วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 2)





: บทที่ 2.

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยนอกเมืองจุงกิง...

ยามนี้เป็นกลางคืนต้นฤดูตงเทียน แม้ยังไม่หนาวอย่างจับใจแต่หิมะถึงกับยังตกปรอยๆตลอดเวลา

จากถนนใหญ่กลางหมู่บ้านมีตรอกเล็กตรอกน้อยแยกไปอีกนับสิบแห่ง หลายต่อหลายตรอกนั้นยังมีซอยเล็กย่อยๆอีกมากมาย นอกจากบ้านเรือนผู้คนยังเรียงรายไปด้วยโรงเตี๊ยม ร้านน้ำชา ร้านขายของชำเล็กๆน้อยๆ ในซอยเล็กๆเหล่านี้แม้การค้าไม่อาจเทียบได้กับร้านรวงที่ตั้งอยู่บนสองข้างของถนนใหญ่ แต่ยังไม่ถึงกับเงียบเหงาวังเวงจนเกินไปนัก

ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อข้างๆตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง

ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนอยู่เพียงสองคน คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหลังค่อมเล็กน้อยท่าทางเงอะงะผมเพ้ารุงรังจนมองแทบไม่เห็นหน้าตา ยิ่งไม่อาจบ่งบอกอายุที่แท้จริง อีกผู้หนึ่งเป็นลูกค้าของร้านแห่งนี้

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มฉกรรจ์แต่งตัวมองดูคล้ายบัณฑิตนักศึกษา ชุดที่สวมใส่ทั้งขาวทั้งสะอาดแต่กลับเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา เนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บก็ธรรมดาอย่างยิ่งเป็นเพียงผ้าดิบฝอกสีเท่านั้น หากคนผู้นี้เป็นนักศึกษาจริงก็ต้องเป็นเพียงบัณฑิตซอมซ่อผู้หนึ่ง หาใช้ลูกหลานคหบดีผู้ต้องการสอบจอหงวนไม่

บัณฑิตหน้าขาวอายุราวสามสิบเศษ เค้าหน้าสี่เหลี่ยมกรามใหญ่ คิ้วดกดำปลายทั้งสองข้างชี้ตรงขึ้นด้านบน หน้าผากกว้างปรากฏรอยเว้าปราศจากเส้นผมเข้าไปลึกทั้งสองข้าง มันนับว่าอ้วนท้วนสมบูรณ์แต่ไม่ฉุใหญ่จนน่าคลื่นเหียน ลำคอค่อนข้างกลมโตเมื่อเทียบกับแขนขาที่ยาวเก้งก้าง ผิวกายเปล่งปลั่งไม่ซูบซีดยามยืนตรงยังสูงกว่าคนทั่วไปครึ่งเชียะ นิ้วข้างขวาเปรอะเปื้อนหมึกดำแห้งกรังทั้งห้านิ้ว ใต้คางมีหนวดเคราดำแข็งกระด้างขึ้นหรอมแหรม มันไม่ได้ใส่ใจตนเองมาหลายวัน ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ปรือด้วยฤทธิ์สุราหกเจ็ดไหที่วางอยู่ข้างกาย...

ตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านเมื่อสามวันก่อนพู่กันในมือคนผู้นี้คล้ายไม่เคยหยุดขีดเขียนลงในกองกระดาษที่อยู่เบื้องหน้าราวกับมีเรื่องมากมายให้ต้องรีบจดบันทึก แป้นฝนหมึกด้านข้างถูกใช้ไปถึงหนึ่งในสี่แล้ว แต่ขณะที่มือข้างหนึ่งจับพู่กันมืออีกข้างกลับถือไหสุราไม่ยอมปล่อยเช่นกัน คนผู้นี้ไม่เพียงขีดเขียนไม่หยุดทั้งยังดื่มสุราอย่างไม่ยอมหยุด และปากของคนผู้นี้ยังพูดเรื่องราวต่างๆไม่หยุดอีกด้วย

บัณฑิตผู้นั้นตะโกนขึ้น “สุรา...สุรา...เถ้าแก่...เถ้าแก่ข้าต้องการสุราอีก...”

ขณะนั้นไม่ทราบเสียงขลุ่ยสูงแหลมประหนึ่งดั่งคมดาบคมกระบี่กรีดหัวใจผู้คนดังก้องกังวานมาจากสถานที่ใด ท่วงทำนองแห่งกระแสเสียงประสานสายลมต้นฤดูตงเทียน ยิ่งโหยหวนปานประหนึ่งเสียงกู่ร้องของเหล่าปีศาจแค้นวิญญาณอาฆาตที่ต้องตายอย่างไม่สมควรกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนกลับมาทวงความยุติธรรมแห่งชีวิตตนคืน แต่หากตั้งใจฟังให้ดีเสียงแหลมเล็กกังวานก้องนี้ย่อมไม่ใช่เสียงกู่ร้องของปีศาจยามราตรีอย่างแน่นอน...

เพราะแม้แต่พวกมันก็คาดว่ายังไม่อาจถ่ายทอดความทุกข์ทน ความอยุติธรรมที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนได้กระจ่างชัดเจนเฉกเช่นดังปรากฏภายใต้ท่วงทำนองแห่งกระแสเสียงนี้

เรื่องเช่นนี้มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่กระทำได้!

บัณฑิตซอมซ่อหยุดฟังเสียงขลุ่ยครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย กล่าวถ้อยคำดั่งรำพึงรำพันกับตนเองแต่สุ่มเสียงกลับดังชัดทั่วทั้งห้อง

“ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญกลางเดือนหนาว...ยามแสงดาวลางเลือนเหมือนใจข้า...ใจข้า...เถ้าแก่ท่านทราบหรือไม่ในเวลาเยี่ยงนี้เป็นผู้ใดที่ยังมีอารมณ์สุนทรีถึงเพียงนี้ ”

เถ้าแก่หลังค่อมหันมามองเล็กน้อย แล้วหันไปเช็ดโต๊ะต่ออย่างไม่ใส่ใจ เนื่องเพราะหลายวันนี้มันได้ยินวาจาเหล่านี้จนชินชา

“ท่านย่อมไม่ทราบ...แต่ข้าทราบ...”

เสียงขลุ่ยเงียบหายไปแล้ว บัณฑิตผู้นี้หาวหวอดๆส่ายหน้าไปมา กรอกสุราลงคออีกอึกใหญ่ หันไปมองหน้าเถ้าแก่หลังค่อมอีก “เถ้าแก่ท่าน...ท่าน...”

เถ้าแก่หลังค่อมหยุดเช็ดโต๊ะแล้วหันมามองลูกค้าผู้นี้อีก มันลังเลควรไปยกสุรามาให้บัณฑิตซอมซ่ออีกดีหรือไม่ คนผู้นี้ดื่มติดต่อกันหกเจ็ดไหแล้วแม้หลายวันมานี้มันไม่เคยติดค้างค่าเหล้า แต่หากยังดื่มเช่นนี้สักวันมันคงต้องหมดตัวแน่ๆ แม้มันยินดีที่โรงเตี๊ยมซอมซ่อของมันมีผู้อุดหนุน แต่มันกลับมิใช่ปีศาจดูดเลือดที่จ้องคอยจะหาทางขูดรีดเงินทองลูกค้า

“ทำไมท่านยังไม่เอาสุรามาให้ข้าอีก...ข้าต้องการสุรา...”

ยังไม่ทันที่เถ้าแก่จะตอบว่ากระไร ประตูโรงเตี๊ยมพลันบังเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ผ้าบุนวมผืนใหญ่ซึ่งแขวนกั้นลมหนาวที่ด้านในประตูถูกเลิกขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะดังสดใสของดรุณีแรกรุ่น

ดรุณีสองคนในชุดกันหนาวหนังจิ้งจอกซึ่งหนาเป็นพิเศษเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาภายในร้าน ชุดที่สวมใส่ภายใต้เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกเป็นเสื้อแขนยาวสีครามเข้มแขนเสื้อยาวจรดข้อมือเหมือนกันทั้งสองนาง ข้างเอวของทั้งสองต่างแขวนกระบี่ฝักสีดำสนิทฝังอัญมณีสามเม็ดส่องประกายวูบวาบแยงนัยน์ตา เถ้าแก่รีบกุลีกุจอพาร่างอันแสนอัปลักษณ์ของตนเข้าไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนทันที มันทราบแค่อาภรณ์หนังจิ้งจอกสองตัวนี้ก็มีราคามากกว่ากำไรจากโรงเตี๊ยมของมันทั้งปีทีเดียว

โรงเตี๊ยมซอมซ่อของมันย่อมไม่บ่อยครั้งที่จะมีลูกค้าร่ำรวยเช่นนี้ แต่ในยามอากาศเยี่ยงนี้โรงเตี๊ยมของมันต้องนับว่าดีอย่างยิ่งหากเทียบกับการต้องเดินทางเผชิญลมหนาวด้านนอก

ดรุณีทั้งสองถอดชุดกันหนาวให้เถ้าแก่นำไปแขวนที่ผนังด้านข้าง นับแต่ก้าวแรกที่พ้นประตูเข้ามา แววตาหนึ่งจริงจังจนแข็งกระด้างหนึ่งซุกซนหลุกหลิกเพ่งมองมาที่บัณฑิตซอมซ่ออย่างประหลาดใจระคนคาดคิดไม่ถึง ดรุณีทั้งคู่หันมาสบตากันวูบหนึ่งแต่มิได้กล่าวถ้อยคำใดๆ เดินมาหย่อนกายอย่างอ่อนล้ายังโต๊ะตัวหนึ่งเยื้องบัณฑิตผู้นั้น

ดรุณีผู้มีแววตาแข็งกระด้าง ร่างสูงเปรียวเอวคอดกิ่วแต่ไม่ผอมแห้ง คิ้วเรียวเล็กคมชัดโก่งขึ้นเล็กน้อย จมูกเป็นสันปลายแหลมทั้งไม่ชี้ขึ้นและงุ้มลงเปี่ยมแววเชื่อมั่นถือดีในตนเองอย่างดี ริมฝีปากบางเฉียบไร้รอยยิ้มตั้งฉากกับสันจมูก ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นมวยไว้บนศีรษะ นางมิได้แต่งแต้มเครื่องประทินผิวลงบนใบหน้าแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ต้องไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่านางไม่งดงามเป็นแน่ นิ้วมือเรียวขาวประหนึ่งสลักเสลาจากหยกไร้ตำหนิ ผู้พบเห็นล้วนต้องติดตาตรึงใจ แต่นี่กลับมิใช่ความงามที่ชวนลุ่มหลง เคลิบเคลิ้มงมงายที่มักหลอกล่อชักพาบุรุษลงสู่อเวจี

เนื่องเพราะนางมีแววตาที่จริงจังอย่างยิ่ง แน่วแน่อย่างยิ่ง ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้า สีหน้าเยือกเย็นจนแข็งกระด้างปราศจากรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ราวกับใบหน้านั้นเป็นรูปแกะสลักจากหยกเนื้อดีจริงๆ

“เถ้าแก่ท่านช่วยต้มยาตามเทียบนี้ให้ด้วย” นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ หยิบเทียบยาและตัวยาสามสี่ชนิดจากห่อผ้าส่งให้เถ้าแก่หลังค่อม แล้วอธิบายกำชับอีกหลายคำ

เถ้าแก่ได้แต่รับฟัง พลางพยักหน้าหงึกๆ รับห่อยามาแล้วเดินเงอะงะออกไปต้มยาในครัว

ดรุณีอีกผู้หนึ่งยังอยู่ในวัยแรกรุ่น เสียงหัวเราะของนางใสกังวานดุจระฆังเงิน นางสูงกว่าดรุณีอีกคนอยู่เล็กน้อย แต่ร่างกายของนางผอมบางมากจนแทบจะสามารถปลิวไปตามกระแสลมหนาวที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอก เค้าหน้าของดรุณีทั้งสองมีส่วนคล้ายกันไม่น้อย ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูออกพวกนางหากไม่ใช่พี่น้องก็ต้องมีความเกี่ยวพันธุ์กันทางสายเลือดอย่างแน่นอน เพียงแต่ใบหน้าของดรุณีร่างผอมบางผู้นี้เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เปี่ยมชีวิตชีวา ทั้งยังเยาว์วัยกว่าสี่ถึงห้าปี ยังมีดวงตาคู่นั้นของนาง ดวงตาที่กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ แฝงแววหลุกหลิกซุกซนอยู่ตลอดเวลา

นางชำเลืองดูเทียบยาใบนั้นแวบหนึ่งแสร้งส่งเสียงโอดครวญขึ้น “พี่ปวยฮวย...ข้าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรทำไมต้องให้กินยาบำรุงพวกนี้อีก...ยาพวกนั้นท่านพี่เก็บไว้เถอะ ไม่รู้ต่อไปยังต้องใช้อีกเท่าไหร่...”

ดรุณีผู้มีอายุมากกว่าหันมาดุแกมว่าเล็กน้อย “คาดว่ายังต้องใช้อีกมาก หากเจ้ายังไม่เลิกรังควานผู้อื่นเสียที เอ็งฮวย...คนที่ข้าต้องจำใจรักษาล้วนเป็นฝีมือของเจ้าทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

ลิ้มเอ็งฮวยค้อนใส่พี่สาวของตนเล็กน้อย ส่ายหน้าหัวเราะร่วน “ใครให้พวกนั้นแต่ละคนมีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมทั้งนั้นล่ะฝีมือไม่ได้เรื่อง....แล้วถ้าไม่เพราะข้าจะมีใครมาให้ท่านพี่รักษาล่ะ”

“คนที่อยากจะให้เซียนแพทย์ไร้ใจรักษาย่อมมีอยู่มากมาย บางคนมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าหมู่ตึกตระกูลลิ้มสามวันสามคืนก็ยังไม่ได้พบ บางคนลงทุนมาปลูกบ้านเรือนอยู่ละแวกนั้นนานนับเดือน ทุกวันเดินมาร้องวิงวอนอยู่นอกประตูบ้านแต่คนข้างในกลับทำเป็นไม่ได้ยินเสียฉิบ...ยิ่งไม่ทราบมีอีกมากน้อยเท่าไหร่ที่สิ้นลมหายใจอยู่หน้าหมู่ตึกตระกูลลิ้ม” บัณฑิตผู้นั้นว่ากล่าวแดกดันเสียงดัง ในมือยังคงสะบัดพู่กันดื่มเหล้าไม่หันมามองแขกผู้มาใหม่ทั้งสองแม้แต่น้อย

ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววกลอกกลิ้งจ้องมองไปที่บัณฑิตซอมซ่อแล้วกล่าวว่า

“มีมากน้อยเท่าไหร่นั้นไม่ทราบ ท่านพี่ข้ายินดีรักษาแต่ผู้ที่ควรรักษาเท่านั้น หมู่ตึกตระกูลลิ้มของเราไม่ใช่สถานสงเคราะห์ หากต้องรักษาให้กับทุกคนที่แห่กันมาวันๆคงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี สำหรับผู้ที่อุตส่าห์เสียเวลารอคอยจนต้องเสียชีวิตลง สกุลลิ้มของเราจัดหาโลงศพอย่างดีให้กับทุกคนมิเคยขาดตกบกพร่อง พี่ปวยฮวย...มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ข้าไม่เคยเชื่อถือเสมอมา...แต่ในวันนี้เห็นทีจะไม่เชื่อไม่ได้แล้ว”

ลิ้มปวยฮวยยังกล่าวเรียบๆ “เป็นคำพูดประโยคใด”

ดรุณีผู้เยาว์วัยกว่า ดวงตายิ่งกลอกกลิ้ง กล่าววาจายิ่งก่อกวนผู้คน

“ผู้ต้องการพบกลับไม่ได้พบ แต่ผู้ไม่คิดจะเจอกลับต้องได้เจอะเจอทุกที...”

ใบหน้าของลิ้มปวยฮวยฝืนยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ฉาบไปด้วยความเย็นชายิ่งทำให้หน้าของนางดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง “เจ้าคิดว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง”

“ย่อมต้องถูกอย่างแน่นอน...ปลายปีที่แล้วเจ้าสำนักเตียมชังกับมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักคุนลุ้น นัดหมายประลองยุทธกัน ตาเฒ่าทั้งสองต่างหวังให้การประลองครั้งนั้นทราบสืบทอดไปถึงคนรุ่นหลังจึงเชิญให้คนผู้หนึ่งไปบันทึกการประลอง”

น้ำเสียงเย้ยหยันเชิดขึ้นเล็กน้อย “ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนยุทธภพของพวกเขา แต่นึกไม่ถึงคนผู้นั้นกลับไม่ยอมให้เกียรติ์มาชม”

สายตาเจ้าเล่ห์หันไปมองบัณฑิตซอมซ่ออีกแวบหนึ่ง

“ท่านพี่จำงานแต่งงานของศิษย์คนโตแห่งสำนักบู๊ตึ๊งกับบุตรีของเจ้าสำนักฮั้วซัวเมื่อต้นปีนี้ได้ไหม งานนี้สกุลลิ้มของเรายังต้องให้ข้ากับท่านพี่ไปเป็นตัวแทนท่านพ่อ แต่แขกคนสำคัญที่เจ้าภาพหวังจะให้จดบันทึกงานแต่งงานครั้งยิ่งใหญ่นี้กลับไม่ยอมไปเสียฉิบ...”

น้ำเสียงประชดประชัดเน้นทีละคำช้าๆชัดเจน จนกลายเป็นถากถางเสียดสี

“ย่อมไม่มีผู้ใดคาดคิด ท่านบัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้ จะมานั่งแต่งโคลงร่ำสุราอยู่ในสถานที่ไร้สาระเช่นนี้”

ลิ้มปวยฮวยจ้องเขม็งไปยังบัณฑิตผู้นั่น ดวงตานางไม่เคยปรากฏแววกลอกกลิ้งเยี่ยงน้องสาวแม้สักครั้ง

“คราวนี้เจ้าพูดผิดแล้วล่ะเอ็งฮวย เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นผู้เกลียดเรื่องไร้สาระที่สุด บางทีในสถานที่นี้อาจยังมีสิ่งใดน่าสนใจกว่าเรื่องของพวกสำนักต่างๆที่เจ้าว่ามานั่นก็ได้”

ลิ้มเอ็งฮวยเบ้ปาก กวาดสายตามองสภาพภายในโรงเตี๊ยมอย่างดูแคลน “ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อแบบนี้ยังมีเรื่องอะไรน่าสนใจ?”

“นั่นเจ้าคงต้องถามพี่เอี้ยเองแล้ว”

บัณฑิตซอมซ่อวางพู่กันในมือหันมาที่โต๊ะของคนทั้งสอง หัวเราะอย่างปราศจากความจริงใจด้วยเสียงอันดัง “แม่นางลิ้มกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ยามอากาศเยี่ยงนี้ที่ใดมีสุราอุ่นๆย่อมนับได้ว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง”

“อากาศเยี่ยงนี้น่ากลัวสุราอุ่นๆจะยังไม่พอกระมัง อีกสักครู่หากไม่รังเกียจขอเชิญทดลองยาบำรุงสูตรพิเศษของข้า นอกจากจะสามารถต้านทานอากาศเยี่ยงนี้ได้เป็นอย่างดีแล้วยังทำให้สุรามีรสชาติดีขึ้นอีกด้วย”

: เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้เอี้ยป้อฮู้ถึงกับหัวเราะลั่นออกมาจริงๆ “นี่ต้องนับเป็นโชควาสนาของข้าต่างหาก ยาสูตรของเจ้ายังจะมีผู้ใดกล้าปฏิเสธ น่ากลัวคำร่ำลือที่ผู้อื่นว่ากล่าวเจ้าล้วนเป็นการเข้าใจเจ้าผิด เพราะหากเจ้าเป็นเซียนแพทย์ไร้ใจตามคำร่ำลือย่อมต้องไม่มากน้ำใจขนาดนี้...”

คิ้วเรียวเล็กกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่วาจาที่กล่าวยังสงบราบเรียบดุจเดิม “คำเซียนแพทย์นั้นไหนเลยจะกล้ารับไว้ แต่ที่ผู้อื่นว่ากล่าวข้าไร้น้ำใจล้วนไม่ผิดหรอก...”

ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวลอยๆ “ได้ข่าวว่าเย็นวันนี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช เทพพู่กันคู่ยะเยือกประลองกับมือสังหารไร้รักนั่นก็นับเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง”

บัณฑิตซอมซ่อลุกขึ้นยืนบิดร่างท้วมสมบูรณ์แต่สูงยิ่งไปมาอย่างเกียจคร้าน

“นั่นนับว่าน่าสนใจอะไร นาคามูระ โยชิไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน”

“ดังนั้นท่านจึงไม่ได้ไปชม?”

บัณฑิตไร้ร่องรอยพยักหน้าแต่มันไม่พูดต่อแล้ว เพราะเสียงขลุ่ยที่เงียบไปชั่วครู่กลับดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงของมันยืนนิ่งร่องรอยความเกียจคร้านหายไปจนสิ้น นัยน์ตาแม้ยังแดงกล่ำด้วยฤทธิ์สุรากลับปราศจากอาการเมามายโดยสิ้นเชิง แววเดือดดาลใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจแรงๆอย่างหงุดหงิด กระแทกตัวนั่งลงยกไหสุราขึ้นดื่มดับความเดือดดาล ตลอดสามวันที่มันนั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิทราบได้ยินเสียงนี้มากน้อยเท่าไหร่

สายตาปรายกลับไปจับจ้องใบหน้าลิ้มปวยฮวยคล้ายไถ่ถาม ‘ท่านยังจำเสียงขลุ่ยนี้ได้หรือไม่’ แต่วาจานี้มิได้กล่าวออกไป มันไม่จำเป็นต้องกล่าวเพราะคำตอบปรากฏชัดบนดวงหน้างาม

ดวงตาเขม็งดุจพญาจิ้งจอกมองนางดั่งจะกระชากสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจดรุณีผู้นี้ออกมา “เจ้าคงทราบแล้วว่าละแวกนี้มีเรื่องใดน่าสนใจ...”

“นี่...เสียงขลุ่ยนี่” ตลอดเวลาที่เสียงขลุ่ยวังเวงดังขึ้นลิ้มเอ็งฮวยที่หลุกหลิกซุกซนถึงกับนั่งนิ่งอึ้ง ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ตอนนี้วาจายิ่งกล่าวยิ่งตะกุกตะกัก “เป็น...เป็นเขาจริงๆหรือ...”

บัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้ได้แต่พยักหน้า

ลิ้มปวยฮวยที่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เช่นกัน พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับน้ำเสียงของตนให้ราบเรียบราวไร้เรื่องราวใดๆ

“ท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อเสาะหาตัวคุณชายปึงนี่เอง...คุณชายปึงอยู่ที่ไหน...”

“เฮอะ...ข้าจะรู้ได้ยังไง” เอี้ยป้อฮู้แค่นเสียงตอบอย่างหงุดหงิด

เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ปึงเพียวเซาะ ฝังตัวอยู่ในหมู่ตึกของตนไม่ยอมก้าวเท้าออกไปไหน ไม่ว่าในยุทธภพเกิดเรื่องราวใดขึ้นมันล้วนไม่ใส่ใจ ผู้คนในยุทธภพต่างร่ำลือ บัดนี้มันได้กลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งไปแล้ว เอี้ยป้อฮู้พยายามไปขอเยี่ยมเยียนมันที่หมู่ตึกตระกูลปึงหลายครั้งหวังจะสืบเรื่องราวว่ามันเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรแล้ว เรื่องราวความตกต่ำของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจยิ่ง หากมันได้เรื่องราวใดกลับมาเขียนหนังสือสักเล่มสองเล่มย่อมต้องมีผู้คนแห่มาขอซื้ออย่างแน่นอน

แต่ประตูหมู่ตึกตระกูลปึงก็ปิดสนิทไม่ต้อนรับคนนอกมาตลอดสิบปี จนวันหนึ่งมันจึงได้ข่าวจากคนส่งข้าวสารของร้านขายข้าวใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมันซื้อตัวไว้ คนผู้นี้ต้องไปส่งข้าวให้หมู่ตึกตระกูลปึงเป็นประจำ จึงได้ยินบ่าวไพร่ซุบซิบกันว่าปึงเพียวเซาะได้รับเทียบเชิญไปงานชุมชุนที่หมู่ตึกพันอักษร บรรดาบ่าวไพร่ต่างคิดว่าคุณชายของมันคงไม่สนใจไยดี แต่มิคาดเพียงวันรุ่งขึ้นปึงเพียวเซาะก็ออกเดินทางจากบ้านไปแล้ว หลังจากเที่ยวเสาะหาตามเส้นทางสู่หมู่ตึกพันอักษรอยู่เกือบหนึ่งเดือนมันจึงได้ยินเสียงขลุ่ยนี้

ถึงตอนนี้มันจะได้ยินเสียงขลุ่ยอย่างขัดเจน ปึงเพียวเซาะต้องอยู่ใกล้อย่างยิ่งแต่จนใจที่มันกลับมิอาจระบุความใกล้ไกลของจุดที่อยู่ของเจ้าของเสียงขลุ่ยได้ ดังนั้นมันถึงกับต้องเมามายอยู่ที่นี่สามวันแล้ว

เสียงขลุ่ยราวปีศาจกู่ร้องสลับซับซ้อนยิ่งนัก เสียงเหมือนอยู่ทางซ้ายแต่ดังแว่วมาจากทางขวา ได้ยินเสียงโหยหวนแผ่วเบาราวอยู่ห่างไกลแต่ท่วงทำนองกลับชัดเจนกระจ่างราวผู้เป่ามานั่งอยู่เบื้องหน้า บางครั้งยังดังๆแผ่วๆสลับกับไกลๆใกล้ๆคล้ายจงใจอำพลางแหล่งกำเนิดของตน

แต่ถึงอย่างไรสามวันที่เอี้ยป้อฮู้ต้องนั่งอยู่ที่นี่กลับไม่สูญเปล่าเพราะมันยังได้ข้อสรุปประการหนึ่ง...

ท่วงทำนองของเสียงขลุ่ยที่หดหู่รันรดเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าเวลาสิบปีมิได้บรรเทาบาดแผลในจิตใจจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นให้จางหายไปจากใจบุรุษผู้นี้แม้แต่น้อย

ปึงเพียวเซาะคงจะคล้ายกลายเป็นคนไม่สนใจเรื่องราวใดๆไปแล้วจริงๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ต้องไม่ได้กลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งอย่างที่ผู้คนร่ำลือกันแน่ๆ เพราะขี้เมาอันดับหนึ่งต้องไม่สามารถทำให้บัณฑิตไร้ร่องรอยหัวหมุน ได้แต่ผุดลุกผุดนั่งทำอะไรไม่ถูก จนต้องจมอยู่กับไหสุราไม่สามารถไปไหนได้ถึงสามวันอย่างแน่นอน!

“ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญกลางเดือนหนาว...ยามแสงดาวลางเลือนเหมือนใจข้า...ในยุทธภพแม้มีคนอยู่หลายประเภทแต่บุคคลประเภทนี้นับว่ามีอยู่ไม่มากจริงๆ...” กล่าวพลางกรอกสุราลงคออีกแต่คราวนี้กลับดื่มเพียงเล็กน้อยซ้ำยังค่อยๆกรอกลงคออย่างเชื่องช้ายิ่ง “คนผู้นี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในยุทธภพมานานถึงสิบปีแต่คราวนี้กลับยอมเดินทางมาถึงที่นี่...”

ดรุณีผู้ซุกซนนั่งนิ่ง ครุ่นคิดพึมพำกับตนเองเบาๆ “หรืองานชุมนุมครั้งนี้ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธได้จริงๆ”

“นั่นย่อมแน่นอน...ไม่เช่นนั้นไหนเลยสองเซียนตระกูลลิ้มจะยอมเดินทางฝ่าหิมะกลางฤดูตงเทียนมาถึงที่นี่ได้...” สายตาแหลมคมราวจะเจาะทะลุหัวใจผู้คนมองดรุณีทั้งสองเป็นเชิงไถ่ถาม

“ผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังหมู่ตึกพันอักษรล้วนต้องใช้เส้นทางนี้ คาดว่าหลายในวันนี้ต้องมีผู้คนที่คาดคิดไม่ถึงยินยอมเดินทางยามอากาศเยี่ยงนี้เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน” แม้เสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยจะทำให้หัวใจของลิ้มปวยฮวยเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดสิบปี จิตใจยิ่งว้าวุ่นวิตกกังวล แต่ยังพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ยอมเผยความรู้สึกของตนต่อหน้าผู้อื่นทั้งสิ้น...เป็นคุณชายปึงจริงๆ...ทำไมเขาถึงเดินทางมาที่นี่...หรือ...

“หรือครั้งนี้คุณชายปึงจะเข้าร่วมการประลองด้วย!” ลิ้มเอ็งฮวยโพล่งออกมาสีหน้าแตกตื่นอย่างยิ่ง

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะจนตัวงอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

ลิ้มปวยฮวยได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเอี้ยป้อฮู้ คุณชายปึงคล้ายตายไปจากยุทธภพตั้งแต่สิบปีที่แล้วจริงๆ...ถ้าอย่างนั้น...

น้ำเสียงที่ปกติมักราบเรียบจนเกือบจะไร้ความรู้สึกของลิ้มปวยฮวยถึงกับสั่นเครือเล็กน้อย นางไม่ทราบนี่เรียกว่าความรู้สึกใดกันแน่ สงสาร เห็นใจหรือเวทนาหรือเป็นสิ่งใดแน่...หรือเซียนแพทย์ไร้ใจจะกลับมีหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง!

“ผ่านไปสิบปี...แต่เสียงขลุ่ยของคุณชายปึงมิได้เปลี่ยนไปจากวันนั้นเลย...ในยุทธภพแม้มีคนอยู่หลายประเภทแต่บุคคลประเภทนี้นับว่ามีอยู่ไม่มากจริงๆ”

เสียงขลุ่ยหยุดชะงักลงอีกแล้ว พร้อมกับความเงียบที่เข้าปกคลุมห้องโถงแห่งนั้น ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงบุรุษเจ้าของเสียงขลุ่ยอีก ราวกับทุกคนพอใจที่จะให้การสนทนายุติลงพร้อมกับการเงียบหายไปของกระแสเสียงคร่ำครวญเชือดเฉือนจิตใจผู้คน

บางทีอาจเพราะทั้งหมดไม่ต้องการพูดคุยถึงเรื่องราวของบุรุษผู้เสมือนตายไปจากยุทธภพถึงสิบปีแล้ว

ที่เป็นเช่นนี้เนื่องเพราะเหตุผลหลายประการ ทุกผู้คนมักมีเหตุผลของตนที่ดียิ่ง

ผู้คนส่วนมาก ที่ไม่ยินยอมพูดถึงผู้ที่จากไปแล้ว เป็นเพราะไม่ต้องการหวนนึกถึงช่วงเวลาบางช่วง

เป็นช่วงเวลาที่หวนคิดถึงแล้วมักทำให้ตนเองต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง

เป็นช่วงเวลาใด?

ย่อมต้องเป็นช่วงเวลาที่ท่านอยู่ร่วมกับคนผู้นั้นอย่างมีความสุขยิ่ง

เนื่องเพราะท่านตระหนักดีว่าช่วงเวลาเช่นนั้นไม่สามารถหวนคืนกลับมาอีกแล้วตลอดกาล!

ผู้ใดเป็นเช่นนี้?

ความเงียบปกคลุมห้องโถงของโรงเตี๊ยมซอมซ่อครู่ใหญ่

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งจริงๆ ความเงียบสงบสามารถแทรกตัวเข้าปกคลุมเพียงไม่นาน ภายนอกโรงเตี๊ยมพลันบังเกิดเสียงดัง ต๊อกๆๆๆ ตามทางเดิน เหมือนมีคนใช้วัตถุแข็งๆเคาะบนพื้นหิมะหนาแกร่ง ยิ่งเดินยิ่งใกล้โรงเตี๊ยมซอมซ่อแห่งนี้เข้ามาทุกขณะ จังหวะการเคาะแต่ละครั้งล้วนเท่ากันมิผิดเพี้ยน

เมื่อได้ยินเสียงเคาะพื้นดังต๊อกๆๆที่ใกล้เข้ามาเอี้ยป้อฮู้รีบหยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกจากห่อผ้า หันไปทางประตูโรงเตี๊ยมซึ่งบุผ้านวมผืนใหญ่ตะโกนออกไปเสียงดังกังวาน “สุราของร้านนี้นับว่าไม่เลวจนเกินไปทั้งยังอุ่นอย่างยิ่ง...เกี๊ยวน้ำของที่นี่รสชาตินับว่าใช้ได้ทีเดียว...หรือท่านคิดว่าที่ด้านนอกยังมีสิ่งใดน่าสนใจยิ่งกว่านี้” ปลายพู่กันจรดบนกระดาษขาวใจจดจ่อรอเสียงตอบจากอีกฝ่าย

เต็งพู้ย้งหยุดฝีเท้าลงกระทันหันนางจำสุ้มเสียงคนผู้นี้ได้ดี ทั้งยังมั่นใจว่าการเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรคราวนี้จะต้องเจอะเจอคนผู้นี้แน่นอน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันเร็วขนาดนี้ นางหันไปยังประตูโรงเตี๊ยมราวกับชั่งใจว่าควรเดินเข้าไปข้างในดีหรือไม่

“ด้านนอกไม่มีสิ่งใดน่าสนใจจริงๆ ข้าเพียงแต่ไม่อยากรบกวนเวลาเขียนหนังสือของพี่เอี้ยเท่านั้น...” แม้ยังไม่เดินเข้าไปด้านในแต่สุ้มเสียงของนางกลับดังประหนึ่งได้มานั่งอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้ว

เพียงได้ยินเสียงตอบกลับ ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับยิ้มจนแก้มแทบปริ กระโดดลุกขึ้นไปเปิดผ้านวมด้านในประตูให้กับแขกผู้มาใหม่ในทันที ครู่หนึ่งจึงเดินคล้องแขนหญิงวัยยี่สิบปลายๆเข้ามาในร้าน

เต็งพู้ย้งสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ที่หนาอย่างยิ่ง แม้ไม่ล้ำค่าเท่ากับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกของพี่น้องตระกูลลิ้ม แต่ยังสามารถต้านทานลมหนาวที่พัดโชยอยู่ด้านนอกอย่างมีประสิทธิภาพ ในมือนางยังถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่ธรรมดาอันหนึ่ง นางถูกลิ้มเอ็งฮวยจูงมือให้เดินไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับพวกนางสองพี่น้อง

ลิ้มปวยฮวยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างยิ่งเมื่อพบเห็นสตรีผู้นี้ เป็นรอยยิ้มอย่างยินดีที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ยามยิ้มเช่นนี้ทำให้นางถึงกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สีหน้าที่เฉยเมยเมื่อคลายลงพลันบังเกิดความงดงามตามธรรมชาติขึ้นอีกหลายส่วน โดยเฉพาะดวงตาที่ใสกระจ่างไร้แววกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ตลอดกาล นี่จึงสมควรเป็นใบหน้าของดรุณีผู้มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปีอย่างนางโดยแท้

เต็งพู้ย้งอมยิ้มกับตนเอง “ยากยิ่งจริงๆที่จะพบเจ้าทั้งสองในสถานที่แบบนี้”

“หากไม่เป็นเพราะโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี้เต็มหมดเราพี่น้องคงไม่มาพักโรงเตี๊ยมซอมซ่ออย่างนี้หรอก ข้าบอกท่านพี่แล้วขอเพียงจ่ายเงินให้มากหน่อยไหนเลยหาห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชไม่ได้ แต่ท่านพี่ยังยืนยันให้หาโรงเตี๊ยมอื่นพัก...แฮะ...ในที่สุดกลับมีแต่ที่นี่ที่มีห้องว่าง”

สตรีผู้พึ่งมาถึงยังคงยิ้มละไม “ห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเต็มมาหลายวันแล้วหากเถ้าแก่สามารถหาห้องพักให้เจ้าสองพี่น้องได้ คาดว่าต้องมีแขกบางคนต้องออกไปนอนตากลมหนาวอยู่ด้านนอก”

“เรื่องนั้นข้ากลับมิใส่ใจ...พูดก็พูดเถอะถ้าหลายวันนี้หิมะไม่ตกหนักเราคงเดินทางใกล้ถึงหมู่ตึกพันอักษรแล้ว” ลิ้มเอ็งฮวยเชิดปลายจมูกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

เอี้ยป้อฮู้หันมากล่าวกับพี่น้องตระกูลลิ้ม “เจ้าพูดถูกจริงๆการนัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธ”

“ผู้อื่นเชื้อเชิญท่านมักเพราะต้องการให้ท่านกระทำเรื่องบางอย่างให้ ผู้อื่นเชื้อเชิญข้าก็ย่อมต้องการให้ข้ากระทำเรื่องบางอย่างให้เช่นเดียวกัน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอเชื้อเชิญพี่พู้ย้งบ้าง” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวพลางหยิบไพ่ชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

“เอ็งฮวย...พี่พู้ย้งเพิ่งมาถึงเจ้าก็ก่อกวนเสียแล้ว” ลิ้มปวยฮวยดุน้องตนพร้อมทั้งรินน้ำชาให้เต็งพู้ย้ง

: เต็งพู้ย้งกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “น้องเอ็งฮวย ตระกูลเต็งของข้าไม่ได้ร่ำรวยนัก เกรงว่าไม่อาจรับการเชื้อเชิญของเจ้าได้บ่อยครั้ง อีกทั้งคนอย่างข้าชมชอบที่จะทำนายโชคชะตาให้ผู้อื่นเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าประมือกับปีศาจพนันน้อยอย่างเจ้าได้”

“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอเชื้อเชิญเรื่องที่ท่านถนัดบ้าง...” เอี้ยป้อฮู้แทรกขึ้นพร้อมทั้งเดินมานั่งที่โต๊ะเดียวกับสตรีทั้งสาม

เต็งพู้ย้งหยิบเหรียญเงินออกมาสามเหรียญส่งให้เอี้ยป้อฮู้ บัณฑิตซอมซ่อโยนเหรียญขึ้นในอากาศ เมื่อเหรียญหล่นลงมา เต็งพู้ย้งใช้มือสัมผัสที่หน้าเหรียญทั้งสามนั้นครั้งหนึ่งแล้วเก็บมันไว้ในแขนเสื้อดังเดิม

แม้นางจะไม่ใช่ดรุณีวัยแรกรุ่นแต่รูปโฉม ยังคงติดตาผู้พบเห็นอย่างยิ่ง นั่นเพราะนางมีสีหน้าสดชื่นยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ลักยิ้มที่น่าดูทั้งสองข้างราวกับจะปรากฏอยู่บนใบหน้านางตลอดกาล ทำให้ใบหน้าใสกระจ่างดูกลมกลึงราวดวงจันทร์คืนเพ็ญ เมื่อบวกกับรูปร่างที่ไม่สูงนักและยังอวบอิ่มเล็กน้อย ยิ่งทำให้นางดูเป็นดรุณีที่แสนใจดี ผู้ได้พบเห็นล้วนต้องเกิดความรู้สึกเป็นมิตรขึ้นโดยธรรมชาติอีกหลายส่วน ทั้งยังปราศจากริ้วรอยของวัยที่ล่วงเลยมา เพียงแต่เสียดายที่ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นแววตาทั้งสองของนางได้...

เนื่องเพราะดวงตาทั้งสองของนางได้ดับสนิทไปนานแล้ว!

“ฟ้าแยกจากน้ำ...ดูเหมือนการเดินทางคราวนี้ท่านจะไม่มีโชคเสียแล้ว...เพราะไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดล้วนต้องขัดแย้งกับผู้อื่นอยู่เรื่อยไป ยิ่งท่านพยายามมากขึ้นเท่าไหร่กลับยิ่งขัดแย้งกับผู้อื่นมากขึ้นทุกทีจนไม่อาจกระทำเรื่องราวใดๆที่ท่านต้องการให้สำเร็จได้ สายน้ำก่อเกิดจากฟ้า ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกหล่อเลี้ยงด้วยสายน้ำ หากฟ้าแยกจากน้ำสรรพสิ่งต่างๆจะอยู่ได้อย่างไร...

ผู้ใดได้ฟังคำนายว่าตนจะไม่มีโชคอย่างยิ่งหากไม่หงุดหงิดก็ต้องหดหู่ไม่สบายใจเป็นแน่ แต่เอี้ยป้อฮู้กลับอยู่นอกเหนือจากนี้ มันยังคงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “คนที่ต้องเขียนหนังสือยังชีพอย่างข้าก็ย่อมต้องมีข้อเขียนบางเรื่องที่อาจล่วงเกินผู้อื่นไปบ้าง...ตลอดสิบกว่าปีมานี้ข้ามีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นจนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว”

“แต่หวังว่าพี่เอี้ยคงไม่นำเรื่องไร้สาระของข้าไปเขียนหรอกนะ ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องขายหน้าสหายชาวยุทธเป็นแน่”

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะขึ้นเสียงดัง “นี่ท่านยังกลัวว่าผู้อื่นจะรู้จักอีกหรือ ในยุทธภพนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จักซินแสลิขิตฟ้า!”

“ในยุทธภพนี้คาดว่าผู้ที่ไม่เคยอ่านหนังสือของท่านคงมีไม่กี่คนเช่นกัน...”

“หมู่ตึกพันอักษรความจริงเป็นสถานที่สวยงามแห่งหนึ่ง คราวนี้เมื่อไปถึงท่านก็ควรอยู่นานหน่อยโชคของท่านอาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้...” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวขึ้นพร้อมกับชำเลืองสายตาประชดประชันไปยังเอี้ยป้อฮู้ พลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “และบางทีอาจทำให้ข้อความในหนังสือของท่านเล่มนี้มีอะไรที่ยืนยันได้บ้าง ไม่ใช่มีแต่เรื่องไร้สาระอย่างนี้”

สีหน้าของเอี้ยป้อฮู้แปรเปลี่ยนเป็นขมึงทึงในทันที แววตาเย็นชาจ้องนางเขม็ง “เจ้าลืมแล้วหรือว่าเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษรเมื่อสิบปีก่อนข้าก็อยู่ด้วย...”

“ท่านอยู่แล้วข้าไม่อยู่หรือไง พี่พู้ย้งก็อยู่พี่ปวยฮวยก็อยู่...”

“ถึงพวกเจ้าจะอยู่แต่ตอนนั้นพวกเจ้ายังเด็กอยู่จะไปรู้อะไร”

“อ้อ...แล้วตอนนั้นท่านเป็นตาแก่แล้วงั้นสิ อายุท่านตอนนั้นก็มากกว่าพี่พู้ย้งแค่สามหรือสี่ปีมากกว่าพี่ปวยฮวยก็แค่หกหรือเจ็ดปี” ลิ้มเอ็งฮวยยิ่งเสียงดังยิ่งทุ่มเถียงยิ่งเผ็ดร้อนขึ้นทุกที

“เอ็งฮวยเจ้าอย่าพูดเหลวไหลสิ ในช่วงสิบปีนี้ชาวยุทธคนไหนบ้างที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้” เซียนแพทย์ไร้ใจจ้องมองหนังสือบนโต๊ะอย่างเย็นชา วาจาแม้ฟังคล้ายห้ามปรามน้องของตน แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวพุ่งไปที่บัณฑิตไร้ร่องรอยโดยตรง

เอี้ยป้อฮู้สีหน้าแดงกล้ำ แต่มันยังฝืนกล้ำกลืนไว้เพราะทราบดีฝีมือของตนไม่สามารถตอแยกับเซียนแพทย์ตระกูลลิ้มได้

“ข้าย่อมไม่กล้าว่าหนังสือของท่านบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นเรื่องเหลวไหลแน่...ข้าแค่พูดตามท่านพ่อเท่านั้นแหละ” นางว่าพลางทำท่าทางประกอบเหมือนคนแก่ร่างอ้วนท้วน น้ำเสียงทุ้มใหญ่อยู่ในลำคอเลียนแบบประมุขบ้านตระกูลลิ้มบิดาของตน

“เฮ้ย!...หนังสือไร้สาระเขียนมาได้ยังไงใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้าว่าแต่ผู้อื่นน่าสงสัยแต่ข้าว่าเจ้านี่แหละน่าสงสัยที่สุด” นางแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จอมยุทธอี้ท่านช่างโชคร้ายจริงๆ เฮ้ย!”

เมื่อลิ้มเอ็งฮวยกล่าวจบแต่ละคนที่อยู่ภายในห้องถึงกับชะงักถ้อยคำลงโดยไม่ได้นัดหมาย แม้แต่ตัวนางเองก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อคิดได้ว่าตนได้กล่าวสิ่งที่ไม่ควรกล่าวอย่างยิ่งออกมา!

“ไม่ทราบว่าท่านลุงมาด้วยหลานต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปคารวะ” เต็งพู้ย้งหัวเราะเสียงใสดังกังวาน ล้อเลียนนางตอบ

เพียงประโยคเดียวของนางสามารถทำให้ความตึงเครียดในห้องสลายลงโดยพลัน!

ลิ้มเอ็งฮวยทำท่าลูบเคราใต้คางล้อเลียนบ้าง “ไม่ต้องเกรงใจๆ” แล้วยังไม่วายหันกลับไปแดกดันเอี้ยป้อฮู้อีกประโยคหนึ่ง “ความจริงท่านพ่อยังพูดมากกว่านี้อีกนะแต่ข้าน่ะไม่อยากจะบอกท่านหรอก”

เถ้าแก่ที่ออกไปต้มยาเดินกลับเข้ามาเช็ดโต๊ะต่ออีกแล้ว

ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก เป็นเสียงฝีเท้าของคนสองคน ไม่เพียงเสียงฝีเท้ายังมีเสียงผิวใบไม้ดังล่องลอยแผ่วเบา ท่วงทำนองในกระแสเสียงคล้ายคลึงอย่างแยกไม่ออกกับเสียงขลุ่ยโหยยะเยือกของปึงเพียวเซาะจนแทบจะเป็นท่วงทำนองเดียวกัน!

สามสตรีหนึ่งบุรุษในโรงเตี๊ยมทราบในทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร

ผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนี้เป็นสตรี...

สตรีที่นิยมผิวใบไม้ต้องมีไม่มาก ยิ่งท่วงทำนองเช่นนี้ยิ่งมีเพียงผู้เดียว!

เสียงผิวใบไม้หยุดลงเบื้องหน้าโรงเตี๊ยมพร้อมกับเสียงฝีเท้า ผู้มาเยือนทั้งสองจ้องมองรอยไม้เท้าของเต็งพู้ย้งที่ทิ้งรอยสม่ำเสมอบนพื้นหิมะ ปรากฏชัดรอยนั้นได้หายเข้าไปในโรงเตี๊ยมซอมซ่อ ทั้งคู่ยังยืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่มีวี่แววว่าจะเดินเข้ามาในร้าน

เอี้ยป้อฮู้แววตาเป็นประกาย แสดงอาการลิงโลดกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า ไม่ใส่ใจจะโต้เถียงกับลิ้มเอ็งฮวยอีกแล้ว สำหรับมันแล้วผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกยังน่าสนใจมากกว่าดรุณีเจ้าเล่ห์ผู้นี้หลายสิบเท่า “เถ้าแก่ดูเหมือนว่าวันนี้การค้าของท่านจะดีอย่างยิ่ง...”

“นอกจากข้าจะชมชอบที่จะทำนายโชคชะตาให้ผู้อื่น ในบางครั้งยังชอบที่จะเลี้ยงผู้อื่นอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่ทราบคุณหนูรองกับคุณหนูสามจะให้เกียรติ์ได้หรือไม่”

เสียงที่หากได้ยินครั้งหนึ่งจะต้องไม่มีบุรุษใดกล้าลืมเลือนตอบกลับจากด้านนอก “พี่พู้ย้งให้เกียรติ์เกินไปแล้ว เราพี่น้องยังต้องรีบเดินทาง น่าเสียดายที่ไม่อาจให้ท่านเลี้ยงได้” ผู้ได้ยินเสียงนี้ต้องคาดได้ว่าเจ้าของเสียงถึงไม่ใช่เทพธิดามาจุติ แต่อย่างน้อยต้องงดงามไม่แพ้โฉมงามอันดับหนึ่งแน่นอน!

เอี้ยป้อฮู้รีบแทรกขึ้น น้ำเสียงนุ่มนวลเอาอกเอาใจ “อากาศเยี่ยงนี้คุณหนูรองจะต้องรีบร้อนไปใย หมู่ตึกพันอักษรไม่เดินหนีไปไหนหรอก...”

“พี่พู้ย้งอุตส่าห์เชื้อเชิญแต่พวกเจ้ากลับไม่ให้เกียรติ์...คนของตระกูลเซี่ยงกัวคงคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถมากกว่าผู้อื่นสินะ” ลิ้มเอ็งฮวยทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิดท่าทีของเจ้าของเสียงที่อยู่ด้านนอกเป็นอย่างยิ่ง

คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน มิใช่คุณหนูรองแต่เป็นคุณหนูสาม...

เซี่ยงกัวบ่อซวงเดินเข้ามาในร้านเพียงคนเดียว

ทั้งอายุและรูปร่างของนางดูใกล้เคียงกับลิ้มเอ็งฮวย แต่รูปร่างหน้าตาแท้จริงของนางเป็นเช่นไรกลับไม่มีผู้ใดมองเห็น เพราะนางสวมชุดกันหนาวที่หนาอย่างยิ่งปกปิดร่างกายจนมิดชิด ยังมีผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ปิดหน้าตา เผยให้เห็นเพียงแววตาขมึงทึงดุดันทั้งคู่เท่านั้น

“แล้วอย่างเจ้ามีความสามารถใดกัน” นางยิ้มเยาะเย้ยหยัน “ข้านึกไม่ออกจริงๆว่า นอกจากวิชาหมาแมวแอบลอบทำร้ายผู้อื่นเจ้ายังจะสามารถทำสิ่งใดได้”

“ข้าไม่มีความสามารถอื่นจริงๆแต่แค่ทำให้เจ้าหยุดพูดข้าทำได้แน่นอน...”

ลิ้มเอ็งฮวยชักกระบี่ออกจากฝักข้างเอวอย่างรวดเร็ว คมกระบี่พริ้วไหวพุ่งตรงไปยังลำคอของเซี่ยงกัวบ่อซวง เซี่ยงกัวบ่อซวงเคลื่อนไหวตัวเล็กน้อยหลบคมกระบี่พร้อมใช้เพียงสองนิ้วคีบปลายกระบี่ไว้ นางดึงลำกระบี่อย่างรวดเร็วจนกระบี่หลุดจากมือลิ้มเอ็งฮวย พริบตานั้นคมกระบี่กลับไปจ่ออยู่ที่คอของลิ้มเอ็งฮวยแต่ผู้ที่ถือกระบี่กลับกลายเป็นเซี่ยงกัวบ่อซวง!

“ฝีมืออย่างเจ้ารอดมาถึงวันนี้ได้ยังไงนะ....เจ้าสำนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว”

ลิ้มเอ็งฮวยยังยิ้มแย้มไม่สะทกสะท้านมองปลายกระบี่ดั่งเป็นท่อนไม้ “คนที่ต้องสำนึกเสียใจเป็นเจ้าต่างหาก ฝีมือข้าน่ะสู้เจ้าไม่ได้แน่นอนเพราะคนอย่างข้าเก่งแต่วิชาหมาแมวแอบลอบทำร้ายผู้อื่นเท่านั้นแหละ”

เซี่ยงกัวบ่อซวงเริ่มรู้สึกตลอดทั้งร่างแข็งชาจนขยับไม่ได้กระบี่พลันหลุดจากมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง รอยยิ้มเยาะเย้นหายไปจนสิ้นใบหน้าซีดเผือด

“เจ้า!...พี่เม้งจู!...ข้า!...ข้า!”

ลิ้มเอ็งฮวยยิ้ม***มเกรียมอย่างเป็นต่อ “หรือเจ้าคิดว่าสามารถแย่งกระบี่จากข้าได้ง่ายขนาดนี้”

คุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูยังยืนสงบนิ่งอยู่ด้านนอกน้ำเสียงยังแจ่มใสเป็นปกติ “เรื่องล้อเล่นของเด็กๆแม่นางลิ้มคงไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง...”

ลิ้มปวยฮวยคล้ายไม่แม้แต่จะใช้หางตามองดรุณีที่ยืนแข็งทื่ออยู่ด้านข้าง นางเพียงแค่ขยับนิ้วมือแผ่วเบาสองครั้ง เกิดประกายสีเงินสามสี่สายพุ่งอย่างรวดเร็วไปที่ตัวเซี่ยงกัวบ่อซวง โดยที่นางไม่สามารถหลบหลีกได้แม้แต่น้อย

ร่างบอบบางในชุดกันหนาวทรุดฮวบลงคล้ายหลุดจากเครื่องพันธนาการ พยายามทรงกายลุกขึ้นยืน แววตาขมึงทึงจ้องลิ้มปวยฮวยกับลิ้มเอ็งอวยสลับกันไปมา

การลงมือใช้พิษและถอนพิษที่หมดจดเช่นนี้ แม้แต่เอี้ยป้อฮู้ยังอดกล่าวชมเชยไม่ได้ “ใช้พิษไร้รูปร่างขจัดพิษไร้ร่องรอย สมกับเป็นเซียนแพทย์ไร้ใจกับเซียนพิษไร้ตำหนิจริงๆ!”

ลิ้มปวยฮวยยังมีสีหน้าเฉยชา เชิดเสียงขึ้น “ฮึ...น้องเอ็งฮวยก็แค่ล้อคุณหนูสามเล่นเท่านั้น อย่างนางนอกจากความสามารถในการหลอกลวงผู้อื่นเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดถึงได้...”

แววเจ็บช้ำปรากฏชัดบนใบหน้าเซี่ยงกัวบ่อซวงดวงตาดุดันเอ่อล้นด้วยน้ำตา “ผ่านไปสิบปี...คนหนึ่งได้ฉายาเซียนแพทย์อีกคนเป็นเซียนพิษ ไม่มีผู้ใดที่เจ้ารักษาไม่ได้ ไม่มีพิษใดที่เจ้าไม่รู้จัก...ทำไม...ทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีความสามารถเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน”

นางน้ำตาคลอเดินออกไป ทิ้งให้ลิ้มปวยฮวยและลิ้มเอ็งฮวยนิ่งอึ้งกับคำตัดพ้อของนาง

เต็งพู้ย้งกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใยดุจพี่สาวไถ่ถามน้องของตน “ในเมื่อไม่อาจเลี้ยงสุรา แต่การทำนายของข้าใช้เวลาไม่มากนัก คุณหนูทั้งสองน่าจะพอให้เกียรติ์ได้”

น้ำเสียงของเซี่ยงกัวเม้งจูแฝงความเจ็บช้ำรันทดไม่ยิ่งหย่อนกว่าน้องของนาง “คำทำนายของซินแสลิขิตฟ้า แม้ไม่ถูกต้องทั้งสิบส่วนแต่อย่างน้อยยังแม่นยำถึงแปดส่วนข้าหรือจะไม่เชื่อถือ” น้ำเสียงยิ่งกล่าวยิ่งคล้ายคมกระบี่จงใจทิ่มแทงจิตใจผู้ฟัง

“หวังแต่ว่าเมื่อท่านคำนายแล้วไม่ว่าผลคำทำนายจะออกมาดีหรือร้ายอย่างไรขอให้บอกกับข้าตามความเป็นจริง...ไม่อ้ำๆอึ้งๆเหมือนเมื่อสิบปีก่อนก็พอแล้ว”

: เต็งพู้ย้งถึงกับอับจนถ้อยคำไปอีกคนสภาพไม่แตกต่างจากพี่น้องตระกูลลิ้ม

“เราพี่น้องคงต้องขอตัวก่อน...” สองพี่น้องตระกูลเซี่ยงกัวเดินจากไปแล้ว

สามสตรีหนึ่งบุรุษที่นั่งอยู่ภายในโรงเตี๊ยมต่างนิ่งเงียบหวนคิดถึงอดีตที่แต่ละคนพยายามจะลืมเลือนมาตลอดสิบปี

เต็งพู้ย้งได้แต่ฝืนยิ้ม กล่าวกับพี่น้องตระกูลลิ้ม “หลังเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษรนับเป็นเวลาสิบปีแล้วที่คนของตระกูลเซี่ยงกัวไม่เคยย่างก้าวเข้ามาในตงง้วนอีกเลย...

เอี้ยป้อฮู้ก็พึมพำขึ้นกับตนเองเบาๆ “นัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้จริงๆ”

เสียงฝีเท้าทั้งสองดังห่างออกไปทุกที...

ในที่สุดก็เงียบหายไปพร้อมกับหิมะที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย...
.........................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น: