายตาปรายไปที่ปึงเพียวเซาะไต่ถามเรื่องราว

“สหายผู้นี้ถูกพิษสลายลมปราณขอไต้ซือแผ่เมตตาด้วย”

บ้อเอี้ยไต้ซือมองบุรุษที่นอนแซ่วอยู่บนแคร่ครู่หนึ่ง พลางพยักหน้า ก้าวเข้ามาดูอาการของโยชิ ขณะที่นิ้วมือกำลังจะแตะที่ชีพจรข้อมือของนาคามูระ โยชิ ตาของโยชิก็ลืมโพลงขึ้น!

มือที่ยังกุมดาบแน่นแทงด้ามดาบตรงไปที่ชีพจรหัวใจของบ้อเอี้ยไต้ซือโดยไม่มีวี่แววมาก่อน!

บ้อเอี้ยไต้ซือมิได้แตกตื่น เพียงขมวดคิ้วด้วยความฉงน นิ้วมืออีกข้างจี้อย่างฉับไวลงบนปลายด้ามดาบที่ทิ่มแทงมา สกัดด้ามดาบได้ทันก่อนจะกระทบถูกชีพจรหัวใจเพียงไม่ถึงสองฝ่ามือ! ดรรชนีพอจี้ถูกดาบในฝักพลันบังเกิดอาการสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่งจนโยชิหมดแรงลง ปลายนิ้วจึงถอนออก

“ดรรชนีวชิระ...” นาคามูระ โยชิ กล่าวเพียงคำเดียวก็หมดสติไปอีก

บ้อเอี้ยไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติดุจไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หากเป็นยามปกติชีพจรหัวใจของอาตมาคงถูกรังสีจากดาบของประสกผู้นี้กระแทกจนขาดสะบั้นแล้ว”

“นี่เจ้าทำอะไร ไต้ซือจะช่วยเจ้านะ!” ม่อย้งเพ็กเหล็งโพล่งขึ้นอย่างแตกตื่น

บ้อเอี้ยไต้ซือส่ายหน้าช้าๆ ปรามดรุณีน้อยไว้อีกครั้ง “ไม่มีไร นี่เป็นเพียงปฏิกิริยาการป้องกันตัวของประสกท่านนี้เท่านั้น”

ริวจิรีบละล่ำละลักกล่าว “ไต้ซือโปรดช่วยท่านโยชิด้วย”

บ้อเอี้ยไต้ซือครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ประสกท่านนี้มีพลังฝีมือกล้าแข็งยิ่งนัก เหตุใดถึงถูกพิษสลายพลังจนมีอาการหนักถึงขั้นนี้”

“ท่านโยชิช่วยเหลือข้าและน้องเพ็กเหล็งจึงเสียทีศัตรู” ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างรวบรัด

บ้อเอี้ยไต้ซือพยักหน้า “พยุงประสกท่านนี้ไปที่กุฏิอาตมาก่อน ...”

ริวจิกับหัวหน้าแซ่ฮวงรีบหามแคร่ของโยชิเดินตามเข้าประตูใหญ่ไป ทั้งหมดเดินตามทางห่างจากประตูใหญ่ไกลโขจึงเห็นกุฏิหลังเล็กเจ็ดแปดหลังที่เรียงรายอยู่ชายป่าไผ่ แม้ภายนอกอารามจะเก่าซอมซ่อดุจรกร้าง แต่ภายในกลับสะอาดสะอ้าน ต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงรายล้อมเป็นระเบียบไม่อับทึบ ร่มรื่นน่าอยู่อาศัยอย่างยิ่ง

สองบุรุษพยุงโยชิเข้าไปในกุฏิที่อยู่ลึกที่สุดเกือบติดแนวชายป่าทางด้านหลัง หลังจากประคองร่างไร้สติของโยชินอนลงบนเตียง บ้อเอี้ยไต้ซือจึงได้ตรวจอาการของโยชิโดยละเอียด จากนั้นได้แต่นั่งนิ่งครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจนริวจิต้องเอ่ยถามด้วยความวิตกกังวล

“ที่แท้ไต้ซือสามารถช่วยท่านโยชิได้หรือไม่”

“พิษสลายพลังที่น่ากลัวคือผู้ถูกพิษยิ่งใช้พลังมาก พิษยิ่งกำเริบรุนแรง ตอนนี้พิษกำเริบถึงขั้นสุดท้าย ไม่อาจเยียวยาด้วยการกินยาขจัดหรือใช้พลังลมปราณขับพิษได้อีกแล้ว ยังโชคดีที่แนวทางการฝึกปรือของประสกผู้นี้แตกต่างจากวิทยายุทธของชาวตงง้วนเรา ไม่เช่นนั้นคงเสียชีวิตไปนานแล้ว”

“นี่หมายความว่าไม่มีหนทางช่วยท่านโยชิเลยหรือ” ริวจิโพล่งออกมาแทบสิ้นเรี่ยวแรงทรุดลงตรงนั้น

“ยังมีอีกวิธี...วิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง”

“ทำอย่างไรท่านรีบบอกมา” ขอเพียงทราบว่ายังมีความหวัง ไม่ว่ายากเย็นอย่างไรริวจิมั่นใจมันต้องสามารถกระทำได้

“ก่อนอื่นต้องถ่ายโลหิตพิษทิ้ง แล้วใช้โลหิตดีของผู้อื่นเปลี่ยนถ่ายให้ประสกผู้นี้ จากนั้นจึงใช้พลังลมปราณกระตุ้นให้พลังแท้ดั้งเดิมในกายขานรับ กำเนิดพลังแท้ของตนขึ้นอีกครั้ง แล้วปรับจุดชีพจรที่อุดตันให้เคลื่อนเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากนั้นยังต้องกินยาบำรุงรักษาอวัยวะภายในอีกระยะหนึ่ง”

“ถ่ายโลหิต!” ทั้งหมดอุทานอย่างตื่นเต้นออกมาพร้อมกัน

“พิษแทรกเข้ากระแสโลหิตไหลเวียนผ่านอวัยวะทั่วร่างแล้ว มีแต่ใช้โลหิตดีขับดันโลหิตเสียในร่างของประสกผู้นี้ วิธีนี้ออกจะอันตรายไปบ้าง...ทั้งยังมีปัญหาเรื่องโลหิตที่จะใช้เปลี่ยนถ่ายให้ประสกผู้นี้”

“ไต้ซือสามารถใช้เลือดของข้าพเจ้าได้” ริวจิพูดอย่างกระตือรือล้นแววตาเป็นประกายเปี่ยมความหวัง

แต่หัวหน้าแซ่ฮวงกลับกล่าวทักท้วงอย่างรวดเร็วหนักแน่น “คุณชายไม่ต้องลำบาก บ่าวสามารถสละโลหิตให้ท่านโยชิจนหมดร่าง!”

“ท่านสามารถแล้วข้าพเจ้าไม่สามารถหรือ!” ริวจิตอบกลับอย่างไม่พอใจ

หัวหน้าแซ่ฮวงก้มหน้าต่ำ “บ่าวทราบคุณชายย่อมสามารถทั้งยังห่วงใยท่านโยชิยิ่งกว่าผู้ใด...แต่ที่บ่าวได้ยินมาการถ่ายโลหิตมีอันตรายอย่างมากหาก...”

“ที่แท้หัวหน้าฮวงดูแคลนความสามารถของท่านไต้ซือ” ม่อย้งเพ็กเหล็งอดกล่าวสอดขึ้นไม่ได้

“มิได้...คุณหนูอย่าเข้าใจผิด ขณะนี้ท่านโยชิเป็นตายยังมิทราบ หากกงจื้อเป็นอะไรไปอีกคน เกรงว่าหมู่ตึกบูรพาของเราต้องตกอยู่ในภาวะลำบากแล้ว...”

เมื่อได้ฟังวาจาหนักแน่นจริงใจของบุรุษร่างใหญ่ผู้นี้ น้ำเสียงของม่อย้งเพ็กเหล็งยิ่งอ่อนโยนลงอีกหลายส่วน “หากศิษย์ของจอมแพทย์การุณย์ผิดพลาด ยังจะหาหมอที่ไหนสามารถช่วยท่านโยชิได้”

หัวหน้าแซ่ฮวงและริวจิมองหน้ากันวูบ ทั้งคู่ประหลาดใจแกมไม่เชื่อถือ ด้วยฉายาจอมแพทย์การุณย์นั้นเป็นของประมุขหมู่ตึกตระกูลลิ้ม บิดาของลิ้มปวยอวยกับลิ้มเอ็งฮวย ทั้งยังทราบว่าตระกูลลิ้มไม่เคยถ่ายทอดวิชาแพทย์ของตระกูลให้กับคนนอก หลวงจีนรูปนี้ไฉนเป็นศิษย์ของจอมแพทย์การุณย์ได้!

“พวกท่านไม่เชื่อถือ?”

“มิได้” ริวจิรีบละล่ำละลักตอบ แต่แววตายังมีแววเคลือบแคลง

ปึงเพียวเซาะแทรกขึ้น “ตอนนี้มิใช่เวลาถกเถียง ลมหายใจของท่านโยชิแผ่วลงมากแล้ว”

ริวจิเงยหน้าขึ้นประสานกับแววตาอ่อนโยนแต่เปี่ยมพลังมิอาจหยั่งคาดความลึกล้ำ ขณะนั้นไม่ทราบเพราะเหตุใดความเคลือบแคลง วิตกกังวลพลันสลายไป ดั่งเกิดความเชื่อมั่นในตัวไต้ซือท่านนี้อย่างเต็มเปี่ยม ความดื้อรั้นถือดีถูกกระแสความเมตตาสลายไปจนสิ้น ก้มลงคุกเข่าต่อหน้าบ้อเอี้ยไต้ซือ

“ท่านไต้ซือโปรดเมตตาช่วยท่านโยชิด้วย แม้ต้องสละโลหิตทั้งร่างข้าพเจ้าก็ยินดี” น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวออกมาได้เพียงเท่านี้ก็ก้มหน้านิ่งไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้อีก

ม่อย้งเพ็กเหล็งตกตะลึงด้วยไม่คาดว่าบุรุษหนุ่มที่ถือดีดื้อรั้นจะยอมกระทำเช่นนี้ มันมีน้ำใจต่อนาคามูระ โยชิอย่างยิ่งจริงๆ เมื่อครู่หัวหน้าแซ่ฮวงก็ยินดีสละโลหิตให้ท่านโยชิอย่างเต็มใจโดยไม่เกรงอันตราย ยังมีตอนที่นำร่างไร้สติของท่านโยชิกลับขึ้นไปบนเรือใหญ่ของหมู่ตึกบูรพา แววตาทุกคู่ของผู้คนบนเรือต่างเอ่อด้วยน้ำตา นางดูออกทุกคนต่างวิตกกังวล ห่วงใยท่านโยชิอย่างจริงใจจนสามารถสละชีวิตของตนเพื่อให้บุรุษผู้นี้มีชีวิตรอดปลอดภัย นางไม่เข้าใจเหตุใดผู้ที่ได้ชื่อว่ามือสังหารไร้รักที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา แค่ได้ยินชื่อนาคามูระ โยชิ ชาวยุทธก็หวาดกลัวจนระย่อ ไฉนคนเช่นนี้จึงมีผู้คนเคารพรักใคร่จริงใจมากมายถึงเพียงนี้!

แขนสีคล้ำภายใต้จีวรยาวยื่นมาพยุงกายริวจิให้ลุกขึ้น ใบหน้าการุณย์จ้องมองบุรุษหนุ่มแน่วนิ่ง แววตาฉายแววชื่นชมนิยมในน้ำใจของบุรุษผู้นี้อย่างยิ่ง พยักหน้าช้าๆกล่าวว่า

“การถ่ายโลหิตมิใช่ใช้เลือดใครก็ได้ต้องทดสอบก่อนว่าเลือดที่จะใช้เข้ากับเลือดของประสกผู้นี้หรือไม่”

“ท่านรีบทดสอบข้าพเจ้าเร็ว...” บุรุษหนุ่มเร่งเร้าอย่างร้อนรน

“ข้าพเจ้าด้วย” หัวหน้าแซ่ฮวงกล่าวน้ำเสียงเข้มแข็ง

“ไต้ซือข้ายินดีช่วยอีกคน” ม่อย้งเพ็กเหล็งพูดอย่างมั่นใจ พลางพยักหน้าให้ริวจิ

บุรุษหน้าขาวจ้องมองนางด้วยความตื้นตันจนไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นวาจาได้

“ข้ายินดีเช่นกัน...” ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“เจ้าไม่ได้...” น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ยามที่อาตมาใช้พลังกระตุ้นลมปราณของประสกผู้นี้ ช่วงเวลานั้นต้องมีคนคอยคุ้มกันมิให้ผู้ใดเข้ามารบกวนได้ หากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นในช่วงเวลานั้น ไม่เพียงไม่สามารถช่วยชีวิตประสกผู้นี้ได้ ชีวิตของเขาและอาตมาก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้”

ปึงเพียวเซาะได้คิดจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

บ้อเอี้ยไต้ซือเดินไปหยิบสมุนไพรจากตู้ขนาดใหญ่ด้านข้าง แล้วหยิบกล่องใบหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเปิดออก หยิบเข็มในกล่องออกมาเจาะเลือดของโยชิ บีบหยดเลือดลงในชาม ผสมผงสมุนไพรลงไปจากนั้นจึงเจาะเลือดของริวจิ ม่อย้งเพ็กเหล็งและหัวหน้าแซ่ฮวงใส่ในชามอีกสามใบ รินชามใบแรกที่มีเลือดของโยชิลงในชามของแต่ละคน ชั่วครู่ปรากฏว่ามีเพียงชามของริวจิกับม่อย้งเพ็กเหล็งที่โลหิตกลืนเป็นเนื้อกับโลหิตของนาคามูระ โยชิ

“โลหิตของเจ้าทั้งสองใช้ได้”

หัวหน้าแซ่ฮวงกลับทรุดกายก้มลงกราบริวจิกับพื้น “คุณชายเชื่อบ่าวสักครั้ง ในเมื่อโลหิตคุณหนูม่อย้งสามารถใช้ได้ คุณชายโปรดอย่าเสี่ยงเลย”

“ท่านพูดอะไรออกมา!” ริวจิตะคอกกลับอย่างเดือดดาล

หัวหน้าแซ่ฮวงหันไปคำนับม่อย้งเพ็กเหล็งที่ยืนตะลึงอยู่ “คุณหนูม่อย้งครั้งนี้หากท่านยินดีช่วยชีวิตท่านโยชิ ย่อมสร้างบุญคุณใหญ่หลวงกับหมู่ตึกเรา เหล่าบ่าวไพร่ทั้งหมดจะต้องทดแทนคุณ แม้สั่งให้ไปตายพวกเราก็ยินดีปฏิบัติโดยไม่ถามไถ่เลย” หัวหน้าแซ่ฮวงยังโขกศรีษะให้ม่อย้งเพ็กเหล็งไม่หยุด

ริวจิชี้หน้ากล่าวกับหัวหน้าแซ่ฮวง “แม่นางม่อย้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมู่ตึกของเราแม้แต่น้อย ไหนเลยให้นางเสี่ยงอันตรายแทนพวกเรา!”

ม่อย้งเพ็กเหล็งประคองหัวหน้าแซ่ฮวงขึ้น “ข้าเข้าใจความลำบากใจของท่าน หากไม่ได้ท่านโยชิช่วยสกัดศัตรูไว้พวกเราอาจไม่มีชีวิตรอดถึงตอนนี้ก็ได้ ข้ายินดีให้เลือดกับท่านโยชิเอง”

ริวจิกล่าวว่า “ไม่ได้! ข้าพเจ้าจะช่วยท่านโยชิเอง เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย”

ม่อย้งเพ็กเหล็งรำคาญความพิรี้พิไรของริวจิยิ่ง “ท่านเป็นไรไป! ทำไมไม่เข้าใจความลำบากใจของหัวหน้าฮวงบ้าง!”

ริวจิกล่าวว่า “ในเมื่อท่านไต้ซือเป็นศิษย์ของจอมแพทย์การุณย์ข้าพเจ้ายังต้องห่วงอะไร”

“มิใช่...ที่ข้าพเจ้าห่วงมิใช่ความสามารถของไต้ซือ...” หัวหน้าแซ่ฮวงพยายามจะกล่าว แต่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้...

“อย่างนั้นท่านห่วงอะไร!” ริวจิตะคอกหัวหน้าแซ่ฮวงอย่างไม่ไว้หน้า

“ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าห่วงคุณชายเกรงว่า...”

ริวจิบังดาลโทสะยกมือขึ้นฟาดลงบนศรีษะของหัวหน้าแซ่ฮวงเต็มแรง!

แต่บ้อเอี้ยไต้ซือยุดมือของริวจิไว้ได้ทัน ขณะจับข้อมือของริวจิแววงุนงงสงสัยบังเกิดขึ้นบนใบหน้า จากนั้นจึงฉุดแขนริวจิเดินออกไปนอกกุฏิ อีกครู่ใหญ่ทั้งสองจึงกลับเข้ามาภายในห้อง ริวจิสีหน้าสลดลงโทสะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แววตาวิงวอนจ้องมองม่อย้งเพ็กเหล็งแล้วมันก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดอีกครั้ง

ริวจิคุกเข่าลงต่อหน้าม่อย้งเพ็กเหล็ง “แม่นางม่อย้งกรุณาช่วยท่านโยชิด้วย บุญคุณของท่านในครั้งนี้ข้าพเจ้าและชาวหมู่ตึกบูรพาทุกคนจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม”

หัวหน้าแซ่ฮวงก็มิได้พยุงกายกงจื้อของตนให้ลุกขึ้น มันคิดว่านี่เป็นการกระทำที่สมควรแล้ว ตัวมันเองยิ่งโขกศรีษะกราบม่อย้งเพ็กเหล็งไม่หยุด

ม่อย้งเพ็กเหล็งยิ่งตะลึงลาน “พวกท่านลุกขึ้นก่อนเถอะ...ข้ายินดีที่จะช่วยท่านโยชิ”

“แม่นางบุญคุณในครั้งนี้...”

ม่อย้งเพ็กเหล็งส่ายหน้า “ท่านไม่ต้องคิดมาก ข้าเองก็ติดค้างท่านโยชิไม่น้อย” นางกล่าวติดตลก “ความจริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสักนิด ข้าเชื่อมั่นว่าท่านไต้ซือต้องช่วยท่านโยชิได้อย่างแน่นอน”

บ้อเอี้ยไต้ซือยิ้มแล้วกล่าว “พวกเจ้าไปทานข้าว พักผ่อนก่อนเถอะ”

ริวจิปฏิเสธโดยเร็ว “ข้าพเจ้าไม่หิวไต้ซือโปรดรักษาท่านโยชิโดยเร็วด้วย”

“เรื่องนี้ไม่อาจรีบร้อนได้ ร่างกายของประสกท่านนี้ยังอ่อนแอยิ่ง ข้าจะเขียนเทียบยาให้ชุดหนึ่ง ให้ประสกท่านนี้นอนพักสักครู่ก่อน ไว้ใกล้รุ่งข้าจะเยี่ยวยารักษาให้”

“นี่...”

“เจ้าไม่ต้องวิตกเกินไป” บ้อเอี้ยไต้ซือมานั่งที่โต๊ะเขียนเทียบยาใบหนึ่ง เดินไปหยิบสมุนไพรที่ตู้บรรจุหยูกยาแล้วยื่นให้ปึงเพียวเซาะ “เจ้าช่วยต้มยาตามเทียบนี้ให้ประสกผู้นั้นด้วย”

ปึงเพียวเซาะรับเทียบและตัวยาอย่างยิ้มแย้ม “ไต้ซือยังชมชอบให้ผู้อื่นต้มยาให้เหมือนเดิม”

“นิสัยบางอย่างกลับแก้ไขยากยิ่ง” บ้อเอี้ยไต้ซือพยักหน้าน้อยๆ

ปึงเพียวเซาะกล่าวกับคนทั้งสาม “พวกเจ้าไปทานข้าวก่อน ข้าต้มยาเสร็จแล้วจะตามไป”

“ข้าพเจ้าต้มเอง...”

“ท่านต้มยาเป็น...ท่านเคยต้มยามาก่อน?” ปึงเพียวเซาะไม่รอให้ริวจิตอบรีบเดินออกไปทันที

ริวจินิ่งอึ้งอับจนปัญญาตนไม่เคยทำสิ่งนี้เลยจริงๆ ได้แต่จำต้องเดินตามหลวงจีนน้อยอีกรูปไปยังเรือนหลังใหญ่ซึ่งอยู่หลังป่าไผ่ ริวจิสั่งให้หัวหน้าแซ่ฮวงกลับไปบอกความคืบหน้ากับหัวหน้าสาขาคนอื่นที่รออยู่ที่ท่าเรือ หากท่านโยชิได้สติขึ้นเมื่อใดจะรีบส่งข่าวไปบอกอีกครั้ง แล้วยังสำทับสั่งการให้ทุกคนระมัดระวังด้วยยังไม่แน่ใจว่าแก๊งมังกรวารีดำจะยังมีแผนร้ายใดอีกหรือไม่

ริวจิแม้หิวโหยแต่กินข้าวน้อยอย่างยิ่ง ม่อย้งเพ็กเหล็งลอบชำเลืองดูมัน

“ไม่ว่าเจ้ากินมากหรือน้อยอาการของท่านโยชิก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอก”

“เจ้าว่าอะไร!...” ริวจิเอ็ดเสียงดัง

ม่อย้งเพ็กเหล็งกลับไม่มีโทสะนางทราบริวจิห่วงใยท่านโยชิอย่างยิ่ง “ข้าหมายความว่า ไต้ซือต้องช่วยท่านโยชิอย่างเต็มที่แน่ ถึงเจ้าจะกินข้าวมากน้อยอย่างไร อาการของท่านโยชิก็ไม่ได้หายเร็วขึ้นหรอก”

ริวจิจ้องหน้านางเนินนางแล้วลงมือกินข้าวต่อ มันกินข้าวได้มากอย่างยิ่งจริงๆ

“ท่านโยชิเป็นอาจารย์ของเจ้าใช่หรือไม่?”

ริวจิหัวเราะอย่างหม่นหมอง “ท่านโยชิไหนเลยจะยอมรับข้าพเจ้าเป็นศิษย์”

“เหตุใดเป็นเช่นนั้น?”

ริวจิไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายถามขึ้น “ข้าพึ่งฉุกคิดได้ว่าเจ้าแซ่ม่อย้ง”

“ข้าแซ่ม่อย้งแล้วทำไม?”

“สี่กงจื้ออัจฉริยะประกอบด้วย คุณชายกงซุนซาเทียน คุณชายปึงเพียวเซาะ จอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ ที่เหลืออีกคนหนึ่ง...คุณชายตระกูลม่อย้ง...ม่อย้งพ้ง”

“ถูกต้องเป็นพี่ชายของข้าเอง”

“บ้อเอี้ยไต้ซือ?”

“ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว”

ริวจิถามขึ้นอย่างสนใจ “พี่เจ้ามีชื่อเสียงเคียงข้างจอมยุทธอี้ และคุณชายปึงเหตุใดจึงมาเป็นหลวงจีน”

“เมื่อไม่ใช่ศิษย์ อาจารย์ทำไมเจ้าห่วงท่านโยชิขนาดนี้” ม่อย้งเพ็กเหล็งไม่ตอบกลับย้อนถามอีกคำถาม

“เจ้าสนใจเรื่องของข้าพเจ้า?”

“ข้าสนใจเพราะคาดคิดว่า...”

“เจ้าสนใจ...เจ้า...ฮ่าๆๆ”

“เจ้า!” ม่อย้งเพ็กเหล็งหน้าแดงกล่ำ

“ข้าพเจ้าขออภัย ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดหนี้บุญคุณพวกท่านจริงๆ คิดไม่ถึงว่าท่านไต้ซือพี่ของเจ้าจะเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ขนาดนี้” ริวจิเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมยิ่งขึ้น “เท่าที่ทราบจอมแพทย์การุณย์ประมุขหมู่ตึกตระกูลลิ้มไม่เคยรับคนนอกเป็นศิษย์?” ริวจิกล่าวอย่างสงสัย

“ถูกต้องวิชาของตระกูลลิ้มไม่เคยถ่ายทอดให้คนนอกแต่พี่ของข้าเป็นคนเดียวที่ได้รับการยกเว้น”

“พี่เจ้าเป็นศิษย์ตระกูลลิ้มแต่ทำไมท่านโยชิบอกว่าวิชาที่ไต้ซือใช้เป็นดรรชนีวชิระ?”

“ท่านพี่เรียนวิชาแพทย์จากตระกูลลิ้มเพียงอย่างเดียวไม่ได้ร่ำเรียนวิชาฝีมือ เฮอะ...ข้าว่าวิชาแพทย์ของท่านพี่เก่งกว่าสองเซียนตระกูลลิ้มเสียอีก ถ้าไม่เป็นเพราะ...” กล่าวถึงตอนนี้ม่อย้งเพ็กเหล็งได้แต่นิ่งเงียบ

ริวจิสังเกตท่าทีอ้ำอึ้งของนางจึงกล่าว “หากข้าคาดไม่ผิดต้องเกิดเรื่องราวใดขึ้น...ไม่เช่นนั้นเหตุใดพี่ของเจ้าจึงมาบวชเป็นหลวงจีน”

“อือ...” ม่อย้งเพ็กเหล็งไม่คิดตอบมากกว่านี้

ริวจิรู้ว่านางไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้จึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณชายปึงสนิทกับพี่ของเจ้าอย่างยิ่งใช่หรือไม่”

“ใช่เมื่อก่อนพี่เพียวเซาะ พี่ของข้า ศิษย์พี่ และคุณชายกงซุนเป็นสหายสนิทกัน”

“นั่นย่อมเป็นเรื่องก่อนเกิดคดีที่หมู่ตึกพันอักษร?”

สีหน้าม่อย้งเพ็กเหล็งสลดลงอีกครั้ง “ใช่...”

ริวจิอดใจสงสัยไม่ได้ต้องไต่ถามอีก “พี่ชายของเจ้าตัดสินใจออกบวชเพราะเรื่องในคราวนั้น?”

ม่อย้งเพ็กเหล็งอ้ำอึ้ง “...มิใช่...”

ริวจิยังรุกต่อ “มิใช่...แต่เกี่ยวเนื่องกันใช่หรือไม่?”

นางมองหน้าริวจิเขม็ง “เจ้าถามเรื่องเหล่านี้ทำไม?”

ริวจิยิ้มละไม “เจ้าเองก็พยายามไต่ถามเรื่องท่านโยชิ...ปากเจ้าก็บอกว่าเรื่องของอี้แป๊ะเฮาะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า แต่เจ้าสิกลับพยายามสืบข่าวทุกอย่างหรือเจ้าจะเข้าประลองเอง”

“ข้า...ข้า...”

“ความจริงเจ้าสามารถไปได้ทุกเมื่อแต่ยังอยู่กับเราทำไม...หรือว่าเจ้าไม่อาจตัดใจจากข้าได้”

“เหลวใหล!...” นางถลึงตาใส่ แต่แก้มทั้งสองข้างกลับแดงซ่าน

“ข้าพเจ้าเข้าใจเจตนาเจ้า...เจ้าคิดอยู่เพื่อหาจุดอ่อนของท่านโยชิ เพื่อให้ศิษย์พี่ของเจ้าได้เป็นอันดับหนึ่งในการประลองใช่หรือไม่”

ม่อย้งเพ็กเหล็งเหม่อมองไปด้านนอก “ศิษย์พี่ไม่สนใจหรอกว่าจะได้เป็นจอมยุทธอันดับหนึ่งหรือไม่”

“ครั้งนี้จอมยุทธอี้ย่อมเข้าประลองด้วยใช่หรือไม่?”

“ย่อมใช่”

“ครั้งที่แล้ว ศิษย์พี่ของเจ้าก็เข้าประลอง?”

“ใช่”

“หากไม่ต้องการเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่ง ไม่ต้องการชื่อเสียงหรือคัมภีร์ยุทธ แล้วจอมยุทธอี้เข้าประลองทั้งสองครั้งทำไม?”

ม่อย้งเพ็กเหล็งส่ายหน้า “บอกตามจริง ตอนแรกข้าเองก็ไม่คิดว่าศิษย์พี่จะเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้ แต่เมื่อครึ่งปีก่อนศิษย์พี่มาบอกว่าจะเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ด้วย ข้าก็ไม่ทราบว่าครั้งนี้ศิษย์พี่มีเหตุผลใด”

“แล้วเมื่อสิบปีก่อนศิษย์พี่ของเจ้ามีเหตุผลใด?”

“นั่นเพราะ...”

ริวจิทอดถอนใจ “ดูเจ้าอ้ำอึ้งบ่อยเสียจริง...หรือในตงง้วนนี้มีความลับมากมายที่ไม่อาจบอกผู้อื่น”

นางใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงตัดสินใจบอกออกมา ไม่ทราบทำไมนางถึงยอมพูดเรื่องราวมากมายกับบุรุษผู้นี้ “เมื่อสิบปีก่อนที่พี่แป๊ะเฮาะ เข้าประลองเพราะคุณหนูเซี่ยงกัวเซียนนึ้ง”

“เพราะนาง?”

“ศิษย์พี่เจาะจงต้องการประลองกับนาง”

“เหตุใดศิษย์พี่ของเจ้าจึงต้องประลองกับนาง?”

“เพราะสตรีของหมู่ตึกตระกูลเซี่ยงกัว ล้วนโฉมงามและเก่งกาจ ดังนั้นจึงพิถีพิถันในการเลือกคู่ให้กับพวกนาง หากผู้ใดต้องการแต่งงานกับสตรีในหมู่ตึกต้องสามารถชนะการประลองกับพวกนางจึงสามารถแต่งงานกันได้ ซึ่งน้อยคู่นักที่จะได้แต่งงานกัน”

“ข้าพเจ้ากลับไม่ทราบว่าหมู่ตึกของชาวตงง้วนมีประเพณีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบเมื่อไหร่หมู่ตึกตระกูลม่อย้งของเจ้าจะมีการประลองเช่นนี้ล่ะ”

ม่อย้งเพ็กเหล็งหน้าแดงฉานด้วยความอาย “นี่เป็นกฎของตระกูลเซี่ยงกัวเท่านั้น ชาวตงง้วนเราไม่มีประเพณีเช่นนี้หรอก”

แววตาแวววาวจ้องมองม่อย้งเพ็กเหล็งนิ่งนาน “โชคดีที่หมู่ตึกของเจ้าไม่มีกฎไร้สาระเช่นนี้”

ม่อย้งเพ็กเหล็งเขินอีก “หมู่ตึกของข้าจะมีกฏเช่นไรหาเกี่ยวข้องกับท่านไม่...”

“หากครั้งนี้ท่านโยชิสามารถชนะการประลอง ไม่ทราบเจ้ายังจะพูดคุยกับข้าเช่นนี้อีกหรือไม่”

“ไม่ว่าผู้ใดชนะหรือแพ้ข้าล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยิ่งเรื่องพูดคุยกับท่าน นั่นต้องแล้วแต่ความพอใจของข้า”

ริวจิไม่คิดรุกไล่นางอีกจึงกล่าว “ครั้งนั้นศิษย์พี่ของเจ้าพ่ายแพ้...”

“ใช่ ผู้ที่ชนะนางได้คือคุณชายกงซุนซาเทียน”

“จอมยุทธอี้มีฝีมือล้ำเลิศยังพ่ายแพ้ต่อนาง?”

“คุณหนูใหญ่สามารถชนะพี่ซิมลั้งครึ่งกระบวนท่า ในงานประลองครั้งนั้นคุณชายกงซุนเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่สุด สามารถสยบทายาทของทุกตระกูลลงได้จึงได้เป็นเจ้าของคัมภีร์พันอักษร...หลังงานประลองเสร็จสิ้นเพียงหนึ่งวันคุณชายกงซุนก็สู่ขอคุณหนูเซี่ยวกัว...ทั้งหมดจึงถือโอกาสจัดงานแต่งงานที่หมู่ตึกพันอักษรในอีกสิบวันหลังจากนั้น”

“นี่คือชนวนเหตุของคดีฆาตกรรมที่หมู่ตึกพันอักษร?”

“พี่แป๊ะเฮาะ ไม่ได้เป็นคนทำ!”

“อย่างนั้นทำไมเรื่องนี้จึงกระจายไปทั่วยุทธภพ?”

“เพราะบัณฑิตไร้ร่องรอยโหมประโคมข่าว”

“คนผู้นี้มักเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยใส่ร้ายผู้อื่น?”

ม่อย้งเพ็กเหล็งอ้ำอึ้ง “มันไม่เคย”

“มันมีเรื่องขัดแย้งกับศิษย์พี่ของเจ้า?”

“...ดูเหมือนไม่มี”

“อย่างนั้นทำไมมันต้องกุเรื่องใส่ร้ายศิษย์พี่ของเจ้า?”

“ข้าไม่รู้!...แต่ศิษย์พี่ไม่ใช่ผู้ทำแน่นอน!”

“มีผู้ใดยืนยันได้?”

“พี่เพียวเซาะย่อมยืนยันได้! ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะตัดสินให้ศิษย์พี่เป็นผู้บริสุทธิ์”

“ลือกันว่าเพราะไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้คุณชายปึงจึงอยู่แต่ในหมู่ตึกถึงสิบปี?”

“ข้าไม่ทราบ...”

“ไม่เพียงคุณชายปึง หลังเกิดเหตุฆาตกรรมประมุขของห้าตระกูลใหญ่แม้ไม่ถึงกับเก็บเนื้อเก็บตัวแต่ก็คล้ายถือสันโดษ หากไม่ออกเร่ร่อนไปทั่วก็คล้ายไม่ใส่ใจเรื่องในยุทธภพอีก...ตระกูลเซี่ยงกัวถึงกับถอนตัวจากตงง้วนไม่ตั้งรกรากใหม่ที่หมู่เกาะพู้ซึ้ง...ที่แท้วันนั้นเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”

“ท่านไม่ต้องมองข้าไม่รู้เรื่องหรอก”

“ฮือ...หรืองานแต่งงานในครั้งนั้นตระกูลม่อย้งของเจ้ากลับไม่ได้รับเชิญ?”

“ใครบอกท่าน...วันจัดงานแต่งงานบังเอิญตรงกับวันที่พี่ชายข้าออกบวชต่างหาก ข้าจึงต้องรออยู่ที่เชิงเขาวัดเสี้ยวลิ้ม”

“บ้อเอี้ยไต้ซือเป็นศิษย์วันเสี้ยวลิ้ม?”

“หากไม่ใช่ท่านจะเรียนดรรชนีวัชระมาจากไหนกันล่ะ...ท่านเจ้าอาวาสเป็นคนบวชให้ท่านพี่เองนะ”

“พี่ชายเจ้าเป็นศิษย์ของเจ้าอาวาสวัดเสี้ยวลิ้ม...งานบวชนี้คงต้องครึกครื้นยิ่ง”

“ใช่...พี่เพียวเซาะ ท่านลุงลิ้ม ท่านลุงเต็งเดินทางมาร่วมงานด้วยตัวเอง”

“ประมุขของสามตระกูลใหญ่ก็มาร่วมงาน...แล้วทางงานแต่งงานล่ะ”

“งานครั้งนั้นสร้างความกระอักกระอ่วนให้ท่านผู้เฒ่าทั้งหลายจริงๆ จึงตกลงกันว่าให้ประมุขของสามตระกูลใหญ่ไปร่วมงานที่วัดเสี้ยวลิ้มเพื่อเป็นการให้เกียรติ์ท่านเจ้าอาวาส ส่วนทายาทรุ่นเยาว์ของทุกตระกูล ศิษย์พี่แป๊ะเฮาะและบัณฑิตไร้ร่องรอยต่างร่วมงานแต่งงานที่หมู่ตึกพันอักษร”

“แต่คุณชายปึงกลับไปร่วมงานที่วัดเสี้ยวลิ้ม?”

“ท่านลุงปึงพึ่งเสียชีวิตก่อนงานประลองเพียงสองวัน พี่เพียวเซาะจึงถือเป็นประมุขของตระกูลปึง”

ริวจิขมวดคิ้วเอะใจฉุกคิดขึ้น “เช่นนี้เป็นว่าคุณชายปึงก็ไม่ได้อยู่ที่หมู่ตึกในคืนแต่งงานที่เกิดเหตุฆาตกรรม อย่างนั้นคุณชายปึงเองก็ต้องไม่ทราบว่าในวันนั้นที่หมู่ตึกพันอักษรเกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่?”

ม่อย้งเพ็กเหล็งชะงักถ้อยคำ “...ใช่”

“ถ้าเช่นนั้นดูเหมือนผู้ที่ทราบเรื่องราวดีที่สุดสมควรเป็นบัณฑิตไร้ร่องรอยจริงๆ”

“ท่านก็เชื่อหนังสือเล่มนั้น?”

“หนังสือนั่นกล่าวร้ายจอมยุทธอี้ เจ้าจึงมีอคติ”

ม่อย้งเพ็กเหล็งไม่ตอบกลับตัดบทขึ้นแล้วเดินออกไป “พี่เพียวเซาะไปต้มยานานแล้ว ข้าจะไปตามมาทานข้าว”

ริวจิจ้องมองพยายามค้นหาความจริงในแววตาของนาง สมองยังครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ได้ยินมา ความจริงมันเคยอ่านเรื่องราวเหล่านี้ในหนังสือของบัณฑิตไร้ร่องรอยมานับครั้งไม่ถ้วน มันไม่เคยสนใจอะไรมากไปกว่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นสนุกสนานเร้าใจ แต่ตอนนี้ความรู้สึกของตนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เนื่องเพราะบุคคลที่อยู่ในเรื่องนั้นได้มาปรากฏต่อหน้ามันคนแล้วคนเล่าตั้งแต่หน้าตึกคะนึงหาในวันนั้น บัดนี้มันจึงรู้สึกเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เป็นเพียงนิยายที่สนุกสนาน แต่เป็นคดีเงื่อนงำที่ทุกคนพยายามซุกงำความลับใดไว้...มันเพิ่งเดินทางเข้าสู่ตงง้วนได้ปีเดียวตอนนี้จึงนับว่าชีวิตน่าสนใจกระตือรือร้นยิ่ง!

ไม่มีความคิดเห็น: