วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พลังคำพูด



พลังคำพูด
๑ กล่าวทั่วไป
"ด้วยมนุษย์ พูดกัน ทุกวันนี้
ไม่มีที่ หยุดหน่วง เหมืองห้วงเหว
ไม่มีรส หมดเนื้อ เหลือแต่เปลว
พูดเหลวเหลว มีมาก ไม่อยากฟัง………….."
จาก "นิราศทวาราวดี"
เราเคยนับคำพูดประจำวันของเรากันบ้างหรือเปล่าว่า ในวันหนึ่ง ๆ เราพูดกันคนละประมาณที่คำ นายเอลเม่อร์ วิลเลอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้รวบรวมทำเป็นสถิติไว้ว่า โดยเกณฑ์เฉลี่ยแล้ว มนุษย์พูดกันคนละประมาณ ๓๐,๐๐๐ คำต่อวันถ้าเรานำคำพูดประจำวันเหล่านี้มาพิมพ์เป็นหนังสือ เราจะได้หนังสือเล่มย่อม ๆ วันละเล่ม
ถ้าถ้อยคำในหนังสอเต็มไปด้วยถ้อยคำประเภท "พูดแต่ดี" ผู้อ่านก็จะอ่านด้วยความรู้สึกที่ติดอกติดใจ เลื่อมใสศรัทธาหรือเชื่อถือปฏิบัติตาม หากในหนังสือมีแต่ถ้อยคำประเภท "ดีแต่พูด" ปราศจากสาระประโยชน์ ก็จะไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้อ่านคนใดเลยสักคนเดียว
อันที่จริง อย่าถามเลยว่ามนุษย์เรานี้เคยนับคำพูดประจำวันของตัวเองบ้างหรือเปล่า ในวันหนึ่ง ๆ เกือบจะวาไม่มีใครสนใจคำพูดประจำวันเหล่านั้นได้ให้คุณให้โทษแก่เขาเพียงใดเสียด้วยซ้ำไปด้วยเหตุมนุษย์ละเลยการประเมินผลคำพูดของตนเองนี่เอง คำกล่าวในนิราศทวาราวดีดังกล่าวไว้ข้างต้น จึงเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบันนี้
คำพูดเป็นสิ่งที่มีรสชาดเรียกว่า "รสน้ำคำ" ดังสุนทรภู่กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งว่า
ถึงบางพูด พูดดี เป็นศรีศักดิ์
มีคนรัก รสถ้อย อร่อยจิต………..
ข้อความที่ว่า "มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต" เป็นความหมายที่เด่นชัดว่าคำพูดมี "รสชาติ" ซึ่งเป็นอาหารของจิตใจที่ผ่านเข้ามาทางประสาทหู
คำพูดเป็นเครื่องปรุงการพูดให้เกิดความเรืองรอง มีชีวิตชีวา
คำพูดเมือหลุดออกจากปาก จะพุ่งเข้าสู้หูผู้ฟังทันที ไม่มีอะไรมายับยั้งได้ เราไม่สามารถสั่งให้คำพูดหยุด เหมือนหอบังคับการบินสั่งให้เครื่องบินหยุดบิน เราไม่สามารถยิงคำพูดให้ตกลงมาเหมือนการยิงนก
ทันทีที่คำพูดพุ่งเข้าสู่หูผู้ฟัง ก็จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ถ้าไม่เป็นการสร้างมิตรก็ต้องก่อศัตรู คำพูดดังกล่าวจะเข้าไปเสียดแทงหัวใจ ที่มาตำมันสมอง และแล้วอาจจะประทับความรู้สึกที่ดี หรือไม่ก็ฝังความรู้สึกที่เลว ๆ ไว้ในสมองของฟังอย่างหนึ่งอย่างใดเสมอ
คำพูดเป็นทั้งยาบำรุงจิตใจให้เกิดพลังเข้มแข็ง มานะ อดทน หรือตรงกันข้าม อาจทำให้ท้อถอยหมดกำลังใจ หรือเสียผู้เสียคนไปเลยก็มี
ไม่เพียงแต่หินหรือเหล็กเท่านั้นที่สามารถทุบกระดูดให้แตกได้ คำพูดก็มีทางทำได้เช่น กัน คำพูดที่เกิดจากการขาดความระมัดระวัง ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฟังเจ็บปวดเท่านั้น มันยังสามารถทำความพินาศย่อยยับแก่ผู้พูดมามากต่อมาก
นักการพูดตระหนักเสมอว่า การพูดก่อนคิดเป็นจุดที่ "อ่อนแอที่สุด" การปล่อยคำพูดออกไปโดยปราศจากความยั้งคิดเพียงเสี่ยววินาทีเดียว แม้จะใช้เวลาเป็นปี ๆ ก็ไม่สามารถถอนคำพูดคืนหรือลบมันทั้งได้ มิตรภาพที่พยายามสร้างขึ้นมาด้วยเวลานานนับปี เพียงเอ่ยคำรุนแรงคำเดียวความเป็นมิตรก็ขาดสะบั้นลงในฉับพลัน
คำพูดมิได้มีฤทธิ์เดชเพียงพุ่งเข้าสู้หูผู้ที่เรากล่าวถึงโดยตรงเท่านั้นมันสามารถเล่นผ่านจากหูผู้หนึ่งไปยังหูของอีกผู้หนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือพูดที่กล่าวกับคน ๆ หนึ่ง แล้วถูกถ่ายทอดไปยังอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะแผลงฤทธิ์หนักข้อขึ้นอีกหลายเท่า
การใช้คำพูดที่ไร้สาระก็ดี การสร้างข่าวลือก็ดี การซุบซิบนินทาก็ดี การกล่าวถึงความประพฤติของผู้อื่นก็ดี เปรียบได้กับการเติมยาพิษลงในคำพูด และมักจะเกิดอันตรายมากกว่าความปลอดภัยรอเบิร์ต บัตเลอร์ ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า "ถ้าเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และเซ็นชื่อกำกับรับรองไม่ได้ ก็อย่าพูดถึงมันเสียเลย……….."
รัฐบุรุษ และสตรีสำคัญ ๆ ของโลก เช่น อับราฮ์ม ลินคอล์ม วินสตัน เชอร์ชิลล์ นางโกลดาร์แมร์ อินทิรา คานธี หรือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แห่งประเทศไทย หาได้เป็นนักพูดมาแต่ เกิดไม่
ทำไมบุคคลสำคัญเหล่านี้ เวลากล่าวสุนทรพจน์ จึงเป็นที่จับอกจับใจลึกซึ่งแหลมคม ประทับใจ น่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง จนกลายเป็นสุนทรพจน์อมตะที่กล่าวขวัญกันอยู่จนถึงปัจจุบัน
คำตอบคือ
การศึกษาวิธีพูด ประสบการณ์ และการฝึกฝนนั้นเอง
คำพูดเกิดจากการศึกษาวิธีพูด และประสบการณ์และการฝึกฝน เป็นคำพูดประเภท มีพลัง
คำพูดเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด ในการกระตุ้นให้ผู้อื่นกระทำ
ในการพูดทุกครั้ง โปรดจำไว้ว่า "จงให้คำพูดเหมาะกับการกระทำ"
จงพูดพร้อมกับทำ เพื่อให้ตาและหูของผู้ฟังทำงานพร้อมกัน
จงเพาะแนวความคิดลงในสมองของผู้ฟัง จนผู้ฟังเชื่อว่าเป็นความคิดของเขาเอง
ขอให้เรามาปรับปรุงถ้อยคำให้มีพลังกันเถิด และถ้อยคำที่มีพลังจะปรับปรุงการพูดของเราให้ทรงพลังยิ่งขึ้นไป

๒ ปัจจัยการเพิ่มพลังคำพูด
ก. อิทธิพลของคำสรรพนาม
โดยทั่วไป คนเรามักมองไม่เห็นความสำคัญ มองข้าม หรือไม่ก็นึกไม่ถึงว่าคำ "สรรพนาม" ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะใช้แทนคำนามแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์ประการใดอีก อย่างดีหน่อยคนที่พิถีพิถันก็รู้จักใช้สรรพนามได้ถูกต้องกับกฏไวยากรณ์ สุภาพ และเหมาะสมกับกาลเวลาหรือโอกาสเท่านั้นหากมองทางด้านจิตวิทยา และพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จะเห็นว่าคำ "สรรพนาม" มีอิทธิพลต่อจิตใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่รู้จักใช้คำ "สรรพนาม" ในระหว่างการพูดจะช่วยให้การพูด มีพลัง ขึ้นอย่างน่าประหลาด คำว่า ……
ท่าน………… เป็นคำทรงพลังที่สุดในทุกภาษา
เรา…………… เป็นคำทรงพลังที่ถัดลงมา
ฉัน……………. เป็นคำที่เล็กที่สุดและอ่อนที่สุดในภาษามนุษย์
ท่านและเรา…... ใช้ด้วยกัน ผสมกลมกลืนกันยิ่งนัก
ท่านและเรา……ใช้ด้วยกัน จะทรงพลังเสียยิ่งกว่าใช้อย่างเดียว
คนทั่วไปมักมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ในวงการทูตถือว่าเป็น “ เรื่องเล็ก “ “อาจก่อให้เกิด “เรื่องใหญ่ที่เสียหาย “ หรือเรื่องเล็กนั่นแหละอาจนำมาซึ่ง “ เรื่องใหญ่โตที่เป็นความก้าวหน้าของโลก อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ………. “
เวลาที่ทุกคนพูด “ มักชอบฉุดตัวเองออกจากความเป็นกันเองของผู้อื่นเสมอ โดยไม่รู้ตัว มิใช่สิ่งอื่นใด ทั้งนี้เพราะความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้ สรรพนาม นั่นที่เดียว
การพูดของผู้ว่าราชการจังหวัดของไทยเราท่านหนึ่ง กล่าวในวันไปรับตำแหน่งใหม่ในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ต่อหน้าราชการและประชาชน ณ ศาลาประชาคมของจังหวัด ซึ่งตลอดเวลาของการพูด มีคำว่า "ข้าพเจ้า" มากมายถึง ๔๔ ครั้ง เกือบจะไม่มีคำว่า "ท่าน กับ เรา หรือ พวกเรา เสียเลย
ในที่สุด ผู้ว่าราชการท่านนี้ก็อยู่ที่จังหวัดนั้นได้ไม่นานก็ต้องย้ายไปที่อื่น คงอาจเป็นเพราะว่า ข้าราชการและประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ เพราะข้าราชการและประชาชนคงจะมีความหมั่นไส้ท่านเก่งแต่เพียงคนเดียว คนอื่นไม่มีความหมาย เพราะคำว่า "ข้าพเจ้า" ของท่าน ฟังดูแล้วช่างใหญ่โตวางก้าม เก่งกาจ แต่งเพียงผู้เดียว
ในคำพูด "สุนทรพจน์" ของท่านอับราฮัม สินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้กล่าวที่สมรภูมิ เกตติสเบิร์ก มีผลทำให้สงครามกลางเมืองยุติลงภายในเวลาไม่ถึง ๔ นาที (โดยประมาณ) หากมีโอกาสได้อ่านสุนทรพจน์ของท่านแล้ว จะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีจิตวิทยาในการใช้คำ สรรพนาม อย่างมีประสิทธิ์ภาพ คือมีคำว่า เรา และ ของเรา ๑๐ ครั้ง คำว่า ท่าน และพวกท่าน ๗ ครั้งส่วนคำว่า ข้าพเจ้า มีเพียงครั้งเดียวและแสดงออกมาในลักษณะที่ผู้ฟังเห็นว่าไม่ได้สำคัญหรือใหญ่โตอะไรเลย
เวลาเราใช้คำว่า "เรา" "ของเรา" ฟังดูช่างเป็นสำเนียงที่ไพเราะซาบซึ้งและมีเสน่ห์ เพราะมีความหมายว่า ทุกคนอยู่ในความเอาใจใส่จากเราอย่างแน่นแฟ้น ช่างชุ่มชื่นสนิทสนมกลมเกลียวอย่างธรรมชาติ มีผลบันดาลให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้พูดเสมอ เช่นเวลาเราพูดกับภรรยาที่บ้านว่า "นี่บ้านฉัน…….รถยนต์ของฉัน…….." ภรรยาของเราจะรู้สึกต่อคำพูดอย่างหนึ่ง แต่ถ้ากล่าวว่า "นี่บ้านของเรา ……รถยนต์ของเรา" หล่อนย่อมเกิดความรู้สึกอึกอย่างหนึ่งแน่นอน
การรู้จัดใช้คำว่า "เรา พวกเรา ของเรา" จะทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับผู้พูด แล้วทุกคนก็จะต่อสู้เพื่อเรา หรือพวกเรา การรู้จักใช้คำว่า ท่าน เรา พวกเรา ของเรา" อย่างเข้าใจในความหมายทางจิตวิทยา จะได้รับความร่วมมือร่วมใจมากกว่ารู้จักใช้แต่เพียงคำว่า "ข้าพเจ้า ผม หรือ ฉัน" เพียงคำเดียว และหากจำเป็นจะต้องใช้ก็ขอให้เป็นไปในลักษณะที่มีความหายหรือความสำคัญน้อยที่สุด
ข. ถ้อยคำมนต์ขลัง
ถ้อยคำมนต์ขลัง หมายถึงถ้อยคำประเภท "เสมอแนะให้เชื่อตาม" หรือ "ทึกทักให้เชื่อตาม" แบ่งออกเป็น ๒ แบบคือ ๑) แบบฉายสปอร์ตไลท์ไปที่ดอกกุหลาบ ปล่อยให้หนามกุหลาบอยู่ในความมืด
๒) แบบระหว่างบางอย่างกับบางอย่างไม่ใช่ระหว่างบางอย่าง กับไม่มีอะไรสักอย่าง
๑) แบบฉายสปอร์ตไลท์ไปที่ดอกกุหลาบ เช่น "คุณพูดไม่เข้าใจ" เป็นคำพูดธรรมดา แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น "ผมฟังไม่เข้าใจ" จะกลายเป็นถ้อยคำที่มีพลังไปทันที หรือประโยค ที่ว่า "คุณทำงานผิดพลาดมาก" ผู้ฟังย่อมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ถ้ากล่าวเสียใหม่ว่า "งานสำคัญ ๆ อย่างนี้ใคร ๆ ก็ทำผิดพลาดได้แม้แต่ผมเองก็เคยทำผิดมาก่อน…….." จะเป็นคำกล่าวที่สะกดผู้ฟังได้มากกว่าเป็นต้น
๒) แบบระหว่างบางอย่างกับบางอย่าง แบบนี้เป็นที่ผู้พูดต้องเน้นให้อีกฝ่ายหนึ่งเลือกตกลงใจที่จะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งนามที่พูดต้องการไม่ใช่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเลือกคำตอบที่ผิดความมุ่งประสงค์ของตน ตัวอย่าง เช่น "คืนนี้เราไปเที่ยวนอกบ้านกันดีไหม…….." เป็นคำพูดธรรมดา การชวนอาจไม่มีผล แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นว่า "คืนนี้เราจะไปดูหนัง หรือ เต้นรำ กันดี….." เราก็จะได้รับคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ดูหนังก็เต้นรำ ซึ่งความต้องการของผู้พูดก็คือ อะไรก็ได้ ขอให้ได้ออกนอกบ้านก็แล้วกัน
หรือการนัดหมายกัน เช่น
"ผมมีธุระสำคัญจะปรึกษา คุณสมชายจะให้ผมพบได้เมื่อไร ……….." อย่างนี้กว่าจะได้พบยาก หรืออาจจะไม่ได้พบเลยก็ได้
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นถ้อยคำ "มนต์ขลัง" ว่า……….
คุณสมชายครับ ผมมีธุระสำคัญจะปรึกษา จะให้ผมมาพบเวลาก่อนเที่ยงหรือ ตอนบ่ายครับ" ไม่ว่าคุณสมชายจะเลือกเวลาใด ก็สมปรารถนาของเราเสมอคือได้พบแน่ เป็นต้น
ถ้อยคำมนต์ขลัง ส่งกระแสให้เกิดปฏิกิริยาต่ออารมณ์
ถ้อยคำมนต์ขลัง ทำให้กระดูกสันหลังเสียววูบ หัวใจเต้นแรง เราจะไม่มีวันขาดทุนจากการใช้ถ้อยคำมนต์ขลัง
การใช้ถ้อยคำมนต์ขลังที่ดี ควรเกิดจากความจริงใจ ไม่ใช่การเสแสร้ง
ค. การสกดด้วยเสียง
เสียงสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้
เสียงย่อมบอกอารมณ์ผู้พูดได้เสมอ
เสียงสามารถสะกดผู้ฟังได้
ในการพูด ผู้ฟังจะวินิจฉัยถ้อยคำ และนำเสียงมากกว่าลักษณะอาการอื่น ๆ
๙ ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ของความกระทบกระทั่งบ่ดหมางมีสาเหตุมาจากเสียงเป็นส่วนใหญ่
เสียงแม้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็สามารถปรับปรุงให้เหมาะสมได้
การรู้จักใช้เสียง นอกจากจะเพิ่มเสน่ห์แก่ผู้พูดแล้ว ยัง ยังช่วยให้คำพูดมีพลังอีกด้วย
คำว่า "ไม่ได้" ของสตรี อาจจะหมายถึง "ได้" ก็ได้สุดแล้วแต่เสียงที่เปล่งออกมา
เวลาเราเรียกสุนัขด้วยเสียงดุดันว่า "มานี่ มันอาจจะวิ่งหนี แต่ถ้าพูดว่า "ออกไป" ด้วยเสียงเรียบ ๆ มันก็จะเดินเข้ามาหาเราก็ได้
คำ "ขอบคุณ" ด้วยน้ำเสียงที่ต่างกัน ย่อมมีความหมายไม่เหมือนกัน
ถ้าตำรวจจราจรกล่าวกับผู้ทำผิดกฎจราจรด้วยเสียงห้วน ๆ ว่า "ขอดูใบอนุญาตซิ………" อาจมีการโต้เถียงหรือท้าทายกันอย่างรุนแรง แต่ถ้ากล่าวเสียใหม่ด้วยเสียงสุภาพว่า "ขอโทษ ท่านคงเผลอทำผิดกฎจราจรไปกระมัง ขอดูใบอนุญาตหน่อยนะครับ ………." แม้ว่าผู้ทำผิดกฎจราจรจะต้องเสียค่าปรับไปบ้าง ก็ไม่มีความรู้สึกเสียดาย เป็นต้น
เสียงประเภทกระแทกแดกดัน ห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ เป็นเสียงประเภทไม่มีราคาต่างงวด
เสียงอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ สามารถสะกดผู้ฟังได้เสมอ (ยกเว้นผู้ร้ายสำคัญในกรณีพิเศษ)
"สิ่งที่สำคัญกว่าคำพูดที่เราใช้ ก็คือวิธีที่เราใช้ "นี่คือความหมายของการใช้เสียงในการพูดถ้อยคำ ……….ถ่ายทอดความคิด แต่ น้ำเสียง………..ถ่ายทอดอารมณ์
อย่าลืมว่า……..เสียงเป็นเครื่องโฆษณาบุคลิกภาพ
จงทำเสียงให้ประทับใจในเวลาพูด
ง. คำพูดทำให้เกิดภาพ
เหตุใดโทรทัศน์จึงน่าสนใจกว่าวิทยุ ภาพยนต์ดึงดูดใจมากกว่าจานเสียง ทำไมห้องเรียนจึงต้องมีกระดานดำ……….
สุภาษิตจีนกล่าวว่า "ภาพภาพเดียว มีค่ายิ่งกว่าคำพูด ๑,๐๐๐ คำ
เวลาเราพูด ทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพได้ไหม ? เพราะการพูดที่เป็นภาพช่วยให้แนะความคิดของผู้พูดพุ่งเข้าสู่จิตใจของผู้ฟังได้อย่างรวดเร็ว
คำพูดที่เกิดภาพ คือคำพูดที่มีพลัง ยิ่งถ้าทำให้เป็นภาพระบายสีได้ด้วย ก็จะเป็นที่ประทับใจได้ทากขึ้นทีเดียว
คำพูดที่ทำให้เกิดภาพ มักจะเต็มไปด้วย "ตัวอย่างเช่น ………" เสมอ
ถ้ามีใครสักคนบอกเราว่า ที่ตลาดบางสำภูมีร้านขายหมูสะเต๊ะ อยู่ร้านหนึ่ง อร่อยมากเราจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะเราต่างก็เคยกินหมู่สะเต๊ะกันมานากแล้ว รสชาติก็เหมือน ๆ กัน
แต่ถ้าพูดให้เกิดภาพว่า "ที่ตลาดบางลำภู มีร้านขายหมูสะเต๊ะอยู่ร้านหนึ่ง อร่อยมากเวลาปิ้งมันจะหยดลงถูกถ่านเสียงดัง ฉ่า ….ฉ่า…….." ผู้ฟังจะรู้สึกน้ำลายสอและอยากกินขึ้นมาทันทีทันใด
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์รัฐบุรุษหนึ่งของไทย เป็นนักการทหารที่มีศิลปในการใช้ถ้อยคำที่มีพลังแบบ พูดให้เกิดภาพได้ดีคนหนึ่ง การปราศรัยของท่านไม่ว่าครั้งใด มักจะเป็นที่ประทับใจผู้ฟังเสมอ ตัวอย่าง เช่น………
คำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔ เมื่อ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ มีข้อความว่า………
"การแทรกแซงตัวของคอมมิวนิสต์มีอยู่ทุกกรแส ในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อและแผนการที่ฉลาดหลายอย่าง ทุ่มเทเงินทองเป็นจำนวนมหาศาล ดำเนินการทั้งทางลับและเปิกเผย ทำความพยายามทุกวิถีทางที่จะให้เกิดความเสื่อมโทรม ระส่ำระสายในประเทศ ขุดโค่นราชบัลลังก์ ล้มล้างพระพุทธศาสนา และทำลายสถาบันทุกอย่างที่ชาติไทยได้ผดุงรักษามาด้วยความเสียสละอย่างยิ่งยวด……เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นแผลร้ายพิษแรง สำหรับประเทศชาติ ไม่มีทางบำบัดด้วยวิธีปลีกย่อยแต่ละเรื่อง แต่ละรายไม่สามารถจะแก้ไข้ด้วยวิถีทางเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนตัวตนหรือเพียงแต่แก้ระบบบางอย่าง ซึ่งเปรียบประดุจโรคร้ายที่ ไม่มีทางรักษาด้วยยากันยาทา จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดถึงขั้นศัลยกรรม และเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาโรคร้ายดังกล่าว………"
เกือบจะทุกถ้อยคำในประโยคการพูด ผู้ฟังมองเห้นภาพชัดเจนและเห็นจริงเห็นจังไปด้วยล้วนเป็นคำพูดที่มีพลังและปลุกเร้าให้ตื่นตัว ลุกขึ้นต่อสู้โดยร่วมมือกับรัฐบาล
หากสนใจการพูดของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะเห็นว่า ไม่ว่าในการกล่าวคำปราศรัย การแสดงสุนทรพจน์ หรือการแถลงผลงาน ให้ท่านลองไปอ่านดู ก็จะเห็นด้วยกับคำพูดของท่านทุกครั้ง
จ. การกระตุ้นด้วยคำถาม
การกระตุ้นด้วยคำถามเป็นศิลปอย่างหนึ่งในการเพิ่มพลังคำพูด
การกระตุ้นด้วยคำถามช่วยให้ความคิดของผู้พูดพุ่งเข้าสู่จิตใจผุ้ฟังได้อยางมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
การกระตุ้นด้วยคำถาม ขจัดปฏิกิริยา หรือความคิดที่ไม่เห็นด้วยของผู้ฟังได้อย่างชัด
การกระตุ้นด้วยคำถามช่วยประหยัดถ้อยคำและเวลาในการพุด
การกระตุ้นด้วยคำถาม ทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเหมือนว่า เขากำลังพูดอยู่กับตัวของเขาเอง และกำลังคิดตอบปัญหาของตัวเอง ถึงแม้ผู้ฟังจะนึกได้ว่าเป็นการพูดของผู้พูด ก็มีความรู้สึกเหมือนว่า เขากำลังได้รับการขอร้องมากกว่าการบังคับ
แพตทริค เฮนรี สมาชิกรัฐสภาเวอร์บิเนียร์ (เมืองขึ้นของอังกฤษสมัยนั้น) เขาต่อสู้เพื่อให้รับเวอร์ยิเนียร์มีอิสรภาพ ด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ในรัฐสภา หากการกล่าวของเขาไม่ได้รับความร่วมมือจากสมาชิกรัฐสภา เขาจะต้องถูกแขวนคคอเพราะเป็นกบถต่ออังกฤษแต่กลับประสบความสำเร็จด้วยการพูดที่เต็มไปด้วยคำถามตลอดการพูด เขากล่าวว่า………. "พี่น้องของเรา ต่างอยู่ในสนามรบทำไม เราจึงอยู่ที่นี่กันอย่างงอมืองอตีน…..เราจะนอนคอยกันอย่างเกียจค้าน เช่นนี้หรือ?……..ชีวิตต้องเป็นที่รักหวงแหน มีเสรีภาพเป็นที่ชื่นใจไหม?…….เมื่ออยู่ในฐานะจองจำและเป็นทาสอย่างนี้ ?……. จองจำหรือเป็นทาส หรือจะสู้อังกฤษดี?………..ในที่สุดสมาชิกรัฐสภาเห็นด้วยกับเขารัฐเวอร์ยิเนียร์จึงได้รับการปล่อยให้มีอิสรภาพ
แม้ในการชักชวนให้มีการเดินขบวน ก็มีเคล็ดลับหรือวิธีการแห่งประเด็นนี้ด้วย นักเดินขบวนทั้งหลายจึงประสบความสำเร็จเสมอ หากไม่สามารถจะพูดให้คนอื่นเห็นด้วยกับแนวความคิดของเราด้วยวิธีพูดธรรมดา แล้ว ให้ลองใช้วิธีกระตุ้น ปลุกเร้าด้วยคำถามดูบ้าง อาจจะพบกับความง่ายดายอย่างไม่คาดฝันก็ได้
ฉ. คำพูดแบบเพื่อนเก่า
วิลรอเยอร์ กล่าวว่า "ผมรักถ้อยคำ แต่ผมไม่ชอบถ้อยคำแปลก ๆ เพราะเราไม่เข้าใจมันและมันไม่เข้าใจเรา………ผมชอบถ้อยคำแบบเพื่อนเก่าที่พอเห็นหน้าแพล้บเดียวก็จำได้……….."
เวลาพูด จงใช้ถ้อยคำง่าย ๆ ธรรมดา ๆ แบบเพื่อนเก่า พอได้ยินปุ๊บก็เข้าใจปั๊บบางคนดัดใช้คำยาก ๆ สูง ๆ เพื่อต้องการจะอวดภูมิว่า ตัวเองเป็นผู้มีภูมิปัญญาสูงมากกว่าที่จะพูดเพื่อความเข้าใจคนพวกนี้แปลก ยิ่งพูดให้คนเข้าใจยากได้เท่าไดรู้สึกว่า เป็นความภาคภูมิใจยิ่งนัก หารู้ไม่ว่า นั่นเขากำลังพูดอยู่กับป่าช้า ต่อให้เขาพูดไปจนกระทั่งขากรรไกรหัก หรือจนกว่าแก้วหูของผู้ฟังแตก ก็หาได้ทำให้การพูดนั้นบรรลุความสำเร็จได้ไม่ รังแต่จะสร้างความรำคาญ อึดอัด แก่ผู้ฟังมากกว่า
คำว่า "ฉันรักเธอ" ไม่ว่าจะไปพูดกับใครที่ไหน พอได้ยินปุ๊บก็เข้าใจปั๊บเพราะเป็นคำพุดแบบเพื่อนเก่าที่คุ้นหน้ากัน พอเห็นหน้าแปล๊บเดียวก็จำได้
แต่ถ้าดัดพูดว่า "เธอเขย่าธรรมชาติอารมณ์เสน่ห์ของฉันให้หวั่นไหว …….." ฟังเข้าใจก็ยากหรือไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สำหรับผู้ฟังที่อยู่ห่างไกลกลิ่นไอแห่งความเจริญขั้นนี้…………
การใช้ถ้อยคำสูงๆ ไม่ได้ช่วยให้เกิดความเข้าใจ ชนะใจ หรือจูงใจผู้ฟังได้เลยถ้อยคำง่าย ๆ ที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันต่างหากที่สามารถมองเห็นภาพได้ถนัดชัดเจนกว่าและเข้าใจได้ง่ายกว่าเป็นไหน ๆ
นักวิชาการบางคนเวลาพูด ชอบใช้ศัพท์ทางวิชาการพร่ำเพรื่อไม่เลือกว่าที่ใดควรหรือไม่ควรพูด ผู้ฟังจำนวนมากเบื่อหน่าย เอือมระอาต่อการฟัง เช่นนี้มามากต่อมาก อย่าง เช่น……
"การบรรยายวันนี้ เป็นการบรรยายเรื่องการอนุรักษ์ป่า บริรักษกรได้เผยผึ่งถึงพิชานอันเป็นอนันตริภาพให้เห็นถึงหิตาตุหิตประโยชน์………." เป็นต้น ซึ่งในการใช้ถ้อยคำในการพุดอย่างนี้จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ และมีศรัทธาที่จะฟังเพราะจะต้องมาแปลไทยเป็นไทยกันอีกขั้นหนึ่งไป

๓ สรุป
ในบรรดาคำพูด วันละ ๓๐,๐๐๐ คำ ต่อวันของเรา เราแน่ใจหรือยังว่าเป็นคำพูดประเภท "พูดแต่ดี" ไม่ใช่ "ดีแต่พูด" คำพูดประเภท "พูดแต่ดี" ล้วนเป็นคำพูดที่มีพลัง
ก่อนที่จะพูดจงคิดเสียก่อนว่า เป็นยาพิษหรือน้ำผึ้ง คำพูดหากจะเปรียบเสมือนแสงแดดถ้าเราสามารถทำให้แสงมารวมกันได้มากเท่าใด ก็ยิ่งจะมีพลังเผาไหม้มากขึ้นเพียงนั้น
"ศิลปทั้งผอง ต้องฝึกหัด ตามบรรทัดฐานเห็นเป็นปฐม
วาทศิลป์เลิศล้ำคำนิยม คมเหมือนคมอาวุธใดในปถพี
ครูอาจารย์การพูดพิสูจน์แล้ว อันดวงแก้วแจ่มจำรัสรัศมี
ถึงแรกมัวสลัวค่าเหมือนราคี เช็ดขัดดีขึ้นมาจึงน่ายล"

*********************

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ความเป็นมาของปัญหา

ผมทราบมาว่าการต่อต้านสยามของรัฐปัตตานีในครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๓๗๔...ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น..

แต่เรื่องที่น่าคิดเกิดขึ้นตรงนี้.....

รัชการที่ ๕ ได้เริ่มจัดระเบียบการบริหารขึ้นใหม่ตามระบบเทศาภิบาล ยกเลิกระบบการปกครองแบบหัวเมือง ดังนั้นจากเจ้าเมืองที่ปกครองกันเองเก็บภาษีกันเองแล้วส่งส่วยให้สยาม ๓ ปีต่อครั้ง..กลายเป็นระบบผู้ว่าราชการจังหวัด (แต่สมัยนั้นเขาเรียกว่าข้าหลวงเทศาภิบาล) รับเงินเดือนจากทางการสยาม เจ้าเมืองปัตตานีไม่ค่อยแฮปปี้ รู้สึกว่าตนเองเสียอำนาจไปมาก ตอนนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นมาพอสมควร รัชการที่ ๕ ก็ให้เจ้าพระยาดำรงราชานุภาพมากำกับดูแล

ผมก็สงสัยว่า......แล้วทำไมรัชการที่ ๕ ต้องเปลี่ยนระบบด้วยเล่า.. หรือว่าท่านอยากมีอำนาจ....พวกผมก็เดาเอานะว่ายุคนั้นอังกฤษ กับฝรั่งเศส เข้ามาล่าอาณานิคม..เราต้องทำให้เขาเห็นว่าสยามเราเป็นรัฐเดียว...คุณจะมาแบ่งไม่ได้...ซึ่งยุคนั้นมันก็มีเจ้าเมืองซึ่งเคยส่งส่วยให้บางคนเลือกที่จะอยู่กับอังกฤษหรือฝรั่งเศส

7 เดือนแห่งความพยายามยื้อชีวิตครูจูหลิง




วันนี้ไม่มีครูจูหลิง ที่กูจิงลือปะ...!?!

โดย คม ชัด ลึก วัน พุธ ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2550 13:16 น.
7 เดือนแห่งความพยายามยื้อชีวิตจบลงด้วยชีวิต การเดินทางอันแสนยาวนานของผู้หญิงตัวเล็กๆ จากเชียงรายสู่ปลายทางแห่งฝันสิ้นสุดลงพร้อมกัน วันนี้ที่กูจิงลือปะไม่มีครูจุ้ย "จูหลิง ปงกันมูล" อีกต่อไป

เพื่อสานฝันให้เป็นจริง ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จึงบากบั่นจากบ้านเกิดเมืองนอน จากจังหวัดเหนือสุดแดนสยาม มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่แตกต่างทั้งขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม

ปี 2546 ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อ "จูหลิง ปงกันมูล" หรือที่พ่อแม่ญาติพี่น้อง ทั้งผองเพื่อนเรียกติดปากว่า "จุ้ย" จบการศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์งานศิลปะมาพอสมควร ก่อนจะเก็บกระเป๋าเดินทางไกลจากเชียงรายไปนราธิวาส รับจ้างวาดภาพตามโบสถ์วัดต่างๆ นำเงินที่ได้ส่งกลับให้พ่อและแม่

2 ปีให้หลัง จุ้ย ก็มีคำนำหน้าชื่อให้ใครต่อใครในนราธิวาสเรียกขานว่า "ครูจุ้ย" หรือ "ครูจูหลิง" แทนที่จะเรียกว่า จุ้ย เฉยๆ เหมือนอย่างเคย เมื่อสอบเข้าบรรจุเป็นครูที่ ร.ร.กูจิงลือปะ หมู่ 4 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

ด้วยความเป็นคนมีอุปนิสัยร่าเริง เป็นกันเอง เธอจึงเป็นที่รักใคร่ชอบพอของเด็กๆ เพื่อนครู และชาวบ้านกูจิงลือปะ แต่เหมือนฟ้าจะลิขิตชีวิตเธอมาเพียงแค่นี้ เมื่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ลุกลามนำภัยมาสู่ตัวเธออย่างไม่รู้ตัว

เที่ยงวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ครูจุ้ย พร้อมด้วยเพื่อนครู ร.ร.กูจิงลือปะ อีกหลายคน ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวที่หน้าโรงเรียน จู่ๆ ก็มีเสียงประกาศตามสายเป็นภาษามลายู เพื่อนครูมุสลิมฟังแล้วถึงกับตกใจ แปลได้ใจความว่า ให้ชาวบ้านรวมตัวกันจับครูไทยพุทธเป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับอิสรภาพของ "อับดุลการิม มาแต" กับ "มูหะหมัดสะแปอิง มือรี" 2 ผู้ต้องหาทำร้าย 2 นาวิกโยธินถึงแก่ความตาย

เหตุการณ์ร้ายแรงเกินกว่าที่ใครๆ จะคาดคิดไปถึง เมื่อชาวบ้านกว่า 300 คน กรูเข้าจับตัว ครูจูหลิง กับ น.ส.ศิรินาถ ถาวรสุข สองครูไทยพุทธ ถูลู่ถูกังไปตามถนนตรงไปยังห้องเก็บของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านกูจิงลือปะ ห่างจากโรงเรียนไป 400 เมตร ระหว่างทางทั้งสองถูกตบตีทำร้ายร่างกายต่างๆ นานา

ในห้องที่ปิดล็อกและมืดมิด ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งสวมหมวกไหมพรม ตรงเข้าใช้ไม้กระหน่ำตีสองครูอย่างทารุณ สติสัมปชัญญะครั้งสุดท้ายของครูจูหลิงจบสิ้นลงตรงจุดนี้ !!!

แต่กว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือ นำร่างอันสะบักสะบอมของครูจูหลิงและครูศิรินาถ ออกจากจุดเกิดเหตุส่งโรงพยาบาลก็ต้องเสียเวลาอยู่นาน กว่าจะฝ่าอุปสรรคขวากหนามที่ชาวบ้านทำไว้ ทั้งโรยตะปูเรือใบ ตัดต้นไม้ปิดทางเข้า-ออก อาการของสองครูก็เข้าขั้นโคม่า กว่าจะไปถึง รพ.สงขลานครินทร์ ก็ปาเข้าไปตี 3 ของอีกวัน

ครูจูหลิง โชคร้ายกว่าเพื่อน เธอไม่ได้สติเลยนับตั้งแต่ถูกทำร้าย อันเนื่องมาจากศีรษะช้ำและร้าว 20 แห่ง ต้นคอ ไขสันหลังบวม ฐานกะโหลกศีรษะแตก อันเกิดจากการถูกทุบตีอย่างรุนแรง แขนหัก และกระดูกสันหลังแตก

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางการเฝ้าอธิษฐานของคนไทย ที่ต่างก็รับรู้ข่าวสารด้วยความสะเทือนใจ วันแล้ววันเล่า คนแล้วคนเล่า ที่เดินทางไปเยี่ยมดูอาการ ต่างขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องคุ้มครองครูจูหลิง และภาวนาขอให้เธอหายโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็ขอให้มีปาฏิหาริย์ช่วยให้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่เผชิญอยู่

เดือนกรกฎาคม ครอบครัวปงกันมูลก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับครูจูหลิงเป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ พร้อมกับรับสั่งให้สำนักพระราชวังติดตามสอบถามอาการ เพื่อถวายรายงานก่อน 10.00 น.ของทุกวัน พร้อมกันนี้ ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ รพ.สงขลานครินทร์ ถึง 3 ครั้ง เพื่อใช้ในการรักษาอาการของครูจูหลิง ตลอดจนช่วยเหลือครอบครัวปงกันมูล

มีการระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก 18 สาขา 18 คน และพยาบาลวิชาชีพอีกจำนวนหนึ่ง ให้การเยียวยารักษาอย่างใกล้ชิด โดยมี "สูน กับ คำมี ปงกันมูล" พ่อและแม่เฝ้าดูแลอยู่ข้างๆ แต่ความจริงที่ดำรงอยู่อย่างปวดร้าวนั่นก็คือ อาการของครูจูหลิงอยู่ในภาวะทรงตัวตลอด นับตั้งแต่เข้ารับรักษาตัววันแรก

3 เดือนผ่านไป ครูจูหลิงยังไม่รู้สึกตัว ไม่มีอาการตอบสนองของสมองและก้านสมอง แพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อควบคุมการหายใจอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ให้ยาป้องกันลิ่มเลือดที่ขาแข็งตัว เคาะปอดระบายเสมหะ ลดการอุดตันของปอด และให้อาหารทางสายยาง

ก่อนครบ 3 เดือน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ได้มอบโล่ "คนดีศรีอาชีวะ" ประเภทวิชาศิลปกรรม ให้แก่ ครูจูหลิง ในฐานะของผู้ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ

10 กันยายน 2549 ครอบครัวปงกันมูลก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมอาการป่วยของครูจุ้ยที่ รพ.สงขลานครินทร์

ปลายเดือนธันวาคม 2549 หรือ 7 เดือนให้หลัง รศ.น.พ.สุเมธ พีรวุฒิ ผอ.รพ.สงขลานครินทร์ ได้ร่วมหารือกับ น.พ.สมบูรณ์ศักดิ์ ญาณไพศาล ผอ.รพ.เชียงรายราชประชานุเคราะห์ และทีมแพทย์ กรณีย้ายครูจุ้ยกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด

"แม่ดีใจที่จะได้กลับบ้าน และเชื่อว่าจูหลิงก็ดีใจด้วยเช่นกัน แม่หวังว่าลูกของแม่จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะการกลับบ้านเกิดครั้งนี้ จะทำให้ความรัก ความผูกพันที่มีต่อภูมิลำเนาเดิม ส่งผลให้อาการดีขึ้น แม้จะเป็นเพียงความเชื่อก็ตาม" คำมี ให้สัมภาษณ์เมื่อรู้ว่าเธอกับลูกจะได้กลับบ้าน

แต่สุดท้ายโชคชะตาก็เลือกที่ไม่ยืนอยู่ข้างผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ เมื่อแพทย์ตรวจพบฝีในสมองจำนวนมาก จึงย้ายจากหอผู้ป่วยพิเศษกลับเข้าไปอยู่ในห้องไอซียูเพื่อผ่าตัดเอาฝีออก และความจริงที่พบอีกก็คือ สมองครูจุ้ยเริ่มฝ่อลงเรื่อยๆ ดังนั้น โครงการเคลื่อนย้ายครูจุ้ยกลับบ้านเกิดจึงต้องเลื่อนออกไป

แล้ววันที่ครูจุ้ยจะได้กลับบ้านก็มาถึง แต่เป็นการกลับโดยปราศจากลมหายใจ !!!

8 มกราคม 2550 การต่อสู้บนเส้นทางชีวิตที่แสนยากลำบาก ทั้งตัวครูจุ้ยเอง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คณะแพทย์ ตลอดจนคนไทยที่เฝ้าหวังว่า สักวันเธอจะกลับมาหายดีอีกครั้งก็ยุติลง

นับจากวันนี้ที่กูจิงลือปะจะไม่มีครูจุ้ยอีกต่อไป คงเหลือเพียงความทรงจำ และเรื่องราวของนักต่อสู้หญิงจากแดนไกล ผู้สละชีวิตให้กับมาตุภูมิในฐานะ "ครู" ผู้เสียสละ


กิตติพันธ์ กุลศิริปัญโญ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 1)




บทที่ 1.

ชนบทนอกเมือง...

หมู่บ้านนอกเมืองล้วนมีความเป็นอยู่ไม่แตกต่างกัน

ชาวบ้านต่างตื่นแต่เช้า ภรรยาลุกขึ้นหุงข้าวตักใส่ชามใบโต แล้วผัดผักหลายชนิดอีกหนึ่งจาน ผัดผักจานนั้นไม่มีเนื้อแม้สักชิ้น ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้มีเนื้อกินกันเฉพาะช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเท่านั้น เป็ดไก่จะมีโอกาสได้ลิ้มรสก็ต่อเมื่อถึงวันสารทวันไหว้

สามีลุกขึ้นตรวจดูจอบเสียมเตรียมออกไปไร่นา ส่วนผู้มีอาชีพนายพรานล่าสัตว์ต่างตรวจคันธนูคู่มือ พันเชือกรอบที่จับจนแน่นกระชับเหมาะมือ ง้างสายทดสอบประสิทธิภาพแรงดีด หลังจากกินข้าวชามใหญ่ ผัดผักจานโตต่างคนต่างมุ่งหน้าไปทำงานของตนจนมืดค่ำจึงตรงกลับบ้าน

พลบค่ำภรรยาตักข้าวร้อนกรุ่นใส่ชามใบเดิม เย็นนี้มีต้มเม็ดบัวชามใหญ่ หอมอบอวนด้วยกลิ่นน้ำแกงสีเขียวข้นซึ่งเคี่ยวจากใบบัว ในเวลาเยี่ยงนี้แทบทุกบ้านต่างมีเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวอุ่นจนร้อนอีกกระปุกหนึ่ง นี่คือเวลาพลบค่ำของชนบทนอกเมืองไม่ว่าที่ไหนล้วนเป็นเช่นนี้

ณ หมู่บ้านเทียนเกี๊ย ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ

แสงอาทิตย์สีเหลืองเข้มครอบคลุมขอบฟ้าดุจแพรทองผืนใหญ่

แต่ประกายเจิดจ้าเหนือฟากฟ้าของม่านแสงยามอัสดงกลับต้องอันตรธานไปในพริบตา เมื่อรัศมีของมันทอดลงกระทบบนสิ่งๆหนึ่ง...

เป็นเกล็ดหิมะ...เกล็ดหิมะสีขาวละเอียดนุ่มนวลประดุจใยไหม

บัดนี้มันได้ถืออภิสิทธิ์เข้ายึดครองผืนดินทุกหนแห่งภายในหมู่บ้านนี้ ไม่ยินยอมละเว้นแม้ปลายยอดหญ้าที่อ่อนไหวและบางเบาอย่างยิ่ง

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยตั้งอยู่นอกเมืองจุงกิงประมาณสี่ลี้

เมืองจุงกิงเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญด้วยมีแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นทางออกสู่ทะเล หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมสายใหญ่ใช้ลำเลียงสินค้าจากเมืองต่างๆเพื่อมุ่งสู่มหานครแห่งความมั่งคั่ง

: ถนนสายใหญ่ซึ่งตัดผ่านกลางหมู่บ้านคราคร่ำไปด้วยผู้คน รถม้าและเกวียนบรรทุกสินค้าอยู่ตลอดเวลา พื้นดินถูกล้อเกวียนเกือกม้าเหยียบย่ำจนอัดแน่น ดุจปูลาดด้วยแผ่นหินหนาแกร่งตลอดทั้งสาย พ่อค้าใหญ่ พ่อค้าเล็ก ผู้คนต่างถิ่นผ่านมาผ่านไปไม่ทราบแต่ละวันมีจำนวนมากมายเพียงใด ตลาดกลางหมู่บ้านไม่เคยว่างเว้นผู้คน โรงเตี๊ยมโอ่โถงมักไม่เหลือห้องว่าง หากเป็นเพียงผู้เดินทางผ่านมาโดยมิได้จองล่วงหน้ายากยิ่งที่จะหาห้องพักได้

แต่ทุกสิ่งต่างมีข้อยกเว้น เพราะหากท่านมีเงินขาวๆก้อนโตๆที่ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธ ไม่เพียงห้องพัก ไม่ว่าสิ่งใดสถานที่นี้ล้วนมีให้ท่านได้

สำนักคณิกาของที่นี่เลื่องชื่ออย่างยิ่ง สถานที่แห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาเช่นกัน

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ผู้คนต่างหาความสุขใส่ตัวได้เต็มที่อย่างยิ่ง ไฟในโรงเตี๊ยมและสำนักคณิกาต่างไม่เคยดับสนิทจนรุ่งอรุณของวันใหม่

หากแต่ในหลายวันที่ผ่านมากลับเกิดปรากฏการณ์พิสดารที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

หมู่บ้านที่คึกคักยิ่งกลับกลายเป็นเงียบเชียบราวกับหมู่บ้านร้าง ถนนหนทางที่เคยพลุกพล่านกลับปราศจากผู้คนเดินสัญจรแม้แต่คนเดียว!

นั้นเป็นเพราะตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหิมะได้ตกอย่างหนัก ถนนสายใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าหมู่บ้านถูกหิมะถล่มปิดทางจนกองเกวียนสินค้าไม่สามารถผ่านไปมาได้ คงเหลือเพียงทางเดินเท้าสายเล็กๆที่ใช้สัญจรไปมาได้อย่างยากลำบากเท่านั้น สินค้ามากมายตกค้างอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว พ่อค้า นักเดินทาง คนของสำนักคุ้มกันภัยล้วนต้องนั่งจับเจ่าอย่างไร้ความหมาย ร้านค้าตลาดสดร้านขายของชำพากันพร้อมใจหยุดกิจการจนหมด

ผู้คนต่างอยู่ในบ้านช่องห้องพัก นั่งอุ่นเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวจนร้อนเพียงพอลวกกระเพาะลำไส้ตนเองและมิตรสหาย บ้างมุดตัวอยู่ใต้ผ้านวมอุ่นหนาอิงไออุ่นโฉมสะคราญ ในยามที่ธรรมชาติเป็นอริกับผู้คนเยี่ยงนี้แม้จะมีธุระรีบร้อนปานใดก็ไม่มีผู้ใดยินยอมออกจากที่พักมากระทำเรื่องราวใดๆเป็นแน่

เวลานี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช โรงเตี๊ยมมีชื่อที่สุดในหมู่บ้านกลับมีเรื่องพิสดารเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง!

หิมะหยุดตกแล้ว...

หิมะหยุดตกย่อมมิใช่เรื่องพิสดาร

เช่นไรจึงเป็นเรื่องพิสดาร?

ชายวัยกลางคนสวมชุดขาว ร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปเกือบศอก ยืนอยู่กลางถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน มือแข็งแกร่งหยาบหนาทั้งคู่ซุกไว้ในแขนเสื้อยาว หน้าขาวซีดประหนึ่งไร้โลหิต คิ้วหนาดกขาวดุจหิมะ หางคิ้วทิ้งยาวลงมาเกือบจรดติ่งหู เคราเงินขาวละเอียดจรดหน้าอกส่องประกายวับวาวดุจถักทอจากไหมเนื้อดี ทุกสัดส่วนในร่างสูงใหญ่เปี่ยมความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง

แต่ดวงตาทั้งสองกลับหลุบต่ำคล้ายปิดลงประหนึ่งสะลึมสะลือดั่งคนครึ่งหลับครึ่งตื่น

คนผู้นี้มิได้กำลังสะลึมสะลือใกล้หลับอย่างแน่นอน...

ประกายคมกล้าฉายแววเรืองโรจน์เล็ดรอดออกจากดวงตาที่เกือบปิดสนิทกลับยังเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอัสดงยามอาทิตย์ลับฟ้าหลายเท่า!

ผู้ที่กำลังใกล้หลับไหนเลยมีประกายตาเช่นมัน!

เหตุที่ชายชุดขาวยังไม่ยอมลืมตาเนื่องเพราะมันรู้สึกขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้น

คนทุกผู้ต่างอาศัยดวงตาของตนเมื่อต้องการพิศดูสิ่งต่างรอบกายตน

ขณะนี้รอบตัวมันยังไม่มีสิ่งใดที่จำต้องใส่ใจ มันจึงคิดถนอมดวงตาทั้งคู่ให้มากไว้ เพราะอีกสักครู่ดวงตาของมันจะต้องเผชิญงานหนักอย่างยิ่ง!

ขณะนี้มันกำลังรอคอย...

ชายชุดขาววัยกลางคนทราบดี อีกสักครู่หากตนไม่สามารถรวบรวมกำลังสมาธิจนถึงขีดสูงสุดไม่เพียงนัยน์ตาทั้งสองข้างอาจจำต้องปิดไปตลอดกาล แม้แต่ลมหายใจก็ต้องขาดห้วงลงโดยพลัน!

เวลาที่มันรอคอยจะมาถึงเมื่อไหร่?

เวลาที่มันรอคอยมาถึงแล้ว...

เนื่องเพราะคนที่มันรอคอยเดินออกมาแล้ว...

บุรุษสองคนความสูงต่ำไล่เลี่ยกัน เดินอย่างไม่รีบร้อนออกมาจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช พิจารณาสัดส่วนรูปร่างของพวกมันแล้วนับว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับชาวตงง้วนโดยทั่วไป หากยืนประจันหน้ากับชายชุดขาวคงอยู่ระดับไหล่เท่านั้น...

แต่คนทั้งสองกลับไม่ดูต่ำเตี้ย ทั้งไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนว่าพวกมันต่ำเตี้ยอย่างเด็ดขาด!

เพราะทุกคนทราบพวกมันทั้งสองเป็นคนของหมู่ตึกบูรพา!

คนผู้หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มหน้าขาวเค้าหน้าหล่อเหลาสีหน้าแช่มชื่นปลอดโปร่ง สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดีตัดเย็บประณีต เพียงมองแวบแรกย่อมคาดเดาฐานะของผู้สวมใส่ได้

มันย่อมต้องเป็นกงจื้อที่รุ่มรวยผู้หนึ่ง...

ไม่ว่าผู้ใดต่างดูออกชุดที่กงจื้อผู้นั่นสวมใส่ต้องมิใช่ชุดแต่งกายของชาวตงง้วนอย่างแน่นอน...

ชุดในยาวสีขาวไม่ต่างกับชาวยุทธทั่วไป แต่เสื้อสีน้ำเงินเข้มตัวนอกนั้นปักลวดลายสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน กางเกงยาวที่สวมใส่ยิ่งดูรุ่มร่ามอย่างไรพิกล ยังมีดาบเรียวยาวที่เสียบอยู่ข้างเอว...นั่นก็มิใช่ดาบของชาวตงง้วน

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะ ด้ามเก่าคร่ำคร่าฝักสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดๆ

ทั่วทั้งตัวบุรุษหนุ่มมีเพียงดาบเล่มนี้ที่เรียบง่ายแตกต่างกับลักษณะผู้เป็นเจ้าของ เหตุนี้ยามที่คนทั่วไปจ้องดูมันสิ่งที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นดาบเล่มนี้เอง!

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ชายอีกผู้หนึ่งวัยล่วงเลยจนจอนผมมีสีขาวแซมประปราย สีหน้ามิแข็งกระด้าง มิดุดัน ยิ่งไม่เคร่งเครียดบึ้งตึง แต่เฉยชา เฉยชาจนไร้อารมณ์ความรู้สึกดั่งไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ บุรุษผู้นี้สวมชุดเขียวการแต่งกายเป็นแนวเดียวกับกงจื้อผู้นั้นเพียงแต่เรียบง่ายกว่า สวยงามน้อยกว่า เสื้อผ้าเนื้อธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่ง ร้านขายผ้าทุกร้านย่อมต้องมีผ้าชนิดนี้เป็นจำนวนมากแน่นอน

ธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่งแต่กลับดูไม่ซอมซ่อเป็นเพียงแต่เรียบง่ายธรรมดา เสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อนที่เรียบง่ายไม่มีลวดลายใดๆปักเย็บบนนั้นทั้งสิ้น

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะก็คาดอยู่ที่เอวของชายผู้นี้

ดาบยาวที่เปี่ยมไปด้วยรังสีชนิดหนึ่ง...

เป็นรังสีไร้รูปเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพายุร้ายกลางฤดูตงเทียน แผ่ประกายบาดนัยน์ตาส่งอานุภาพคุกคามผู้คนรุนแรงมหาศาล

รังสีดาบกระจายครอบคลุมทั่วบริเวณแม้ขณะที่มันยังอยู่ในฝัก!

นี่เป็นดาบที่ร่ำลือกันว่ารวดเร็วที่สุดในแผ่นดินยุคนี้!

เพียงแวบแรกที่ผู้คนได้เห็นบุคคลเช่นนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าตน มิว่าผู้ใดต้องมองออก บุรุษผู้สวมอาภรณ์ชุดเขียวมิใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

ยิ่งธรรมดาสามัญกลับยิ่งดูทรงอำนาจ

เพราะมีเพียงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้นที่ยินยอมกระทำตนเป็นคนสามัญ เพราะมีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่สำนึกได้ว่าคุณค่าแท้จริงของตนเองอยู่ที่ใด!

กลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บหลังหิมะที่ตกอย่างหนัก กระนั้นคนทั้งสามยังสวมเสื้อผ้าเบาบางเพียงชั้นเดียวราวกับทั้งหมดได้นัดหมายกันมาชมดอกโบตั๋นในฤดูชุนเทียน มิมีผู้ใดแยแสต่อความผันแปรของสภาพรอบข้าง ราวร่างของบุรุษทั้งสามต่างหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า

บัดนี้หน้าต่างบ้านช่องร้านค้าทุกบานบนถนนสายใหญ่หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเปิดออกจนหมดสิ้น ผู้คนต่างเบียดเสียดผลักดันกันเพียงเพื่อจะชะโงกหน้าลงมายังถนนเบื้องล่าง ทุกผู้ล้วนใส่เสื้อผ้าหลายชั้นทั้งยังกระชับอาภรณ์ของตนตลอดเวลา ร่างกายของคนเหล่านั้นย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้า

เด็กรับใช้หลายคนรีบวิ่งกุลีกุจอยกโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหลายตัวออกจากโรงเตี๊ยมนำมาตั้งเบื้องหน้ากงจื้อผู้สวมอาภรณ์ราคาแพง จัดแจงปูโต๊ะด้วยผ้าอย่างดี สุราหอมกรุ่นชั้นดีอุ่นจนร้อนแล้ว อาหารหลายจานถูกยกมาตั้งอาทิ เนื้อลูกแพะตุ๋น เนื้อนกเจ็ดชนิดผัดน้ำมันหอย ไก่ขอทานหอมกรุ่นยังมีเต้าหู้ทรงเครื่องที่ขาวราวหิมะ

แต่เพียงครู่หนึ่งสิ่งที่ขาวราวหิมะอย่างแท้จริงจึงเดินเข้ามา

: เนื้อหิมะขาวละเอียดยังต้องกลายเป็นขุ่นมัวยามเผชิญกับพวกนาง เสียดายที่เวลานี้พวกนางต่างสวมอาภรณ์ทั้งหนาทั้งมิดชิดมีเพียงใบหน้าเรียวมนเท่านั้นที่ไร้อาภรณ์ปกปิด

เพราะร่างกายของพวกนางย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้าอย่างแน่นอน...

เสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวคณิกาเลื่องชื่อแห่งนครจุงกิงกลับยินยอมเดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ พวกนางต่างนั่งอยู่ข้างๆกงจื้อเจ้าสำราญผู้สวมชุดราคาแพงเนื้อผ้าแปลกตา

ใบหน้าของกงจื้อผู้นี้นับว่าหล่อเหลาอย่างยิ่งจริงๆ หน้าขาวคิ้วบางเรียวสีดำสนิท ใบหน้าไร้ริ้วรอยใดๆ ปราศจากหนวดเคราแม้เพียงสักเส้น มันถนอมใบหน้าตัวเองเสมอมาไม่ยอมให้สิ่งใดกระทบจนเกิดริ้วรอยแม้แต่น้อย สัดส่วนต่างๆบนใบหน้าล้วนอยู่ในที่ๆเหมาะสมอย่างยิ่ง ด้วยใบหน้าเช่นนี้หากมันเป็นเพียงบุตรหลานชาวบ้าน ชาวนาสามัญธรรมดาคาดว่ายังต้องมีดรุณีน้อยใหญ่เข้ามากรุ่มรุมให้วุ่นวายใจไม่หยุดหย่อน

แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้กลับเป็นถึงกงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุทธภพปัจจุบัน เรื่องดรุณีน้อยใหญ่จึงมิจำเป็นต้องพูดถึงอีก

โยชิโอกะ ริวจิไม่มีเวลาว่างแม้แต่น้อย เดี๋ยวป้อนไก่ขอทานเสี่ยวชุ่ย เดี๋ยวดื่มเหล้าจากชุนฮัว เดี๋ยวเล่นทายมือกับเสี่ยวชุ่ย ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลายโยชิโอกะ ริวจิล้วนไม่สนใจ สีหน้าแช่มชื่นรอยยิ้มกรุ่มกริ่มจ้องดรุณีทั้งสองไม่วางตา สองมือประคองนงคราญ กล่าววาจาหยอกเย้า ลำคอถูกราดรดด้วยสุรา ขณะเคี้ยวเนื้อลูกแพะนุ่มลิ้น

บุรุษอีกสองคนเล่า...

บุรุษทั้งสองยืนประจันหน้ากันเนิ่นนานชายชุดขาวจึงกล่าวว่า

“ท่านก็มาแล้ว...ยังต้องการกล่าวสิ่งใดหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดตอบ

ชายชุดขาวแสยะยิ้ม***มอำมหิต

“ดาบของท่านรวดเร็วสมคำร่ำลือจริงหรือไม่”

ยังคงไม่มีผู้ใดตอบ...

ชายชุดเขียวไม่ตอบคำ คิ้วของมันหนากว่าคนทั่วไป ดูคล้ายแพขนาดใหญ่ยิ่งดูยิ่งสะดุดตา เค้าหน้ารูปสี่เหลี่ยมเฉยเมยไร้อารมณ์ใดๆ มองดูดังแท่งศิลาอันแข็งแกร่งมากกว่าใบหน้ามนุษย์ เส้นผมและขนคิ้วบางส่วนเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา จอนยาวทั้งสองข้างมีสีเทาแซมอยู่ประปราย ยามจ้องมองไปเบื้องหน้าแววตาเจิดจ้าแน่วนิ่งเป็นประกายดั่งยามอาทิตย์อุทัย

คนผู้นี้ความจริงมีอายุราวสามสิบเศษๆ แต่ปลายขอบตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยริ้วรอยของการตรากตรำต่อสู้มาอย่างโชกโชน ทำให้ใบหน้ามันดูสูงวัยกว่าอายุแท้จริงถึงสิบกว่าปี

มือแข็งแกร่งทั้งคู่ปล่อยตามสบายข้างลำตัว บุรุษชุดเขียวได้แต่มองตรงไปเบื้องหน้า มันเพ่งมองไปยังชายชุดขาว ลมหายใจแผ่วเบาทอดถอนออกมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายไม่ต้องการมองบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตน ที่แท้มันทอดถอนหายใจให้กับบุรุษชุดขาว เพราะมันทราบภายใต้สภาวะที่ตนพร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ต้องไม่มีผู้ใดสามารถรักษาชีวิตรอดจากคมดาบของมันได้!

สิบปีก่อนทั่วทั้งเกาะพู้ซึ้งไม่มีผู้ใดสามารถต้านดาบของนาคามูระ โยชิได้

ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากย้ายมาพำนักอยู่กับหมู่ตึกบูรพาในตงง้วน ฉายามือสังหารไร้รักก็ดังก้องจนกลบรัศมีบรรดายอดฝีมือที่เคยมีชื่อเลื่องลือในตงง้วนจนสิ้น!

เสียงชายชุดขาวคำรามเบาๆในคำคอ ดวงตาเรืองโรจน์ทั้งคู่ลืมโพลงขึ้น ถึงเวลาที่ต้องใช้มันแล้ว! คิ้วหนาขมวดเข้าหากันใบหน้าซีดขาวกลับกลายเป็นแดงกล่ำดุจโลหิต ร่างสูงใหญ่แต่ปราดเปรียวอย่างยิ่งสะบัดมือทั้งสองข้างวูบขึ้น พลันบังเกิดประกายแหลมคมของอาวุธสีดำสนิทสองสายพุ่งจู่โจมตรงไปยังลำคอและทรวงอกของชายชุดเขียวรวดเร็วปานสายฟ้า!

ชายเสื้อสีเขียวสะบัดวูบดาบยาวพลันหลุดจากฝักไปอยู่ในมือ นี่เป็นระดับความเร็วของการชักดาบที่ผู้คนไม่สามารถคาดคำนวนได้!

รวดเร็ว! รวดเร็วอย่างยิ่ง!

ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าดาบยาวสีเงินเล่มนั้นหลุดออกจากฝักมาอยู่ในมือของชายชุดเขียวได้อย่างไร

ชายชุดขาวก็ไม่สามารถ!

ดาบยาวสีเงินที่คล้ายหนักอย่างยิ่ง แต่ชายชุดเขียวเพียงสะบัดข้อมือวูบบังเกิดเป็นเงาดาบนับสิบเส้นแผ่เป็นวงกว้างสกัดการจู่โจมปานสายฟ้าของชายชุดขาวได้ในกระบวนท่าเดียว!

มือทั้งคู่พลันมาจับด้ามดาบพร้อมกันยิ่งเพิ่มพูนสภาวะจู่โจม พลิกปลายดาบพุ่งตรงไปยังประกายสีดำทั้งสองสาย ประกายคมดาบพุ่งผ่าอากาศวาววับใสกระจ่างทรงมหิธานุภาพดุจมังกรขาวเริงนภา

ไม่มีสายตาคู่ใดเห็นดาบของมันกระทำอย่างไรกับประกายสีดำคู่นั้น ผู้คนเพียงเห็นมือของมันสะบัดวูบไปมา แต่ชายชุดขาวกลับไม่มีปัญญารับสภาวะการจู่โจมนี้ ถึงกับต้องผงะร่างถอยกรูดประกายสีดำทั้งสองเส้นสลายวับไปกับตา

ชายชุดเขียวยังคงวาดดาบต่อเนื่องเงาดาบยาวสีเงินพุ่งตามติดคุกคาม รอบบริเวณปรากฏเศษผ้าสีขาวปลิวว่อน รังสีดาบยิ่งนานยิ่งอำมหิตหิวกระหายราวจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งภายใต้รัศมีแห่งมัน

ชายชุดขาวยิ่งหน้าแดงกล่ำหยาดเหงื่อผุดขึ้นโทรมใบหน้า มันทราบดีสถานการณ์ขณะนี้ชีวิตตนเองกำลังล่อแหลมจวนตัวอย่างยิ่ง พู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือมิว่าพลิกแพลงกระบวนท่าอย่างไรกลับมิอาจเข้าประชิดคมดาบสีเงินได้แม้แต่น้อย เพียงแค่รังสีดาบยังสามารถคุกคามกดดันจนตนเองถอยกรูดไม่อาจเข้าประชิด การจะโต้ตอบกลับได้แม้สักกระบวนท่ายิ่งคล้ายหมดหนทางโดยสิ้นเชิง

แต่เทพพู่กันคู่ยะเยือกมีชื่อเสียงในยุทธภพมากว่าสิบปีไหนเลยยินยอมรับความพ่ายแพ้ในสภาพนี้ คิ้วยาวตั้งชี้ชัน แสยะยิ้ม***มเกรียม แววตาลุกโชนดุจเปลวเพลิง ฉับพลันมือหยาบหนาแกร่งทั้งคู่ของมันกลับกลายเป็นซีดขาวไร้สีเลือดดุจซากศพ! กระแสไอเย็นมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากมือทั้งคู่รวดเร็วปานอสนีบาต!

ชายชุดขาวทุ่มเทพลังทั้งหมดจู่โจมด้วยไอเย็นไร้ลักษณ์แผ่พิษเย็นจากฝ่ามือทั้งสองผ่านไปที่ปลายพู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือ พุ่งเป็นสายถล่มทลายราวคลื่นล้างหาดเข้าทำร้ายคู่ต่อสู้โดยปราศจากรูป กว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวไอเย็นก็พุ่งประชิดตัวแล้ว พิษไอเย็นที่รุนแรงสามารถกระแทกอวัยวะภายในจนแหลกเหลวป่นยุ่ย! หากแข็งขืนเกร็งกำลังต้านพิษเย็นสายนี้ไว้ ยังต้องเผชิญกับประกายแหลมคมทั้งคู่ของพู่กันสีดำสนิทซึ่งจู่โจมตามมาติดๆ ด้วยอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

นี่เป็นวิชาลอบสังหารที่อำมหิตที่สุดแขนงหนึ่ง!

ชายชุดขาวคิดไม่ถึงว่าตนจำต้องใช้ท่าไม้ตายประจำตัวรวดเร็วปานนี้ แต่เมื่อใช้ออกไปแล้วมันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง มันมั่นใจนี่เป็นกระบวนท่าที่คู่ต่อสู้ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้แน่นอน

ห้าปีแล้วที่วิชาฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะของเทพพู่กันคู่ยะเยือกไร้ซึ่งผู้ต่อต้าน!

เมื่อชายชุดเขียวรู้สึกถึงพิษเย็นมหาศาลที่พุ่งจู่โจม ไอเย็นก็ครอบคลุมชายเสื้อเขียวกระชั้นชิดยิ่งเสียแล้ว เห็นได้ชัดหากมันไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกัน อวัยวะภายในต้องแหลกเหลวอย่างแน่นอน แต่หากทำเช่นนั้นไหนเลยจะลอดพ้นปลายพู่กันแหลมคมที่พุ่งคุกคามตามมาดุจประกายอสนีบาตได้

ชั่วพริบตานั้น ชายชุดเขียวทั้งไม่หลบหลีบ ยิ่งไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกันตัว ซ้ำยังพุ่งร่างตรงเข้าหาชายชุดขาวอย่างรวดเร็ว

ร่างสีเขียวเคลื่อนไหววูบรวดเร็วไม่ช้ากว่ายามที่มันสะบัดดาบยาวในมือแม้แต่น้อย!

ปลายดาบสีเงินพุ่งเข้าปะทะผ่ากระแสไอเย็นอย่างแข็งขืน จุดหมายของมันคือหว่างคิ้วของชายชุดขาว!

เป็นการจู่โจมที่อยู่เหนือการคาดคิดของเทพพู่กันคู่ยะเยือกโดยสิ้นเชิง มันตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด ชั่วขณะถึงกับไม่กล้าส่งกระแสพลังจนสุด พริบตานั้นมันจำต้องรั้งพู่กันคู่สีดำทั้งสองในมือกลับมาป้องกันใบหน้าในทันที

กระบวนท่าฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะสูญเสียสภาวะจู่โจมของตนเองลงโดยสิ้นเชิง!

เสียงดังกึกก้องเมื่อโลหะสองชนิดกระทบกัน...ครู่หนึ่ง...

ชายชุดขาวเก็บพู่กันทั้งสองไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วดั่งไม่เคยนำมันออกมาใช้ สีหน้าแดงกล่ำกลายเป็นซีดขาวจนปราศจากสีเลือด แววตาทั้งคู่เปล่งประกายแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แววตาที่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตคนผู้หนึ่ง!

“ห้าปี...ข้าเก็บตัวอยู่ในสถานที่นี้ถึงห้าปี คิดว่าพลังฝีมือรุดหน้าขึ้นอีกมาก...แต่...”

ใบหน้าของมันไม่ปรากฏแววของความเจ็บปวด แต่ชายชุดขาวล้มลงแล้ว พู่กันสีดำสนิทร่วงหล่นจากแขนเสื้อแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่หว่างคิ้วจนถึงปลายคางปรากฏเส้นบางๆสีแดงเส้นหนึ่ง

กลางหิมะขาวร่างในชุดขาวของเทพพู่กันคู่ยะเยือกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปตลอดกาล...

ชายชุดเขียวก้มหน้าลงต่ำอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดดูออกดาบยาวถูกเก็บเข้าฝักตั้งแต่เมื่อไหร่

สีหน้าเคร่งครึมยังเฉยชาไร้ความรู้สึกใดๆ มิได้ยินดีลิงโลดกับชัยชนะของตน ทั้งมิได้เศร้าโศกเสียใจที่มือทั้งคู่ต้องแปดเปื้อนโลหิตอีกครา

มันเพียงรู้สึกนี่เป็นอีกครั้งที่มันปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนาง...

คำมั่นสัญญาที่กลายมาเป็นรากฐานค้ำจุนให้ชีวิตของตนสามารถยืนหยัดอยู่ต่อมาได้กว่าสิบปี...

นาคามูระ โยชิเดินมายังโต๊ะของริวจิ รับสุราอุ่นจอกหนึ่งจากมันแล้วดื่มลงคอจนหมด แต่ยังไม่แตะต้องอาหารแม้สักจานเดียว โฉมสะคราญทั้งสองยิ่งไม่แม้แต่ชำเลืองตามอง

โยชิโอกะ ริวจิรินสุราให้ นาคามูระ โยชิอีกหนึ่งจอก แววตาที่มองบุรุษชุดเขียวบ่งบอกความเคารพนับถืออย่างยิ่ง รอจนคนผู้นั้นดื่มจนหมดจึงโอบเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวาลุกขึ้นเดินออกจากที่แห่งนั้น

นาคามูระ โยชิออกเดินตามไม่ถามสักคำดั่งบ่าวไพร่เดินตามผู้เป็นนาย

หิมะเริ่มตกอีกแล้ว...

ผู้คนต่างปิดประตูหน้าต่างบ้านช่องห้องพักของตนจนหมดสิ้น

แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่เสียงวิพากวิจารณ์กลับดังกระหึ่มขึ้นจากทุกตรอกซอกซอย...

“นาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพานับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของยุคได้จริงๆ”

“มือสังหารไร้รักไม่ผิดคำร่ำลือเลย”

“สมคำร่ำลืออะไร เป็นแต่เพียงบ่าวไพร่ของผู้อื่น”

“กงจื้อคนนั้นมีบ่าวไพร่เช่นนี้นับเป็นวาสนาจริงๆ”

“มีเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวากลับมีวาสนากว่า”

“แม่นางเสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวกลับน่าดูกว่าจริงๆ”

“ข้าต้องเก็บเงินไปดื่มกับนางสักครั้งให้ได้”

“ถ้าข้าเก็บเงินได้ข้าไม่ดื่มกับนางหรอกข้าจะ...”

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 2)





: บทที่ 2.

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยนอกเมืองจุงกิง...

ยามนี้เป็นกลางคืนต้นฤดูตงเทียน แม้ยังไม่หนาวอย่างจับใจแต่หิมะถึงกับยังตกปรอยๆตลอดเวลา

จากถนนใหญ่กลางหมู่บ้านมีตรอกเล็กตรอกน้อยแยกไปอีกนับสิบแห่ง หลายต่อหลายตรอกนั้นยังมีซอยเล็กย่อยๆอีกมากมาย นอกจากบ้านเรือนผู้คนยังเรียงรายไปด้วยโรงเตี๊ยม ร้านน้ำชา ร้านขายของชำเล็กๆน้อยๆ ในซอยเล็กๆเหล่านี้แม้การค้าไม่อาจเทียบได้กับร้านรวงที่ตั้งอยู่บนสองข้างของถนนใหญ่ แต่ยังไม่ถึงกับเงียบเหงาวังเวงจนเกินไปนัก

ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อข้างๆตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง

ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนอยู่เพียงสองคน คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหลังค่อมเล็กน้อยท่าทางเงอะงะผมเพ้ารุงรังจนมองแทบไม่เห็นหน้าตา ยิ่งไม่อาจบ่งบอกอายุที่แท้จริง อีกผู้หนึ่งเป็นลูกค้าของร้านแห่งนี้

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มฉกรรจ์แต่งตัวมองดูคล้ายบัณฑิตนักศึกษา ชุดที่สวมใส่ทั้งขาวทั้งสะอาดแต่กลับเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา เนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บก็ธรรมดาอย่างยิ่งเป็นเพียงผ้าดิบฝอกสีเท่านั้น หากคนผู้นี้เป็นนักศึกษาจริงก็ต้องเป็นเพียงบัณฑิตซอมซ่อผู้หนึ่ง หาใช้ลูกหลานคหบดีผู้ต้องการสอบจอหงวนไม่

บัณฑิตหน้าขาวอายุราวสามสิบเศษ เค้าหน้าสี่เหลี่ยมกรามใหญ่ คิ้วดกดำปลายทั้งสองข้างชี้ตรงขึ้นด้านบน หน้าผากกว้างปรากฏรอยเว้าปราศจากเส้นผมเข้าไปลึกทั้งสองข้าง มันนับว่าอ้วนท้วนสมบูรณ์แต่ไม่ฉุใหญ่จนน่าคลื่นเหียน ลำคอค่อนข้างกลมโตเมื่อเทียบกับแขนขาที่ยาวเก้งก้าง ผิวกายเปล่งปลั่งไม่ซูบซีดยามยืนตรงยังสูงกว่าคนทั่วไปครึ่งเชียะ นิ้วข้างขวาเปรอะเปื้อนหมึกดำแห้งกรังทั้งห้านิ้ว ใต้คางมีหนวดเคราดำแข็งกระด้างขึ้นหรอมแหรม มันไม่ได้ใส่ใจตนเองมาหลายวัน ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ปรือด้วยฤทธิ์สุราหกเจ็ดไหที่วางอยู่ข้างกาย...

ตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านเมื่อสามวันก่อนพู่กันในมือคนผู้นี้คล้ายไม่เคยหยุดขีดเขียนลงในกองกระดาษที่อยู่เบื้องหน้าราวกับมีเรื่องมากมายให้ต้องรีบจดบันทึก แป้นฝนหมึกด้านข้างถูกใช้ไปถึงหนึ่งในสี่แล้ว แต่ขณะที่มือข้างหนึ่งจับพู่กันมืออีกข้างกลับถือไหสุราไม่ยอมปล่อยเช่นกัน คนผู้นี้ไม่เพียงขีดเขียนไม่หยุดทั้งยังดื่มสุราอย่างไม่ยอมหยุด และปากของคนผู้นี้ยังพูดเรื่องราวต่างๆไม่หยุดอีกด้วย

บัณฑิตผู้นั้นตะโกนขึ้น “สุรา...สุรา...เถ้าแก่...เถ้าแก่ข้าต้องการสุราอีก...”

ขณะนั้นไม่ทราบเสียงขลุ่ยสูงแหลมประหนึ่งดั่งคมดาบคมกระบี่กรีดหัวใจผู้คนดังก้องกังวานมาจากสถานที่ใด ท่วงทำนองแห่งกระแสเสียงประสานสายลมต้นฤดูตงเทียน ยิ่งโหยหวนปานประหนึ่งเสียงกู่ร้องของเหล่าปีศาจแค้นวิญญาณอาฆาตที่ต้องตายอย่างไม่สมควรกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนกลับมาทวงความยุติธรรมแห่งชีวิตตนคืน แต่หากตั้งใจฟังให้ดีเสียงแหลมเล็กกังวานก้องนี้ย่อมไม่ใช่เสียงกู่ร้องของปีศาจยามราตรีอย่างแน่นอน...

เพราะแม้แต่พวกมันก็คาดว่ายังไม่อาจถ่ายทอดความทุกข์ทน ความอยุติธรรมที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนได้กระจ่างชัดเจนเฉกเช่นดังปรากฏภายใต้ท่วงทำนองแห่งกระแสเสียงนี้

เรื่องเช่นนี้มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่กระทำได้!

บัณฑิตซอมซ่อหยุดฟังเสียงขลุ่ยครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย กล่าวถ้อยคำดั่งรำพึงรำพันกับตนเองแต่สุ่มเสียงกลับดังชัดทั่วทั้งห้อง

“ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญกลางเดือนหนาว...ยามแสงดาวลางเลือนเหมือนใจข้า...ใจข้า...เถ้าแก่ท่านทราบหรือไม่ในเวลาเยี่ยงนี้เป็นผู้ใดที่ยังมีอารมณ์สุนทรีถึงเพียงนี้ ”

เถ้าแก่หลังค่อมหันมามองเล็กน้อย แล้วหันไปเช็ดโต๊ะต่ออย่างไม่ใส่ใจ เนื่องเพราะหลายวันนี้มันได้ยินวาจาเหล่านี้จนชินชา

“ท่านย่อมไม่ทราบ...แต่ข้าทราบ...”

เสียงขลุ่ยเงียบหายไปแล้ว บัณฑิตผู้นี้หาวหวอดๆส่ายหน้าไปมา กรอกสุราลงคออีกอึกใหญ่ หันไปมองหน้าเถ้าแก่หลังค่อมอีก “เถ้าแก่ท่าน...ท่าน...”

เถ้าแก่หลังค่อมหยุดเช็ดโต๊ะแล้วหันมามองลูกค้าผู้นี้อีก มันลังเลควรไปยกสุรามาให้บัณฑิตซอมซ่ออีกดีหรือไม่ คนผู้นี้ดื่มติดต่อกันหกเจ็ดไหแล้วแม้หลายวันมานี้มันไม่เคยติดค้างค่าเหล้า แต่หากยังดื่มเช่นนี้สักวันมันคงต้องหมดตัวแน่ๆ แม้มันยินดีที่โรงเตี๊ยมซอมซ่อของมันมีผู้อุดหนุน แต่มันกลับมิใช่ปีศาจดูดเลือดที่จ้องคอยจะหาทางขูดรีดเงินทองลูกค้า

“ทำไมท่านยังไม่เอาสุรามาให้ข้าอีก...ข้าต้องการสุรา...”

ยังไม่ทันที่เถ้าแก่จะตอบว่ากระไร ประตูโรงเตี๊ยมพลันบังเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ผ้าบุนวมผืนใหญ่ซึ่งแขวนกั้นลมหนาวที่ด้านในประตูถูกเลิกขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะดังสดใสของดรุณีแรกรุ่น

ดรุณีสองคนในชุดกันหนาวหนังจิ้งจอกซึ่งหนาเป็นพิเศษเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาภายในร้าน ชุดที่สวมใส่ภายใต้เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกเป็นเสื้อแขนยาวสีครามเข้มแขนเสื้อยาวจรดข้อมือเหมือนกันทั้งสองนาง ข้างเอวของทั้งสองต่างแขวนกระบี่ฝักสีดำสนิทฝังอัญมณีสามเม็ดส่องประกายวูบวาบแยงนัยน์ตา เถ้าแก่รีบกุลีกุจอพาร่างอันแสนอัปลักษณ์ของตนเข้าไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนทันที มันทราบแค่อาภรณ์หนังจิ้งจอกสองตัวนี้ก็มีราคามากกว่ากำไรจากโรงเตี๊ยมของมันทั้งปีทีเดียว

โรงเตี๊ยมซอมซ่อของมันย่อมไม่บ่อยครั้งที่จะมีลูกค้าร่ำรวยเช่นนี้ แต่ในยามอากาศเยี่ยงนี้โรงเตี๊ยมของมันต้องนับว่าดีอย่างยิ่งหากเทียบกับการต้องเดินทางเผชิญลมหนาวด้านนอก

ดรุณีทั้งสองถอดชุดกันหนาวให้เถ้าแก่นำไปแขวนที่ผนังด้านข้าง นับแต่ก้าวแรกที่พ้นประตูเข้ามา แววตาหนึ่งจริงจังจนแข็งกระด้างหนึ่งซุกซนหลุกหลิกเพ่งมองมาที่บัณฑิตซอมซ่ออย่างประหลาดใจระคนคาดคิดไม่ถึง ดรุณีทั้งคู่หันมาสบตากันวูบหนึ่งแต่มิได้กล่าวถ้อยคำใดๆ เดินมาหย่อนกายอย่างอ่อนล้ายังโต๊ะตัวหนึ่งเยื้องบัณฑิตผู้นั้น

ดรุณีผู้มีแววตาแข็งกระด้าง ร่างสูงเปรียวเอวคอดกิ่วแต่ไม่ผอมแห้ง คิ้วเรียวเล็กคมชัดโก่งขึ้นเล็กน้อย จมูกเป็นสันปลายแหลมทั้งไม่ชี้ขึ้นและงุ้มลงเปี่ยมแววเชื่อมั่นถือดีในตนเองอย่างดี ริมฝีปากบางเฉียบไร้รอยยิ้มตั้งฉากกับสันจมูก ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นมวยไว้บนศีรษะ นางมิได้แต่งแต้มเครื่องประทินผิวลงบนใบหน้าแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ต้องไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่านางไม่งดงามเป็นแน่ นิ้วมือเรียวขาวประหนึ่งสลักเสลาจากหยกไร้ตำหนิ ผู้พบเห็นล้วนต้องติดตาตรึงใจ แต่นี่กลับมิใช่ความงามที่ชวนลุ่มหลง เคลิบเคลิ้มงมงายที่มักหลอกล่อชักพาบุรุษลงสู่อเวจี

เนื่องเพราะนางมีแววตาที่จริงจังอย่างยิ่ง แน่วแน่อย่างยิ่ง ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้า สีหน้าเยือกเย็นจนแข็งกระด้างปราศจากรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ราวกับใบหน้านั้นเป็นรูปแกะสลักจากหยกเนื้อดีจริงๆ

“เถ้าแก่ท่านช่วยต้มยาตามเทียบนี้ให้ด้วย” นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ หยิบเทียบยาและตัวยาสามสี่ชนิดจากห่อผ้าส่งให้เถ้าแก่หลังค่อม แล้วอธิบายกำชับอีกหลายคำ

เถ้าแก่ได้แต่รับฟัง พลางพยักหน้าหงึกๆ รับห่อยามาแล้วเดินเงอะงะออกไปต้มยาในครัว

ดรุณีอีกผู้หนึ่งยังอยู่ในวัยแรกรุ่น เสียงหัวเราะของนางใสกังวานดุจระฆังเงิน นางสูงกว่าดรุณีอีกคนอยู่เล็กน้อย แต่ร่างกายของนางผอมบางมากจนแทบจะสามารถปลิวไปตามกระแสลมหนาวที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอก เค้าหน้าของดรุณีทั้งสองมีส่วนคล้ายกันไม่น้อย ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูออกพวกนางหากไม่ใช่พี่น้องก็ต้องมีความเกี่ยวพันธุ์กันทางสายเลือดอย่างแน่นอน เพียงแต่ใบหน้าของดรุณีร่างผอมบางผู้นี้เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เปี่ยมชีวิตชีวา ทั้งยังเยาว์วัยกว่าสี่ถึงห้าปี ยังมีดวงตาคู่นั้นของนาง ดวงตาที่กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ แฝงแววหลุกหลิกซุกซนอยู่ตลอดเวลา

นางชำเลืองดูเทียบยาใบนั้นแวบหนึ่งแสร้งส่งเสียงโอดครวญขึ้น “พี่ปวยฮวย...ข้าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรทำไมต้องให้กินยาบำรุงพวกนี้อีก...ยาพวกนั้นท่านพี่เก็บไว้เถอะ ไม่รู้ต่อไปยังต้องใช้อีกเท่าไหร่...”

ดรุณีผู้มีอายุมากกว่าหันมาดุแกมว่าเล็กน้อย “คาดว่ายังต้องใช้อีกมาก หากเจ้ายังไม่เลิกรังควานผู้อื่นเสียที เอ็งฮวย...คนที่ข้าต้องจำใจรักษาล้วนเป็นฝีมือของเจ้าทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

ลิ้มเอ็งฮวยค้อนใส่พี่สาวของตนเล็กน้อย ส่ายหน้าหัวเราะร่วน “ใครให้พวกนั้นแต่ละคนมีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมทั้งนั้นล่ะฝีมือไม่ได้เรื่อง....แล้วถ้าไม่เพราะข้าจะมีใครมาให้ท่านพี่รักษาล่ะ”

“คนที่อยากจะให้เซียนแพทย์ไร้ใจรักษาย่อมมีอยู่มากมาย บางคนมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าหมู่ตึกตระกูลลิ้มสามวันสามคืนก็ยังไม่ได้พบ บางคนลงทุนมาปลูกบ้านเรือนอยู่ละแวกนั้นนานนับเดือน ทุกวันเดินมาร้องวิงวอนอยู่นอกประตูบ้านแต่คนข้างในกลับทำเป็นไม่ได้ยินเสียฉิบ...ยิ่งไม่ทราบมีอีกมากน้อยเท่าไหร่ที่สิ้นลมหายใจอยู่หน้าหมู่ตึกตระกูลลิ้ม” บัณฑิตผู้นั้นว่ากล่าวแดกดันเสียงดัง ในมือยังคงสะบัดพู่กันดื่มเหล้าไม่หันมามองแขกผู้มาใหม่ทั้งสองแม้แต่น้อย

ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววกลอกกลิ้งจ้องมองไปที่บัณฑิตซอมซ่อแล้วกล่าวว่า

“มีมากน้อยเท่าไหร่นั้นไม่ทราบ ท่านพี่ข้ายินดีรักษาแต่ผู้ที่ควรรักษาเท่านั้น หมู่ตึกตระกูลลิ้มของเราไม่ใช่สถานสงเคราะห์ หากต้องรักษาให้กับทุกคนที่แห่กันมาวันๆคงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี สำหรับผู้ที่อุตส่าห์เสียเวลารอคอยจนต้องเสียชีวิตลง สกุลลิ้มของเราจัดหาโลงศพอย่างดีให้กับทุกคนมิเคยขาดตกบกพร่อง พี่ปวยฮวย...มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ข้าไม่เคยเชื่อถือเสมอมา...แต่ในวันนี้เห็นทีจะไม่เชื่อไม่ได้แล้ว”

ลิ้มปวยฮวยยังกล่าวเรียบๆ “เป็นคำพูดประโยคใด”

ดรุณีผู้เยาว์วัยกว่า ดวงตายิ่งกลอกกลิ้ง กล่าววาจายิ่งก่อกวนผู้คน

“ผู้ต้องการพบกลับไม่ได้พบ แต่ผู้ไม่คิดจะเจอกลับต้องได้เจอะเจอทุกที...”

ใบหน้าของลิ้มปวยฮวยฝืนยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ฉาบไปด้วยความเย็นชายิ่งทำให้หน้าของนางดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง “เจ้าคิดว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง”

“ย่อมต้องถูกอย่างแน่นอน...ปลายปีที่แล้วเจ้าสำนักเตียมชังกับมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักคุนลุ้น นัดหมายประลองยุทธกัน ตาเฒ่าทั้งสองต่างหวังให้การประลองครั้งนั้นทราบสืบทอดไปถึงคนรุ่นหลังจึงเชิญให้คนผู้หนึ่งไปบันทึกการประลอง”

น้ำเสียงเย้ยหยันเชิดขึ้นเล็กน้อย “ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนยุทธภพของพวกเขา แต่นึกไม่ถึงคนผู้นั้นกลับไม่ยอมให้เกียรติ์มาชม”

สายตาเจ้าเล่ห์หันไปมองบัณฑิตซอมซ่ออีกแวบหนึ่ง

“ท่านพี่จำงานแต่งงานของศิษย์คนโตแห่งสำนักบู๊ตึ๊งกับบุตรีของเจ้าสำนักฮั้วซัวเมื่อต้นปีนี้ได้ไหม งานนี้สกุลลิ้มของเรายังต้องให้ข้ากับท่านพี่ไปเป็นตัวแทนท่านพ่อ แต่แขกคนสำคัญที่เจ้าภาพหวังจะให้จดบันทึกงานแต่งงานครั้งยิ่งใหญ่นี้กลับไม่ยอมไปเสียฉิบ...”

น้ำเสียงประชดประชัดเน้นทีละคำช้าๆชัดเจน จนกลายเป็นถากถางเสียดสี

“ย่อมไม่มีผู้ใดคาดคิด ท่านบัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้ จะมานั่งแต่งโคลงร่ำสุราอยู่ในสถานที่ไร้สาระเช่นนี้”

ลิ้มปวยฮวยจ้องเขม็งไปยังบัณฑิตผู้นั่น ดวงตานางไม่เคยปรากฏแววกลอกกลิ้งเยี่ยงน้องสาวแม้สักครั้ง

“คราวนี้เจ้าพูดผิดแล้วล่ะเอ็งฮวย เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นผู้เกลียดเรื่องไร้สาระที่สุด บางทีในสถานที่นี้อาจยังมีสิ่งใดน่าสนใจกว่าเรื่องของพวกสำนักต่างๆที่เจ้าว่ามานั่นก็ได้”

ลิ้มเอ็งฮวยเบ้ปาก กวาดสายตามองสภาพภายในโรงเตี๊ยมอย่างดูแคลน “ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อแบบนี้ยังมีเรื่องอะไรน่าสนใจ?”

“นั่นเจ้าคงต้องถามพี่เอี้ยเองแล้ว”

บัณฑิตซอมซ่อวางพู่กันในมือหันมาที่โต๊ะของคนทั้งสอง หัวเราะอย่างปราศจากความจริงใจด้วยเสียงอันดัง “แม่นางลิ้มกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ยามอากาศเยี่ยงนี้ที่ใดมีสุราอุ่นๆย่อมนับได้ว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง”

“อากาศเยี่ยงนี้น่ากลัวสุราอุ่นๆจะยังไม่พอกระมัง อีกสักครู่หากไม่รังเกียจขอเชิญทดลองยาบำรุงสูตรพิเศษของข้า นอกจากจะสามารถต้านทานอากาศเยี่ยงนี้ได้เป็นอย่างดีแล้วยังทำให้สุรามีรสชาติดีขึ้นอีกด้วย”

: เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้เอี้ยป้อฮู้ถึงกับหัวเราะลั่นออกมาจริงๆ “นี่ต้องนับเป็นโชควาสนาของข้าต่างหาก ยาสูตรของเจ้ายังจะมีผู้ใดกล้าปฏิเสธ น่ากลัวคำร่ำลือที่ผู้อื่นว่ากล่าวเจ้าล้วนเป็นการเข้าใจเจ้าผิด เพราะหากเจ้าเป็นเซียนแพทย์ไร้ใจตามคำร่ำลือย่อมต้องไม่มากน้ำใจขนาดนี้...”

คิ้วเรียวเล็กกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่วาจาที่กล่าวยังสงบราบเรียบดุจเดิม “คำเซียนแพทย์นั้นไหนเลยจะกล้ารับไว้ แต่ที่ผู้อื่นว่ากล่าวข้าไร้น้ำใจล้วนไม่ผิดหรอก...”

ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวลอยๆ “ได้ข่าวว่าเย็นวันนี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช เทพพู่กันคู่ยะเยือกประลองกับมือสังหารไร้รักนั่นก็นับเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง”

บัณฑิตซอมซ่อลุกขึ้นยืนบิดร่างท้วมสมบูรณ์แต่สูงยิ่งไปมาอย่างเกียจคร้าน

“นั่นนับว่าน่าสนใจอะไร นาคามูระ โยชิไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน”

“ดังนั้นท่านจึงไม่ได้ไปชม?”

บัณฑิตไร้ร่องรอยพยักหน้าแต่มันไม่พูดต่อแล้ว เพราะเสียงขลุ่ยที่เงียบไปชั่วครู่กลับดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงของมันยืนนิ่งร่องรอยความเกียจคร้านหายไปจนสิ้น นัยน์ตาแม้ยังแดงกล่ำด้วยฤทธิ์สุรากลับปราศจากอาการเมามายโดยสิ้นเชิง แววเดือดดาลใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจแรงๆอย่างหงุดหงิด กระแทกตัวนั่งลงยกไหสุราขึ้นดื่มดับความเดือดดาล ตลอดสามวันที่มันนั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิทราบได้ยินเสียงนี้มากน้อยเท่าไหร่

สายตาปรายกลับไปจับจ้องใบหน้าลิ้มปวยฮวยคล้ายไถ่ถาม ‘ท่านยังจำเสียงขลุ่ยนี้ได้หรือไม่’ แต่วาจานี้มิได้กล่าวออกไป มันไม่จำเป็นต้องกล่าวเพราะคำตอบปรากฏชัดบนดวงหน้างาม

ดวงตาเขม็งดุจพญาจิ้งจอกมองนางดั่งจะกระชากสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจดรุณีผู้นี้ออกมา “เจ้าคงทราบแล้วว่าละแวกนี้มีเรื่องใดน่าสนใจ...”

“นี่...เสียงขลุ่ยนี่” ตลอดเวลาที่เสียงขลุ่ยวังเวงดังขึ้นลิ้มเอ็งฮวยที่หลุกหลิกซุกซนถึงกับนั่งนิ่งอึ้ง ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ตอนนี้วาจายิ่งกล่าวยิ่งตะกุกตะกัก “เป็น...เป็นเขาจริงๆหรือ...”

บัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้ได้แต่พยักหน้า

ลิ้มปวยฮวยที่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เช่นกัน พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับน้ำเสียงของตนให้ราบเรียบราวไร้เรื่องราวใดๆ

“ท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อเสาะหาตัวคุณชายปึงนี่เอง...คุณชายปึงอยู่ที่ไหน...”

“เฮอะ...ข้าจะรู้ได้ยังไง” เอี้ยป้อฮู้แค่นเสียงตอบอย่างหงุดหงิด

เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ปึงเพียวเซาะ ฝังตัวอยู่ในหมู่ตึกของตนไม่ยอมก้าวเท้าออกไปไหน ไม่ว่าในยุทธภพเกิดเรื่องราวใดขึ้นมันล้วนไม่ใส่ใจ ผู้คนในยุทธภพต่างร่ำลือ บัดนี้มันได้กลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งไปแล้ว เอี้ยป้อฮู้พยายามไปขอเยี่ยมเยียนมันที่หมู่ตึกตระกูลปึงหลายครั้งหวังจะสืบเรื่องราวว่ามันเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรแล้ว เรื่องราวความตกต่ำของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจยิ่ง หากมันได้เรื่องราวใดกลับมาเขียนหนังสือสักเล่มสองเล่มย่อมต้องมีผู้คนแห่มาขอซื้ออย่างแน่นอน

แต่ประตูหมู่ตึกตระกูลปึงก็ปิดสนิทไม่ต้อนรับคนนอกมาตลอดสิบปี จนวันหนึ่งมันจึงได้ข่าวจากคนส่งข้าวสารของร้านขายข้าวใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมันซื้อตัวไว้ คนผู้นี้ต้องไปส่งข้าวให้หมู่ตึกตระกูลปึงเป็นประจำ จึงได้ยินบ่าวไพร่ซุบซิบกันว่าปึงเพียวเซาะได้รับเทียบเชิญไปงานชุมชุนที่หมู่ตึกพันอักษร บรรดาบ่าวไพร่ต่างคิดว่าคุณชายของมันคงไม่สนใจไยดี แต่มิคาดเพียงวันรุ่งขึ้นปึงเพียวเซาะก็ออกเดินทางจากบ้านไปแล้ว หลังจากเที่ยวเสาะหาตามเส้นทางสู่หมู่ตึกพันอักษรอยู่เกือบหนึ่งเดือนมันจึงได้ยินเสียงขลุ่ยนี้

ถึงตอนนี้มันจะได้ยินเสียงขลุ่ยอย่างขัดเจน ปึงเพียวเซาะต้องอยู่ใกล้อย่างยิ่งแต่จนใจที่มันกลับมิอาจระบุความใกล้ไกลของจุดที่อยู่ของเจ้าของเสียงขลุ่ยได้ ดังนั้นมันถึงกับต้องเมามายอยู่ที่นี่สามวันแล้ว

เสียงขลุ่ยราวปีศาจกู่ร้องสลับซับซ้อนยิ่งนัก เสียงเหมือนอยู่ทางซ้ายแต่ดังแว่วมาจากทางขวา ได้ยินเสียงโหยหวนแผ่วเบาราวอยู่ห่างไกลแต่ท่วงทำนองกลับชัดเจนกระจ่างราวผู้เป่ามานั่งอยู่เบื้องหน้า บางครั้งยังดังๆแผ่วๆสลับกับไกลๆใกล้ๆคล้ายจงใจอำพลางแหล่งกำเนิดของตน

แต่ถึงอย่างไรสามวันที่เอี้ยป้อฮู้ต้องนั่งอยู่ที่นี่กลับไม่สูญเปล่าเพราะมันยังได้ข้อสรุปประการหนึ่ง...

ท่วงทำนองของเสียงขลุ่ยที่หดหู่รันรดเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าเวลาสิบปีมิได้บรรเทาบาดแผลในจิตใจจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นให้จางหายไปจากใจบุรุษผู้นี้แม้แต่น้อย

ปึงเพียวเซาะคงจะคล้ายกลายเป็นคนไม่สนใจเรื่องราวใดๆไปแล้วจริงๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ต้องไม่ได้กลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งอย่างที่ผู้คนร่ำลือกันแน่ๆ เพราะขี้เมาอันดับหนึ่งต้องไม่สามารถทำให้บัณฑิตไร้ร่องรอยหัวหมุน ได้แต่ผุดลุกผุดนั่งทำอะไรไม่ถูก จนต้องจมอยู่กับไหสุราไม่สามารถไปไหนได้ถึงสามวันอย่างแน่นอน!

“ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญกลางเดือนหนาว...ยามแสงดาวลางเลือนเหมือนใจข้า...ในยุทธภพแม้มีคนอยู่หลายประเภทแต่บุคคลประเภทนี้นับว่ามีอยู่ไม่มากจริงๆ...” กล่าวพลางกรอกสุราลงคออีกแต่คราวนี้กลับดื่มเพียงเล็กน้อยซ้ำยังค่อยๆกรอกลงคออย่างเชื่องช้ายิ่ง “คนผู้นี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในยุทธภพมานานถึงสิบปีแต่คราวนี้กลับยอมเดินทางมาถึงที่นี่...”

ดรุณีผู้ซุกซนนั่งนิ่ง ครุ่นคิดพึมพำกับตนเองเบาๆ “หรืองานชุมนุมครั้งนี้ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธได้จริงๆ”

“นั่นย่อมแน่นอน...ไม่เช่นนั้นไหนเลยสองเซียนตระกูลลิ้มจะยอมเดินทางฝ่าหิมะกลางฤดูตงเทียนมาถึงที่นี่ได้...” สายตาแหลมคมราวจะเจาะทะลุหัวใจผู้คนมองดรุณีทั้งสองเป็นเชิงไถ่ถาม

“ผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังหมู่ตึกพันอักษรล้วนต้องใช้เส้นทางนี้ คาดว่าหลายในวันนี้ต้องมีผู้คนที่คาดคิดไม่ถึงยินยอมเดินทางยามอากาศเยี่ยงนี้เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน” แม้เสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยจะทำให้หัวใจของลิ้มปวยฮวยเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดสิบปี จิตใจยิ่งว้าวุ่นวิตกกังวล แต่ยังพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ยอมเผยความรู้สึกของตนต่อหน้าผู้อื่นทั้งสิ้น...เป็นคุณชายปึงจริงๆ...ทำไมเขาถึงเดินทางมาที่นี่...หรือ...

“หรือครั้งนี้คุณชายปึงจะเข้าร่วมการประลองด้วย!” ลิ้มเอ็งฮวยโพล่งออกมาสีหน้าแตกตื่นอย่างยิ่ง

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะจนตัวงอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

ลิ้มปวยฮวยได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเอี้ยป้อฮู้ คุณชายปึงคล้ายตายไปจากยุทธภพตั้งแต่สิบปีที่แล้วจริงๆ...ถ้าอย่างนั้น...

น้ำเสียงที่ปกติมักราบเรียบจนเกือบจะไร้ความรู้สึกของลิ้มปวยฮวยถึงกับสั่นเครือเล็กน้อย นางไม่ทราบนี่เรียกว่าความรู้สึกใดกันแน่ สงสาร เห็นใจหรือเวทนาหรือเป็นสิ่งใดแน่...หรือเซียนแพทย์ไร้ใจจะกลับมีหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง!

“ผ่านไปสิบปี...แต่เสียงขลุ่ยของคุณชายปึงมิได้เปลี่ยนไปจากวันนั้นเลย...ในยุทธภพแม้มีคนอยู่หลายประเภทแต่บุคคลประเภทนี้นับว่ามีอยู่ไม่มากจริงๆ”

เสียงขลุ่ยหยุดชะงักลงอีกแล้ว พร้อมกับความเงียบที่เข้าปกคลุมห้องโถงแห่งนั้น ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงบุรุษเจ้าของเสียงขลุ่ยอีก ราวกับทุกคนพอใจที่จะให้การสนทนายุติลงพร้อมกับการเงียบหายไปของกระแสเสียงคร่ำครวญเชือดเฉือนจิตใจผู้คน

บางทีอาจเพราะทั้งหมดไม่ต้องการพูดคุยถึงเรื่องราวของบุรุษผู้เสมือนตายไปจากยุทธภพถึงสิบปีแล้ว

ที่เป็นเช่นนี้เนื่องเพราะเหตุผลหลายประการ ทุกผู้คนมักมีเหตุผลของตนที่ดียิ่ง

ผู้คนส่วนมาก ที่ไม่ยินยอมพูดถึงผู้ที่จากไปแล้ว เป็นเพราะไม่ต้องการหวนนึกถึงช่วงเวลาบางช่วง

เป็นช่วงเวลาที่หวนคิดถึงแล้วมักทำให้ตนเองต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง

เป็นช่วงเวลาใด?

ย่อมต้องเป็นช่วงเวลาที่ท่านอยู่ร่วมกับคนผู้นั้นอย่างมีความสุขยิ่ง

เนื่องเพราะท่านตระหนักดีว่าช่วงเวลาเช่นนั้นไม่สามารถหวนคืนกลับมาอีกแล้วตลอดกาล!

ผู้ใดเป็นเช่นนี้?

ความเงียบปกคลุมห้องโถงของโรงเตี๊ยมซอมซ่อครู่ใหญ่

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งจริงๆ ความเงียบสงบสามารถแทรกตัวเข้าปกคลุมเพียงไม่นาน ภายนอกโรงเตี๊ยมพลันบังเกิดเสียงดัง ต๊อกๆๆๆ ตามทางเดิน เหมือนมีคนใช้วัตถุแข็งๆเคาะบนพื้นหิมะหนาแกร่ง ยิ่งเดินยิ่งใกล้โรงเตี๊ยมซอมซ่อแห่งนี้เข้ามาทุกขณะ จังหวะการเคาะแต่ละครั้งล้วนเท่ากันมิผิดเพี้ยน

เมื่อได้ยินเสียงเคาะพื้นดังต๊อกๆๆที่ใกล้เข้ามาเอี้ยป้อฮู้รีบหยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกจากห่อผ้า หันไปทางประตูโรงเตี๊ยมซึ่งบุผ้านวมผืนใหญ่ตะโกนออกไปเสียงดังกังวาน “สุราของร้านนี้นับว่าไม่เลวจนเกินไปทั้งยังอุ่นอย่างยิ่ง...เกี๊ยวน้ำของที่นี่รสชาตินับว่าใช้ได้ทีเดียว...หรือท่านคิดว่าที่ด้านนอกยังมีสิ่งใดน่าสนใจยิ่งกว่านี้” ปลายพู่กันจรดบนกระดาษขาวใจจดจ่อรอเสียงตอบจากอีกฝ่าย

เต็งพู้ย้งหยุดฝีเท้าลงกระทันหันนางจำสุ้มเสียงคนผู้นี้ได้ดี ทั้งยังมั่นใจว่าการเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรคราวนี้จะต้องเจอะเจอคนผู้นี้แน่นอน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันเร็วขนาดนี้ นางหันไปยังประตูโรงเตี๊ยมราวกับชั่งใจว่าควรเดินเข้าไปข้างในดีหรือไม่

“ด้านนอกไม่มีสิ่งใดน่าสนใจจริงๆ ข้าเพียงแต่ไม่อยากรบกวนเวลาเขียนหนังสือของพี่เอี้ยเท่านั้น...” แม้ยังไม่เดินเข้าไปด้านในแต่สุ้มเสียงของนางกลับดังประหนึ่งได้มานั่งอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้ว

เพียงได้ยินเสียงตอบกลับ ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับยิ้มจนแก้มแทบปริ กระโดดลุกขึ้นไปเปิดผ้านวมด้านในประตูให้กับแขกผู้มาใหม่ในทันที ครู่หนึ่งจึงเดินคล้องแขนหญิงวัยยี่สิบปลายๆเข้ามาในร้าน

เต็งพู้ย้งสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ที่หนาอย่างยิ่ง แม้ไม่ล้ำค่าเท่ากับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกของพี่น้องตระกูลลิ้ม แต่ยังสามารถต้านทานลมหนาวที่พัดโชยอยู่ด้านนอกอย่างมีประสิทธิภาพ ในมือนางยังถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่ธรรมดาอันหนึ่ง นางถูกลิ้มเอ็งฮวยจูงมือให้เดินไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับพวกนางสองพี่น้อง

ลิ้มปวยฮวยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างยิ่งเมื่อพบเห็นสตรีผู้นี้ เป็นรอยยิ้มอย่างยินดีที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ยามยิ้มเช่นนี้ทำให้นางถึงกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สีหน้าที่เฉยเมยเมื่อคลายลงพลันบังเกิดความงดงามตามธรรมชาติขึ้นอีกหลายส่วน โดยเฉพาะดวงตาที่ใสกระจ่างไร้แววกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ตลอดกาล นี่จึงสมควรเป็นใบหน้าของดรุณีผู้มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปีอย่างนางโดยแท้

เต็งพู้ย้งอมยิ้มกับตนเอง “ยากยิ่งจริงๆที่จะพบเจ้าทั้งสองในสถานที่แบบนี้”

“หากไม่เป็นเพราะโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี้เต็มหมดเราพี่น้องคงไม่มาพักโรงเตี๊ยมซอมซ่ออย่างนี้หรอก ข้าบอกท่านพี่แล้วขอเพียงจ่ายเงินให้มากหน่อยไหนเลยหาห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชไม่ได้ แต่ท่านพี่ยังยืนยันให้หาโรงเตี๊ยมอื่นพัก...แฮะ...ในที่สุดกลับมีแต่ที่นี่ที่มีห้องว่าง”

สตรีผู้พึ่งมาถึงยังคงยิ้มละไม “ห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเต็มมาหลายวันแล้วหากเถ้าแก่สามารถหาห้องพักให้เจ้าสองพี่น้องได้ คาดว่าต้องมีแขกบางคนต้องออกไปนอนตากลมหนาวอยู่ด้านนอก”

“เรื่องนั้นข้ากลับมิใส่ใจ...พูดก็พูดเถอะถ้าหลายวันนี้หิมะไม่ตกหนักเราคงเดินทางใกล้ถึงหมู่ตึกพันอักษรแล้ว” ลิ้มเอ็งฮวยเชิดปลายจมูกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

เอี้ยป้อฮู้หันมากล่าวกับพี่น้องตระกูลลิ้ม “เจ้าพูดถูกจริงๆการนัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธ”

“ผู้อื่นเชื้อเชิญท่านมักเพราะต้องการให้ท่านกระทำเรื่องบางอย่างให้ ผู้อื่นเชื้อเชิญข้าก็ย่อมต้องการให้ข้ากระทำเรื่องบางอย่างให้เช่นเดียวกัน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอเชื้อเชิญพี่พู้ย้งบ้าง” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวพลางหยิบไพ่ชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

“เอ็งฮวย...พี่พู้ย้งเพิ่งมาถึงเจ้าก็ก่อกวนเสียแล้ว” ลิ้มปวยฮวยดุน้องตนพร้อมทั้งรินน้ำชาให้เต็งพู้ย้ง

: เต็งพู้ย้งกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “น้องเอ็งฮวย ตระกูลเต็งของข้าไม่ได้ร่ำรวยนัก เกรงว่าไม่อาจรับการเชื้อเชิญของเจ้าได้บ่อยครั้ง อีกทั้งคนอย่างข้าชมชอบที่จะทำนายโชคชะตาให้ผู้อื่นเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าประมือกับปีศาจพนันน้อยอย่างเจ้าได้”

“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอเชื้อเชิญเรื่องที่ท่านถนัดบ้าง...” เอี้ยป้อฮู้แทรกขึ้นพร้อมทั้งเดินมานั่งที่โต๊ะเดียวกับสตรีทั้งสาม

เต็งพู้ย้งหยิบเหรียญเงินออกมาสามเหรียญส่งให้เอี้ยป้อฮู้ บัณฑิตซอมซ่อโยนเหรียญขึ้นในอากาศ เมื่อเหรียญหล่นลงมา เต็งพู้ย้งใช้มือสัมผัสที่หน้าเหรียญทั้งสามนั้นครั้งหนึ่งแล้วเก็บมันไว้ในแขนเสื้อดังเดิม

แม้นางจะไม่ใช่ดรุณีวัยแรกรุ่นแต่รูปโฉม ยังคงติดตาผู้พบเห็นอย่างยิ่ง นั่นเพราะนางมีสีหน้าสดชื่นยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ลักยิ้มที่น่าดูทั้งสองข้างราวกับจะปรากฏอยู่บนใบหน้านางตลอดกาล ทำให้ใบหน้าใสกระจ่างดูกลมกลึงราวดวงจันทร์คืนเพ็ญ เมื่อบวกกับรูปร่างที่ไม่สูงนักและยังอวบอิ่มเล็กน้อย ยิ่งทำให้นางดูเป็นดรุณีที่แสนใจดี ผู้ได้พบเห็นล้วนต้องเกิดความรู้สึกเป็นมิตรขึ้นโดยธรรมชาติอีกหลายส่วน ทั้งยังปราศจากริ้วรอยของวัยที่ล่วงเลยมา เพียงแต่เสียดายที่ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นแววตาทั้งสองของนางได้...

เนื่องเพราะดวงตาทั้งสองของนางได้ดับสนิทไปนานแล้ว!

“ฟ้าแยกจากน้ำ...ดูเหมือนการเดินทางคราวนี้ท่านจะไม่มีโชคเสียแล้ว...เพราะไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดล้วนต้องขัดแย้งกับผู้อื่นอยู่เรื่อยไป ยิ่งท่านพยายามมากขึ้นเท่าไหร่กลับยิ่งขัดแย้งกับผู้อื่นมากขึ้นทุกทีจนไม่อาจกระทำเรื่องราวใดๆที่ท่านต้องการให้สำเร็จได้ สายน้ำก่อเกิดจากฟ้า ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกหล่อเลี้ยงด้วยสายน้ำ หากฟ้าแยกจากน้ำสรรพสิ่งต่างๆจะอยู่ได้อย่างไร...

ผู้ใดได้ฟังคำนายว่าตนจะไม่มีโชคอย่างยิ่งหากไม่หงุดหงิดก็ต้องหดหู่ไม่สบายใจเป็นแน่ แต่เอี้ยป้อฮู้กลับอยู่นอกเหนือจากนี้ มันยังคงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “คนที่ต้องเขียนหนังสือยังชีพอย่างข้าก็ย่อมต้องมีข้อเขียนบางเรื่องที่อาจล่วงเกินผู้อื่นไปบ้าง...ตลอดสิบกว่าปีมานี้ข้ามีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นจนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว”

“แต่หวังว่าพี่เอี้ยคงไม่นำเรื่องไร้สาระของข้าไปเขียนหรอกนะ ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องขายหน้าสหายชาวยุทธเป็นแน่”

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะขึ้นเสียงดัง “นี่ท่านยังกลัวว่าผู้อื่นจะรู้จักอีกหรือ ในยุทธภพนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จักซินแสลิขิตฟ้า!”

“ในยุทธภพนี้คาดว่าผู้ที่ไม่เคยอ่านหนังสือของท่านคงมีไม่กี่คนเช่นกัน...”

“หมู่ตึกพันอักษรความจริงเป็นสถานที่สวยงามแห่งหนึ่ง คราวนี้เมื่อไปถึงท่านก็ควรอยู่นานหน่อยโชคของท่านอาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้...” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวขึ้นพร้อมกับชำเลืองสายตาประชดประชันไปยังเอี้ยป้อฮู้ พลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “และบางทีอาจทำให้ข้อความในหนังสือของท่านเล่มนี้มีอะไรที่ยืนยันได้บ้าง ไม่ใช่มีแต่เรื่องไร้สาระอย่างนี้”

สีหน้าของเอี้ยป้อฮู้แปรเปลี่ยนเป็นขมึงทึงในทันที แววตาเย็นชาจ้องนางเขม็ง “เจ้าลืมแล้วหรือว่าเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษรเมื่อสิบปีก่อนข้าก็อยู่ด้วย...”

“ท่านอยู่แล้วข้าไม่อยู่หรือไง พี่พู้ย้งก็อยู่พี่ปวยฮวยก็อยู่...”

“ถึงพวกเจ้าจะอยู่แต่ตอนนั้นพวกเจ้ายังเด็กอยู่จะไปรู้อะไร”

“อ้อ...แล้วตอนนั้นท่านเป็นตาแก่แล้วงั้นสิ อายุท่านตอนนั้นก็มากกว่าพี่พู้ย้งแค่สามหรือสี่ปีมากกว่าพี่ปวยฮวยก็แค่หกหรือเจ็ดปี” ลิ้มเอ็งฮวยยิ่งเสียงดังยิ่งทุ่มเถียงยิ่งเผ็ดร้อนขึ้นทุกที

“เอ็งฮวยเจ้าอย่าพูดเหลวไหลสิ ในช่วงสิบปีนี้ชาวยุทธคนไหนบ้างที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้” เซียนแพทย์ไร้ใจจ้องมองหนังสือบนโต๊ะอย่างเย็นชา วาจาแม้ฟังคล้ายห้ามปรามน้องของตน แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวพุ่งไปที่บัณฑิตไร้ร่องรอยโดยตรง

เอี้ยป้อฮู้สีหน้าแดงกล้ำ แต่มันยังฝืนกล้ำกลืนไว้เพราะทราบดีฝีมือของตนไม่สามารถตอแยกับเซียนแพทย์ตระกูลลิ้มได้

“ข้าย่อมไม่กล้าว่าหนังสือของท่านบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นเรื่องเหลวไหลแน่...ข้าแค่พูดตามท่านพ่อเท่านั้นแหละ” นางว่าพลางทำท่าทางประกอบเหมือนคนแก่ร่างอ้วนท้วน น้ำเสียงทุ้มใหญ่อยู่ในลำคอเลียนแบบประมุขบ้านตระกูลลิ้มบิดาของตน

“เฮ้ย!...หนังสือไร้สาระเขียนมาได้ยังไงใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้าว่าแต่ผู้อื่นน่าสงสัยแต่ข้าว่าเจ้านี่แหละน่าสงสัยที่สุด” นางแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จอมยุทธอี้ท่านช่างโชคร้ายจริงๆ เฮ้ย!”

เมื่อลิ้มเอ็งฮวยกล่าวจบแต่ละคนที่อยู่ภายในห้องถึงกับชะงักถ้อยคำลงโดยไม่ได้นัดหมาย แม้แต่ตัวนางเองก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อคิดได้ว่าตนได้กล่าวสิ่งที่ไม่ควรกล่าวอย่างยิ่งออกมา!

“ไม่ทราบว่าท่านลุงมาด้วยหลานต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปคารวะ” เต็งพู้ย้งหัวเราะเสียงใสดังกังวาน ล้อเลียนนางตอบ

เพียงประโยคเดียวของนางสามารถทำให้ความตึงเครียดในห้องสลายลงโดยพลัน!

ลิ้มเอ็งฮวยทำท่าลูบเคราใต้คางล้อเลียนบ้าง “ไม่ต้องเกรงใจๆ” แล้วยังไม่วายหันกลับไปแดกดันเอี้ยป้อฮู้อีกประโยคหนึ่ง “ความจริงท่านพ่อยังพูดมากกว่านี้อีกนะแต่ข้าน่ะไม่อยากจะบอกท่านหรอก”

เถ้าแก่ที่ออกไปต้มยาเดินกลับเข้ามาเช็ดโต๊ะต่ออีกแล้ว

ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก เป็นเสียงฝีเท้าของคนสองคน ไม่เพียงเสียงฝีเท้ายังมีเสียงผิวใบไม้ดังล่องลอยแผ่วเบา ท่วงทำนองในกระแสเสียงคล้ายคลึงอย่างแยกไม่ออกกับเสียงขลุ่ยโหยยะเยือกของปึงเพียวเซาะจนแทบจะเป็นท่วงทำนองเดียวกัน!

สามสตรีหนึ่งบุรุษในโรงเตี๊ยมทราบในทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร

ผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนี้เป็นสตรี...

สตรีที่นิยมผิวใบไม้ต้องมีไม่มาก ยิ่งท่วงทำนองเช่นนี้ยิ่งมีเพียงผู้เดียว!

เสียงผิวใบไม้หยุดลงเบื้องหน้าโรงเตี๊ยมพร้อมกับเสียงฝีเท้า ผู้มาเยือนทั้งสองจ้องมองรอยไม้เท้าของเต็งพู้ย้งที่ทิ้งรอยสม่ำเสมอบนพื้นหิมะ ปรากฏชัดรอยนั้นได้หายเข้าไปในโรงเตี๊ยมซอมซ่อ ทั้งคู่ยังยืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่มีวี่แววว่าจะเดินเข้ามาในร้าน

เอี้ยป้อฮู้แววตาเป็นประกาย แสดงอาการลิงโลดกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า ไม่ใส่ใจจะโต้เถียงกับลิ้มเอ็งฮวยอีกแล้ว สำหรับมันแล้วผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกยังน่าสนใจมากกว่าดรุณีเจ้าเล่ห์ผู้นี้หลายสิบเท่า “เถ้าแก่ดูเหมือนว่าวันนี้การค้าของท่านจะดีอย่างยิ่ง...”

“นอกจากข้าจะชมชอบที่จะทำนายโชคชะตาให้ผู้อื่น ในบางครั้งยังชอบที่จะเลี้ยงผู้อื่นอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่ทราบคุณหนูรองกับคุณหนูสามจะให้เกียรติ์ได้หรือไม่”

เสียงที่หากได้ยินครั้งหนึ่งจะต้องไม่มีบุรุษใดกล้าลืมเลือนตอบกลับจากด้านนอก “พี่พู้ย้งให้เกียรติ์เกินไปแล้ว เราพี่น้องยังต้องรีบเดินทาง น่าเสียดายที่ไม่อาจให้ท่านเลี้ยงได้” ผู้ได้ยินเสียงนี้ต้องคาดได้ว่าเจ้าของเสียงถึงไม่ใช่เทพธิดามาจุติ แต่อย่างน้อยต้องงดงามไม่แพ้โฉมงามอันดับหนึ่งแน่นอน!

เอี้ยป้อฮู้รีบแทรกขึ้น น้ำเสียงนุ่มนวลเอาอกเอาใจ “อากาศเยี่ยงนี้คุณหนูรองจะต้องรีบร้อนไปใย หมู่ตึกพันอักษรไม่เดินหนีไปไหนหรอก...”

“พี่พู้ย้งอุตส่าห์เชื้อเชิญแต่พวกเจ้ากลับไม่ให้เกียรติ์...คนของตระกูลเซี่ยงกัวคงคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถมากกว่าผู้อื่นสินะ” ลิ้มเอ็งฮวยทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิดท่าทีของเจ้าของเสียงที่อยู่ด้านนอกเป็นอย่างยิ่ง

คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน มิใช่คุณหนูรองแต่เป็นคุณหนูสาม...

เซี่ยงกัวบ่อซวงเดินเข้ามาในร้านเพียงคนเดียว

ทั้งอายุและรูปร่างของนางดูใกล้เคียงกับลิ้มเอ็งฮวย แต่รูปร่างหน้าตาแท้จริงของนางเป็นเช่นไรกลับไม่มีผู้ใดมองเห็น เพราะนางสวมชุดกันหนาวที่หนาอย่างยิ่งปกปิดร่างกายจนมิดชิด ยังมีผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ปิดหน้าตา เผยให้เห็นเพียงแววตาขมึงทึงดุดันทั้งคู่เท่านั้น

“แล้วอย่างเจ้ามีความสามารถใดกัน” นางยิ้มเยาะเย้ยหยัน “ข้านึกไม่ออกจริงๆว่า นอกจากวิชาหมาแมวแอบลอบทำร้ายผู้อื่นเจ้ายังจะสามารถทำสิ่งใดได้”

“ข้าไม่มีความสามารถอื่นจริงๆแต่แค่ทำให้เจ้าหยุดพูดข้าทำได้แน่นอน...”

ลิ้มเอ็งฮวยชักกระบี่ออกจากฝักข้างเอวอย่างรวดเร็ว คมกระบี่พริ้วไหวพุ่งตรงไปยังลำคอของเซี่ยงกัวบ่อซวง เซี่ยงกัวบ่อซวงเคลื่อนไหวตัวเล็กน้อยหลบคมกระบี่พร้อมใช้เพียงสองนิ้วคีบปลายกระบี่ไว้ นางดึงลำกระบี่อย่างรวดเร็วจนกระบี่หลุดจากมือลิ้มเอ็งฮวย พริบตานั้นคมกระบี่กลับไปจ่ออยู่ที่คอของลิ้มเอ็งฮวยแต่ผู้ที่ถือกระบี่กลับกลายเป็นเซี่ยงกัวบ่อซวง!

“ฝีมืออย่างเจ้ารอดมาถึงวันนี้ได้ยังไงนะ....เจ้าสำนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว”

ลิ้มเอ็งฮวยยังยิ้มแย้มไม่สะทกสะท้านมองปลายกระบี่ดั่งเป็นท่อนไม้ “คนที่ต้องสำนึกเสียใจเป็นเจ้าต่างหาก ฝีมือข้าน่ะสู้เจ้าไม่ได้แน่นอนเพราะคนอย่างข้าเก่งแต่วิชาหมาแมวแอบลอบทำร้ายผู้อื่นเท่านั้นแหละ”

เซี่ยงกัวบ่อซวงเริ่มรู้สึกตลอดทั้งร่างแข็งชาจนขยับไม่ได้กระบี่พลันหลุดจากมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง รอยยิ้มเยาะเย้นหายไปจนสิ้นใบหน้าซีดเผือด

“เจ้า!...พี่เม้งจู!...ข้า!...ข้า!”

ลิ้มเอ็งฮวยยิ้ม***มเกรียมอย่างเป็นต่อ “หรือเจ้าคิดว่าสามารถแย่งกระบี่จากข้าได้ง่ายขนาดนี้”

คุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูยังยืนสงบนิ่งอยู่ด้านนอกน้ำเสียงยังแจ่มใสเป็นปกติ “เรื่องล้อเล่นของเด็กๆแม่นางลิ้มคงไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง...”

ลิ้มปวยฮวยคล้ายไม่แม้แต่จะใช้หางตามองดรุณีที่ยืนแข็งทื่ออยู่ด้านข้าง นางเพียงแค่ขยับนิ้วมือแผ่วเบาสองครั้ง เกิดประกายสีเงินสามสี่สายพุ่งอย่างรวดเร็วไปที่ตัวเซี่ยงกัวบ่อซวง โดยที่นางไม่สามารถหลบหลีกได้แม้แต่น้อย

ร่างบอบบางในชุดกันหนาวทรุดฮวบลงคล้ายหลุดจากเครื่องพันธนาการ พยายามทรงกายลุกขึ้นยืน แววตาขมึงทึงจ้องลิ้มปวยฮวยกับลิ้มเอ็งอวยสลับกันไปมา

การลงมือใช้พิษและถอนพิษที่หมดจดเช่นนี้ แม้แต่เอี้ยป้อฮู้ยังอดกล่าวชมเชยไม่ได้ “ใช้พิษไร้รูปร่างขจัดพิษไร้ร่องรอย สมกับเป็นเซียนแพทย์ไร้ใจกับเซียนพิษไร้ตำหนิจริงๆ!”

ลิ้มปวยฮวยยังมีสีหน้าเฉยชา เชิดเสียงขึ้น “ฮึ...น้องเอ็งฮวยก็แค่ล้อคุณหนูสามเล่นเท่านั้น อย่างนางนอกจากความสามารถในการหลอกลวงผู้อื่นเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดถึงได้...”

แววเจ็บช้ำปรากฏชัดบนใบหน้าเซี่ยงกัวบ่อซวงดวงตาดุดันเอ่อล้นด้วยน้ำตา “ผ่านไปสิบปี...คนหนึ่งได้ฉายาเซียนแพทย์อีกคนเป็นเซียนพิษ ไม่มีผู้ใดที่เจ้ารักษาไม่ได้ ไม่มีพิษใดที่เจ้าไม่รู้จัก...ทำไม...ทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีความสามารถเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน”

นางน้ำตาคลอเดินออกไป ทิ้งให้ลิ้มปวยฮวยและลิ้มเอ็งฮวยนิ่งอึ้งกับคำตัดพ้อของนาง

เต็งพู้ย้งกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใยดุจพี่สาวไถ่ถามน้องของตน “ในเมื่อไม่อาจเลี้ยงสุรา แต่การทำนายของข้าใช้เวลาไม่มากนัก คุณหนูทั้งสองน่าจะพอให้เกียรติ์ได้”

น้ำเสียงของเซี่ยงกัวเม้งจูแฝงความเจ็บช้ำรันทดไม่ยิ่งหย่อนกว่าน้องของนาง “คำทำนายของซินแสลิขิตฟ้า แม้ไม่ถูกต้องทั้งสิบส่วนแต่อย่างน้อยยังแม่นยำถึงแปดส่วนข้าหรือจะไม่เชื่อถือ” น้ำเสียงยิ่งกล่าวยิ่งคล้ายคมกระบี่จงใจทิ่มแทงจิตใจผู้ฟัง

“หวังแต่ว่าเมื่อท่านคำนายแล้วไม่ว่าผลคำทำนายจะออกมาดีหรือร้ายอย่างไรขอให้บอกกับข้าตามความเป็นจริง...ไม่อ้ำๆอึ้งๆเหมือนเมื่อสิบปีก่อนก็พอแล้ว”

: เต็งพู้ย้งถึงกับอับจนถ้อยคำไปอีกคนสภาพไม่แตกต่างจากพี่น้องตระกูลลิ้ม

“เราพี่น้องคงต้องขอตัวก่อน...” สองพี่น้องตระกูลเซี่ยงกัวเดินจากไปแล้ว

สามสตรีหนึ่งบุรุษที่นั่งอยู่ภายในโรงเตี๊ยมต่างนิ่งเงียบหวนคิดถึงอดีตที่แต่ละคนพยายามจะลืมเลือนมาตลอดสิบปี

เต็งพู้ย้งได้แต่ฝืนยิ้ม กล่าวกับพี่น้องตระกูลลิ้ม “หลังเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษรนับเป็นเวลาสิบปีแล้วที่คนของตระกูลเซี่ยงกัวไม่เคยย่างก้าวเข้ามาในตงง้วนอีกเลย...

เอี้ยป้อฮู้ก็พึมพำขึ้นกับตนเองเบาๆ “นัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้จริงๆ”

เสียงฝีเท้าทั้งสองดังห่างออกไปทุกที...

ในที่สุดก็เงียบหายไปพร้อมกับหิมะที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย...
.........................................................................................................................................

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 3)




: บทที่ 3.

มหานครจุงกิงเมืองท่าค้าขายที่มีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลาจนเป็นเรื่องปกติ

ไม่ว่าดึกดื่นอย่างไรโรงเตี๊ยมเลื่องชื่อของที่นี่ยังมีคนเดินเข้าๆออกๆ ราวกับผู้คนในเมืองนี้ไม่ต้องการนอนหลับพักผ่อน

ชิกแชฮั้วฮึงเป็นโรงเตี๊ยมเลื่องชื่อที่สุดในมหานครแห่งนี้ ห้องพักชั้นบนทั้งหมดของตึกคะนึงหาถูกจองล่วงหน้าไว้หลายวันแล้ว แต่แขกเจ้าของห้องพิเศษสองห้องที่อยู่ด้านในสุดเพิ่งมาถึงหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าราวครึ่งชั่วยาม

จนขณะนี้เวลาล่วงเลยมาจนอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามจะรุ่งสางแล้ว

ภายในห้องหนึ่งดั่งจัดงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกลา ตั้งแต่เจ้าของห้องมาถึงจนล่วงมาจนยามนี้ภายในบังเกิดสารพัดสรรพเสียงประหนึ่งกำลังมีงานพิธีใหญ่โต

เสียงดนตรีกระจับปี่ ดีดพิณบรรเลงประสานสอดคล้องสร้างความครึกครื้นอย่างยิ่ง

เสียงนักร้องขับกล่อมสดใสกังวานยิ่งกว่าเสียงของสกุณาใดๆจะเทียบเทียม

เสียงดรุณีน้อยหัวเราะคิกคักๆตลอดเวลา

เสียงเล่นทายนิ้วมือ

“ท่านแพ้ต้องดื่มอีกแล้ว”

“ท่านมักเอาเปรียบผู้อื่นต้องถูกปรับอีก”

“คุณชายท่านเมาแล้ว”

นั่นล้วนเป็นเสียงของเสี่ยวชุ่ยและชุนฮัว เสียงที่สามารถหลอมละลายบุรุษเพศได้แทบทุกผู้คน

บุรุษที่อยู่ในห้องเป็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์ราคาแพง เป็นโยชิโอกะ ริวจิ

แม้ถูกกรอกด้วยสุราชั้นดีมาครึ่งค่อนคืนแต่ริวจิกลับยังไม่เมา ดวงตายังแจ่มใส มือไม้ยังว่องไว สติยังสมบูรณ์ยิ่ง ท่ามกลางเสียงออดอ้อนของสาวงามทั้งสอง ดาบยาวด้ามเก่าคร่ำคร่าฝักสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดๆเล่มนั้นยังแขวนอยู่ข้างเอวตลอดเวลา

ริวจิหัวเราะอย่างมีความสุขยิ่ง ไม่ว่าช่วงเวลาเช่นใดริวจิล้วนไม่นำพา ตนเองยังคงต้องมีความสุขแทบตายอยู่เสมอ

ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้คนในห้องนี้ ภายในห้องพิเศษอีกห้องที่อยู่ถัดไปกลับปราศจากสุ่มเสียงใดๆตลอดราตรี

สำหรับที่นี่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นเนื่องเพราะเหตุผลเพียงสองประการ

ประการแรกในห้องไม่มีผู้คนอยู่อาศัย

ประการที่สองผู้อยู่ในห้องต่างหลับไหลแล้ว

แต่ตอนนี้ในห้องพักยังมีผู้คนทั้งผู้อยู่ในห้องไม่ได้หลับไหลอีกด้วย

ผู้อยู่ภายในย่อมเป็นชายชุดเขียวผู้สวมชุดราบเรียบ

ดาบยาววางไว้ข้างลำตัวแต่กลับดูเหมือนมันยังคงอยู่ในมือชายผู้นั้นตลอดเวลา!

โยชิโอกะ ริวจิและนาคามูระ โยชิเดินทางมาถึงที่นี่หลังพลบค่ำ เมื่อมีเงินขาวๆก้อนโตๆจำนวนไม่อั้นท่านสามารถจ้างวานบุรุษกำยำหลายคนให้ขุดหิมะที่ขวางถนนออกพอเพียงที่รถม้าขนาดย่อมจะวิ่งผ่านได้

รถม้าสองคันสารถีต่างขับอย่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็มาถึงเมืองท่าของแม่น้ำแยงซีเกียง

หลังการประลองนาคามูระ โยชิ จะนอนหลับสนิทเสมอ คืนที่ผ่านมามันนอนหลับสนิทอย่างยิ่ง

ไม่ใช่เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการประลอง หลังจากฆ่าคน มันไม่ต้องการกระทำสิ่งใด นาคามูระ โยชิ จะนอนหลับเสมอ...

สิบปีที่ผ่านมาชีวิตของมันเป็นเช่นนี้...

นี่คือชีวิตของมือสังหารไร้รัก!

ภายในห้องพักที่ดีที่สุดหรูหราที่สุดของโรงเตี๊ยมมีชื่อที่สุดกลับมีเพียงเตียงและโต๊ะเตี้ยๆหนึ่งตัวกับเบาะรองนั่งอีกสองอันเท่านั้น

เมื่อมีเงินก้อนโตๆท่านสามารถบันดาลให้กระท่อมซอมซ่อกลายเป็นงดงามดั่งบ้านคหบดีที่ร่ำรวยได้ และสามารถแปลงห้องที่หรูหราอย่างยิ่งให้เรียบง่ายได้ดุจเดียวกัน

นาคามูระ โยชิตื่นราวครึ่งชั่วยามแล้ว ย่อมไม่ใช่เพราะเสียงดังอันเกิดจากห้องข้างเคียง แต่นี่เป็นเวลาที่ต้องตื่นแล้ว คนผู้นี้ไม่เคยตื่นหลังช่วงเวลานี้มาก่อน

น้ำร้อนหนึ่งกาถูกเด็กรับใช้ยกเข้ามาแล้ว ชาเขียวก็ต้มเสร็จแล้ว

ครู่หนึ่งประตูห้องเปิดออกบุรุษหน้าขาวปราศจากริ้วรอยคิ้วเรียวยาวเดินเข้ามา แม้ไม่ได้หลับนอนตลอดคืน แต่มันยังมีรอยยิ้มแจ่มใสเกลื่อนใบหน้า

โยชิโอกะ ริวจินั่งลงเบื้องหน้านาคามูระ โยชิ อย่างสำรวม หลังจากรับถ้วยน้ำชามาดื่มจนหมดจึงเริ่มกล่าวขึ้น

“หากเราเร่งเดินทางอีกสองสามวันคงไปถึงหมู่ตึกพันอักษร” ตั้งแต่การประลองเมื่อก่อนพลบค่ำจนถึงเวลานี้ทั้งสองเพิ่งจะเริ่มพูดจากัน

“ในละแวกนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องการพบ” นี่นับเป็นคำแรกที่มันกล่าวกับบุรุษหน้าขาวตั้งแต่หลังจากการประลอง

คิ้วเรียวของริวจิขมวดเข้าหากันความไม่พอใจบังเกิดขึ้นบนสีหน้า “อีกเพียงสิบวันก็ถึงวันประลองที่ท่านผู้เฒ่านัดหมายแล้ว ท่านควรออมกำลังไว้บ้าง...เมื่อถึงหมู่ตึกพันอักษรต้องมีผู้ที่คู่ควรกับท่านอีกหลายคน...ตระกูลใหญ่ทั้งห้าคงส่งคนเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้กันครบ”

“เป็น ลิ้มปวยฮวย เต็งพู้ย้ง เซี่ยงกัวเม้งจู ตระกูลกงซุนไม่ทราบท่านผู้เฒ่าจะให้ใครเข้าร่วมประลองหรือไม่ ส่วนตระกูลปึงคิดว่าไม่ส่งผู้ใด นอกจากคนของตระกูลทั้งห้าคงมีผู้พอจะประลองกับข้าพเจ้าอีกหนึ่งหรือสองคน ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการไปพบวันนี้นับเป็นหนึ่งในสองนั้น” คำพูดของมันรวบรัดชัดเจนเสมอมา

หน้าขาวเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีคิ้วเรียวยิ่งขมวดเข้าหากัน “ถ้างั้นคนผู้นั้นย่อมต้องไปงานชุมนุมที่หมู่ตึกพันอักษรแน่ ท่านยังจะเสียแรงไปเสาะหาทำไม”

“ลดไปหนึ่งคนย่อมดีกว่า”

เมื่อมันเริ่มหงุดหงิดเสียงยิ่งกล่าวยิ่งดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ท่านทำแบบนี้ผู้อื่นก็ได้เปรียบน่ะสิ ผู้อื่นต่างเดินทางอย่างสะดวกสบาย เมื่อไปถึงยังพบว่าผู้เข้าร่วมชิงคัมภีร์ถูกท่านกำจัดไประหว่างทางเสียมากมายแล้ว ถึงเวลานั้นที่เหลืออยู่ล้วนเป็นยอดฝีมือและยังสดชื่นอย่างยิ่ง ส่วนท่านกลับต้องตรากตรำตลอดการเดินทางย่อมต้องเสียเปรียบแน่นอน...ข้าไม่เข้าใจจริงๆ...ท่านกับท่านพ่อคิดยังไง ทำไมถึงรีบร้อนให้ท่านท้าประลองกับเหล่ายอดฝีมือตั้งแต่ได้รับเทียบเชิญของท่านผู้เฒ่า หากคิดจัดการกับคนเหล่านั้นความจริงรอให้ถึงเวลาประลองที่หมู่ตึกพันอักษรก่อนก็ได้”

นาคามูระ โยชินิ่งเงียบ เหตุผลของเรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ตนทราบดี การกระทำของมันล้วนต้องมีเหตุผลที่ดียิ่ง มันจนใจที่เวลานี้ยังไม่สามารถบอกริวจิได้ว่าเหตุใดจึงต้องกระทำเรื่องที่เสียเปรียบผู้อื่นเช่นนี้ ดังนั้นมันจึงได้แต่นิ่งเงียบ

ครั้นโยชินิ่งเงียบ ริวจิจึงเข้าใจไปว่ามันคล้อยตามความคิดของตน รอยยิ้มอย่างยินดีจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า น้ำเสียงก็เริ่มอ่อนลง

“ท่านควรหาเวลาผ่อนคลายบ้าง เมื่อถึงหมู่ตึกพันอักษรย่อมต้องเคร่งเครียดอีกมากแต่ยามนี้ยังมิใช่...”

ริวจิปรบมือสองครั้งประตูห้องเปิดออก เด็กรับใช้ทยอยยกอาหารหลากชนิดเข้ามาตั้งบนโต๊ะเตี๊ยๆตัวเดียวที่อยู่กลางห้อง

“นางปีศาจน้อยพวกนั้นชมชอบทำลายสมาธิผู้อื่น...ข้าพเจ้าทราบท่านไม่เคยชมชอบพวกนาง”

โยชิไม่สนใจคำพูดนั้นก้มหน้าลงคีบเนื้อชิ้นหนึ่ง นี่เป็นอาหารมื้อแรกภายหลังจากการประลอง...

ริวจิมองโยชิด้วยสายตาแสดงถึงความเคารพนับถืออย่างยิ่ง เป็นครั้งที่สองในเวลาหนึ่งวันที่มันมองผู้อื่นด้วยสายตาเช่นนี้ ผู้ที่ไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้มักคิดว่าริวจิถือโยชิเป็นเพียงบ่าวไพร่ ไม่ว่าอย่างไรไม่ยอมนับถือเป็นสหาย

ซึ่งความจริงโยชิโอกะ ริวจิไม่นับนาคามูระ โยชิเป็นสหายอย่างแน่นอน เพราะสำหรับมันแล้วผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อมันในขณะนี้นอกจากบิดาก็มีเพียง นาคามูระ โยชิ อีกคนเดียวเท่านั้น!


: มันมักไม่ทราบควรทำอย่างไรโยชิจึงยินดี เพราะคนผู้นี้ดูเหมือนไม่มีความสนใจในเรื่องใดเลยจริงๆ มันเองความจริงเป็นกงจื้อเจ้าสำอางไม่เคยต้องเอาใจใส่ผู้ใด แต่เวลานี้เมื่อเห็นโยชิทานข้าวได้มากอย่างยิ่ง มันถึงกับรู้สึกยินดีนัก สายตาจดจำอาหารเหล่านั้นไว้วันหลังหวังจะสั่งมาอีก แต่แล้วสายตาที่มีอนุภาพสยบดรุณีมาแล้วมากมายกลับหนักอึ้งอย่างยิ่ง ไม่ทราบเพราะเหตุใดตอนนี้ดวงตาของมันถึงกับปิดลงแล้ว!

ร่างของมันล้มฟุบลงบนโต๊ะนั่นเอง!

นาคามูระ โยชิมิได้ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย สีหน้าเคร่งขรึมยังสงบนิ่งดุจเดิม วางตะเกียบในมือลงอย่างแช่มช้าไม่ทราบดาบยาวมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ พลางหยิบขวดเล็กๆใบหนึ่งออกมาจากชายเสื้อ ในขวดนั้นบรรจุยาสีดำเม็ดเล็กๆอยู่เต็ม มันหยิบใส่ปากริวจิเม็ดหนึ่งแล้วจึงหยิบอีกเม็ดหนึ่งกลืนลงไป

จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินอย่างไม่รีบร้อนไปเปิดประตูห้องออก นาคามูระ โยชิเดินเชื่องช้าออกมายืนเพ่งมองไปยังด้านนอก ท้องฟ้ายังมืดสนิท แม้ยังมิแลเห็นผู้ใด แต่โยชิทราบผู้วางยาต้องยังอยู่บริเวณนี้ เนื่องเพราะที่มันใช้ไม่ใช่ยาพิษหากแต่เป็นยาสลบ ผู้ที่คิดวางยาสลบผู้คนย่อมต้องมีจุดประสงค์อื่นที่มิใช่ต้องการสังหารชีวิต หากต้องการชีวิตผู้อื่นใช้ยาพิษย่อมง่ายดายกว่า ดังนั้นเมื่อวางยาแล้วคนผู้นั้นต้องรอคอยอยู่ รอคอยให้ทั้งสองสิ้นสติมันจึงจะลงมือขั้นต่อไป

โยชิหันไปมองสำรวจทั่วบริเวณครู่หนึ่งก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว พุ่งร่างตรงไปยังประตูทางออกด้านหลัง วิ่งไปตามตรอกเล็กหลังโรงเตี๊ยมจนออกสู่ทางใหญ่ที่จะมุ่งออกนอกเมือง นี่เป็นความเร็วที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ใครจะคาดคิดว่าผู้ที่มิได้ฝึกวิชาตัวเบากลับเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!

หลักวิทยายุทธของเกาะพู้ซึ้งแตกต่างกับชาวตงง้วนอย่างสิ้นเชิง มันทั้งไม่รู้จักวิชาสกัดจุดและวิชาตัวเบา แต่ในหมู่เกาะพู้ซึ้งยังมีสำนักที่มีวิชาคล้ายการสกัดจุดและวิชาตัวเบาอยู่ คนของสำนักนี้ล้วนแต่งกายรัดกุมด้วยชุดสีดำปิดหน้าตา หน้าที่ของพวกมันคือการสืบข่าวและลอบสังหารผู้อื่น โยชิยังเคยประมือกับพวกนี้บ่อยครั้ง แต่สำหรับมันวิชาเหล่านั้นเป็นเพียงการละเล่นของเด็กๆเท่านั้น

ทางออกนอกเมืองยังถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา เกือบสามลี้แล้วแต่มันยังวิ่งอย่างรวดเร็วแม้ไม่ถึงขนาดเหยียบหิมะไร้รอยแต่ด้วยความเร็วนี้ในยุทธภพผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ต้องมีไม่เกินสิบคนอย่างแน่นอน มันจึงมีความมั่นใจต้องตามผู้ที่อยู่เบื้องหน้าทันแน่

แต่ทันใดนั้นเท้าของมันกลับเหยียบลงบนของสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่โดยปราศจากร่องรอยบนพื้นหิมะหนา!

ชั่วพริบตาทั่วร่างล้วนถูกคลุมด้วยตาข่ายเหนียวแกร่ง เชือกเส้นใหญ่ซึ่งคล้องปลายด้านหนึ่งของร่างแหกับต้นไม้ใหญ่ส่งแรงเหวี่ยงทั้งคนทั้งตาข่ายขึ้นสู่ด้านบนของต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็วจนโยชิไม่สามารถทรงตัวได้ แต่ชั่วพริบตานั้นดาบยาวในมือก็วาดออกอย่างรวดเร็ว ร่างแหที่คลุมกายพลันขาดสะบั้นร่างลอยละลิ่วพลิกกายตามแรงส่ง ปลายเท้าเมื่อแตะถูกยอดไม้รีบหยิบยืมสภาวะแรง หมุนร่างยืนทรงตัวอย่างมั่นคงในทันที สายตาเย็นชาจ้องมองไปยังพุ่มไม้เบื้องล่าง

คนผู้หนึ่งเดินออกจากพุ่มไม้ข้างทางใบหน้ามีผ้าคลุมสีดำไว้จนมิดชิด

“คิดจะจับเหยื่อตัวโตเช่นนี้กลับไม่ง่ายดายนัก” สุ่มเสียงนี้กลับเป็นของดรุณีน้อยผู้หนึ่ง

โยชิเพ่งมองนางแน่วนิ่งโผร่างลงมาเบื้องล่างดวงตาเป็นประกายจับจ้องอยู่ที่ร่างของดรุณีนางนั้น

“เจ้ามองข้าทำไม” นับเป็นน้ำเสียงที่ยียวนก่อกวนผู้ได้ยินอย่างยิ่งจริงๆ

“ต้องมิใช่เจ้าอย่างแน่นอน” เมื่อกล่าวจบดาบยาวพลันออกจากฝักอีกครั้ง

“มิใช่ข้าอะไร เจ้าทำกับดักข้าเสียหายแล้วยังคิดฆ่าคนปิดปากอีกหรือ” คำกล่าวที่ดูเหมือนไร้เดียงสาไม่รู้ถึงความหน้ากลัวของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นเช่นนั้นหรือ?

รังสีการฆ่าฟันของนาคามูระ โยชิที่แม้แต่เทพพู่กันคู่ยะเยือกซึ่งถ้าวัดที่ความหนักหน่วงรุนแรงอำมหิตของพลังฝีมือต้องถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือหนึ่งในสิบอันดับต้นยังถูกมันคุกคามจนไม่อาจเคลื่อนไหว แต่รังสีชนิดนี้กลับไม่มีผลต่อนางแม้แต่น้อย

สิ่งเหล่านี้ผู้อื่นอาจดูไม่ออก แต่นาคามูระ โยชิดูออก นางไม่ใช่ดรุณีน้อยธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ผู้ที่แพร่ยาสลบจะใช่นางหรือไม่ต่างไม่สำคัญ เนื่องเพราะบุคคลเช่นนี้ลดลงไปอีกคนหนึ่งย่อมต้องดีกว่า!

ดาบแรกฟันเฉียงๆขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว ดาบยาวพลิกวูบลงล่างติดตามต่อเนื่องในทันทีนี่นับเป็นดาบที่สองซึ่งกระจายรัศมีเป็นวงกว้างคุกคามจนดรุณีผู้นั้นต้องกระโดดถอยห่างออกมาหลายช่วงตัว กระบวนท่ายังไม่สิ้นสุดดาบที่สามกลับพุ่งตรงเข้าทรวงอกนางอย่างดื้อๆไร้ซึ่งการพลิกแพลงใดๆทั้งสิ้น! ด้วยความเร็วระดับนี้แม้ ยอดฝีมือธรรมดายังยากยิ่งที่หลบได้ ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งนางต้องรับมือได้ไม่เกินสิบกระทวนท่า มันมั่นใจในยุทธภพนี้ผู้ที่สามารถรอดจากคมดาบของมันได้เกินกว่านั้นต้องมีไม่เกินห้าหรือหกคน

ผู้ที่พอจะเป็นคู่มือได้อาจมีอยู่เพียงห้าหรือหกคน แต่ผู้ที่หลบทั้งสามดาบพิฆาตนี้ได้ในตอนนี้ก็ต้องมีไม่เกินสิบคนอย่างแน่นอน...เพราะแม้แต่เมื่อเย็นวานเทพพู่กันคู่ยะเยือกยังต้องฝังร่างของตนไว้ใต้หิมะหนาในดาบที่สี่เท่านั้น! แต่ดรุณีผู้นี้กลับหลบได้ นางกลับเป็นหนึ่งในสิบคนนั้น!

คมดาบยังไม่ทันที่จะถึงร่างของนาง ผ้าคลุมหน้าสีดำก็กลับฉีกขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเนื่องเพราะโดนรังสีคมกริบจู่โจมคุกคามทำลาย ในทันทีที่สายตากล้าแข็งเย็นชาเหลือบไปเห็นหน้าดรุณีน้อยผู้นั้น ดาบที่ว่องไวเป็นเอกในแผ่นดินกลับต้องหยุดชะงักลงในทันที!

ดาบที่สี่ของมันถึงกับไม่สามารถใช้ออกมาได้!

ใบหน้าเช่นนี้มันไม่มีวันลืมเลือนเป็นอันขาด!

ในเวลานี้ยังไม่รุ่งสางนี่นับว่ามันต้องเจอะเจอภูตผีอย่างแน่นอน!

ท่าร่างชะงักหยุดลงเพราะมันไม่มีปัญญาจะกระทำสิ่งใดต่อไปได้

ในขณะที่มันกำลังตะลึงงันร่างนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหายไปท่ามกลางความมืดของรัตติกาล

มันไม่ได้ไล่ตาม เพราะตอนนี้ทั่วร่างกลับปราศจากเรี่ยวแรงดั่งโดนดาบหนึ่งฟันใส่ร่าง

สิบปีแล้ว...จนวันนี้สิ่งที่สามารถสั่นคลอนจิตใจของมันได้บัดนี้บังเกิดขึ้นแล้ว!

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 4)



: บทที่ 4.

ลิ้มเอ็งฮวยออกวิ่งอย่างรวดเร็ว มาจนวันนี้จึงค่อยสำนึกขอบคุณบิดาและท่านพี่ที่คอยเคี่ยวเข็นให้นางฝึกวิชาเสมอมา ปกตินางไม่ค่อยใส่ใจวิชาตัวเบาเนื่องเพราะนางไม่เคยต้องวิ่งหนีผู้ใด นางไม่เคยเกรงกลัวผู้คนเมื่อยังเด็กเคยเกรงกลัวแต่ปีศาจเท่านั้น

แต่เมื่อครู่นางเพิ่งเผชิญหน้ากับปีศาจร้าย!

ต้องเป็นปีศาจจากอเวจีอย่างแน่นอน เพราะต้องไม่มีทางที่ผู้คนจะใช้ดาบได้รวดเร็วและอำมหิตได้ถึงเพียงนั้น!

ท่ามกลางความมืดร่างเล็กที่บอบบางพุ่งดุจลูกธนูหลุดจากแหล่ง ซอกซอนไปมาระหว่างต้นไม้ใหญ่โดยไม่รู้ทิศทาง ใบหน้าเรียวมนที่ปกติมักมีสีแดงเรื่อๆกลับกลายเป็นซีดเผือด ดวงตากลมโตที่แฝงแววซุกซนเจ้าเล่ห์อยู่ตลอดเวลาบัดนี้กลายเป็นตื่นตระหนกอย่างยิ่ง นางเพียงหวังไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่หวนคิดถึงดาบยาวสีเงินยะเยือก เต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟันราวกำเนิดจากอเวจีก็พลันปรากฏมือคู่หนึ่งพุ่งตรงมา กระแทกไหล่ของนางอย่างรุนแรงจนซวนเซไปหลายก้าว

“เอ็งฮวยเจ้าเป็นอะไรไป...พี่ตะโกนเรียกตั้งนานทำไมเจ้าไม่หยุด” น้ำเสียงร้อนรนที่คุ้นเคยยิ่งดังกระทบโสตประสาท ร่างหนึ่งโผเข้ามาพยุงนางไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะล้มคะมำลงบนพื้นหิมะเย็นเยียบ

นางเงยหน้าขึ้นดวงตาที่ปกติมักแฝงแววกลิ้งกลอกหายไปจนสิ้น สีหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ริมฝีปากบางสั่นระรัวขณะละล่ำละลักออกมาทีละคำอย่างยากเย็น

“ปีศาจ! ปีศาจจะเอาชีวิตข้าพเจ้า!”

ลิ้มปวยฮวยไม่เคยเห็นน้องของตนตกใจเยี่ยงนี้มาก่อน...แต่ในโลกนี้มีปีศาจที่ไหนกัน

“เหลวไหล เจ้าออกไปก่อกวนผู้อื่นจนต้องวิ่งหนีมาล่ะซิ” เมื่อหลุดปากออกไปนางจึงได้คิดว่าตนกล่าวผิดเสียแล้ว น้องสาวผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดมาก่อน บางครั้งแม้แต่บิดายังไม่คิดจะปะคาระกับนาง...หรือนางจะพบปะปีศาจมาจริงๆ

ลิ้มปวยฮวยหยิบเสื้อหนังจิ้งจอกที่ทั้งหนาทั้งอบอุ่นคลุมบนร่างสั่นเทา นางถือเสื้อตัวนี้วิ่งตามออกมาเมื่อรู้ว่าน้องของตนแอบออกจากโรงเตี๊ยมในยามวิกาล แล้วจูงมือเย็นเฉียบเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่เบื้องหน้า

ลิ้มเอ็งฮวยยังหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ผู้พี่พานางไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง จากนั้นเดินไปยื่นเทียบยาและห่อบรรจุตัวยาอีกซองให้เถ้าแก่แล้วอธิบายกำชับอีกหลายคำ

เถ้าแก่ที่ปกติต้องตื่นเช้ากว่าแขกผู้พักอาศัยอยู่แล้ว รีบรับเทียบและห่อบรรจุตัวยาพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นจึงเดินไปหยิบกาน้ำชาที่เพิ่งเดือดมารินให้ดรุณีทั้งสอง

ยังไม่รุ่งสางยากยิ่งที่โรงเตี๊ยมซอมซ่ออย่างนี้จะปรุงอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วทันเหล่าแขกที่ตื่นเช้าเช่นนี้ แต่น้ำชาสักหลายกาย่อมต้องจัดเตรียมพร้อมเสมอโดยเฉพาะในเวลาที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้

ชายหลังค่อมวัยกลางคนเดินเงอะงะไปรินน้ำชาให้แขกอีกโต๊ะหนึ่ง แขกที่เมาหลับๆตื่นๆอยู่ที่โต๊ะตัวนี้มาเป็นเช้าวันที่สี่แล้ว จากนั้นเถ้าแก่จึงเดินกลับเข้าไปต้มยาในครัว

มือที่ยังสั่นระริกหยิบถ้วยชามาดื่มจนหมด เค้าความสดใสของดรุณีแรกรุ่นหายไปจากใบหน้าของนางจนสิ้น ร่างเล็กผอมบางยังแสดงอาการหวาดๆ

“ข้าพเจ้าเจอปีศาจ” หลังดื่มชาอุ่นๆจนหมดเสียงของนางจึงเริ่มลดความตระหนกลงบ้าง

“เหลวไหล...” ลิ้มปวยฮวยตอบได้เพียงแค่นี้เพราะนางเองก็คิดไม่ออกว่ายังจะมีผู้ใดที่ทำให้น้องของตนต้องวิ่งกระเซอะกระเซิงมาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นนางเจอะเจอปีศาจจริงๆหรือ...

“อากาศหนาวเย็นเพียงนี้เจ้ายังออกไปข้างนอกแล้วเมื่อไหร่อาการจะทุเลา...เช้าเช่นนี้เจ้าออกไปข้างนอกทำไม”

“ข้า...ข้าออกไปเก็บยา” นางอ้อมแอ้มตอบ

“เจ้าแอบออกไปจับหนูหิมะอีกแล้วใช่ไหม” สีหน้าที่เป็นห่วงกังวลกลับกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที

“ที่แท้แถวนี้กลับมีหนูหิมะอยู่ด้วย” ผู้พูดเป็นปีศาจสุราที่คิดว่าเมามายจนหลับแล้ว

“ดูท่าท่านจะหลับยากอย่างยิ่ง” นางหันไปแค่นยิ้มให้เล็กน้อย ย่อมเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น

“ไม่ว่าผู้ใดได้ยินชื่อหนูหิมะย่อมต้องตื่นง่ายอย่างยิ่ง” บัณฑิตซอมซ่อบิดกายอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง

“หนูหิมะแม้ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะแต่ยังมีค่าควรแก่การตื่นเช้าเช่นนี้จริงๆ” ผู้พูดเป็นเต็งพู้ย้ง นางเดินลงมาจากห้องพักที่อยู่ชั้นบน แม้ตื่นเช้าขนาดนี้แต่นางยังมีรอยยิ้มเต็มลักยิ้มทั้งสองข้างอย่างสดชื่น มีผู้ยินยอมตื่นเช้าอีกคนหนึ่งแล้ว

“เจ้ามีน้องเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์อยู่มากจริงๆ” บัณฑิตซอมซ่อกล่าวต่อ “อากาศเยี่ยงนี้ยังออกไปตรากตรำวางกับดักหนูหิมะข้างนอก...มิน่าเพราะเหตุนี้เจ้าจึงต้องต้มยาบำรุงให้นางเป็นประจำ”

“ท่านคิดว่าข้าใช้ให้นางไปหาของแบบนั้น” น้ำเสียงเย็นชาของนางกลายเป็นขุ่นเคืองอย่างชัดเจน

“หนูหิมะไม่ใช่ยาอายุวัฒนะก็จริงแต่สรรพคุณในการดูดซึมยาพิษของมันกลับสามารถนำมาจำแนกแยกแยะชนิดของพิษประเภทต่างๆได้” แววตาเอี้ยป้อฮู้ที่ปกติคล้ายกับจะสามารถกระชากความลับที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายยิ่งเปล่งประกายแวววาวราวดวงตาของพญาจิ้งจอกที่กำลังออกไล่ล่าเหยื่อ!

“หากสามารถรู้ว่าผู้ถูกพิษโดนพิษประเภทใด การเยียวยาย่อมไม่ยากเย็นแล้ว ฉะนั้นสำหรับผู้ศึกษาเรื่องยาและพิษนี่ต้องนับว่าเป็นของวิเศษล้ำค่า”

“แฮะ...” นางแค่นหัวเราะ “ข้ายังต้องการของแบบนั้นไปทำไม”

“วิชาแพทย์ของตระกูลลิ้มเป็นหนึ่งในยุทธภพมาหลายชั่วคน จนวันนี้ได้กำเนิดทั้งเซียนแพทย์และเซียนพิษยังต้องการของแบบนี้ไปทำไม” เต็งพู้ย้งขมวดคิ้วพลางหันใบหน้าไปไถ่ถามลิ้มปวยฮวย

“หรือไม่มีพิษใดที่เจ้าไม่สามารถจำแนกได้” เอี้ยป้อฮู้สวนคำจิ้งจอกร้ายย่อมไม่ปล่อยให้เหยื่อมันหลุดรอด

“จนวันนี้ยังไม่มี” เซียนแพทย์ไร้ใจตอบอย่างมั่นใจยิ่ง

“จนวันนี้ยังไม่มีจริงหรือ” พญาจิ้งจอกยังล่าเหยื่อของมันอย่างไม่ลดละ

“ท่านคิดพูดเรื่องอะไรกันแน่ พิษทุกชนิดที่เคยตรวจสอบท่านพี่ล้วนระบุได้” ลิ้มเอ็งฮวยหายตื่นตระหนกแล้ว นางมองออกว่าบัณฑิตซอมซ่อผู้นี้ต้องการก่อกวนตระกูลลิ้มของตน

“แต่เจ้าก็ยังไม่มั่นใจจึงยังต้องการหนูหิมะ!” เอี้ยป้อฮู้จ้องหน้านางเขม็ง “เพราะมีพิษอยู่ชนิดหนึ่งที่ตระกูลลิ้มของเจ้ายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพิษจากอะไร! และใครกันแน่เป็นผู้แพร่พิษชนิดนั้น!”

นี่จึงเป็นกระบี่ที่แทงตรงไปยังขั้วหัวใจของดรุณีทั้งสอง!

“ที่แท้ท่านต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษร! ในตอนนั้นพวกเรายังเด็กเพิ่งเริ่มเรียนวิชาไหนเลยสามารถระบุชนิดของพิษได้ เวลาที่เกิดเรื่องก็ฉุกละหุกสับสนอย่างยิ่ง...ท่านพ่อก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นท่านต้องสามารถระบุชนิดของพิษและจับผู้แพร่พิษได้แน่” นางลุกขึ้นโต้ตอบอย่างไม่เกรงใจบุรุษผู้ซึ่งชาวยุทธให้เกียรติ์ว่ามีความรู้กว้างขวางที่สุด

บัณฑิตซอมซ่อยังนั่งนิ่งไม่สนใจท่าทางของนาง แต่น้ำเสียงกลับยิ่งประชดประชันแดกดันมากขึ้น “เรื่องราวผ่านมาถึงสิบปีพวกเจ้ายังคิดขุดคุ้ยขึ้นมาอีกหรือนี่”

“ข้าเพียงคิดทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่เหมือนท่านที่หาชื่อเสียงใส่ตัวด้วยการเขียนเรื่องไร้สาระป้ายสีผู้อื่น!” เช้านี้นางเจอเรื่องราวมากเกินไปบัดนี้จึงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ชี้หน้าเอี้ยป้อฮู้อย่างไม่เกรงใจใดๆทั้งสิ้น

“ข้าไม่ได้ใส่ร้ายผู้ใด! จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีทางที่ข้าจะสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นได้”

นางล้วงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ “เหลวไหล! ที่ชื่อเสียงของจอมยุทธอี้ต้องมัวหมองจนทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการด่วนสรุปและโหมประโคมข่าวของท่าน...เพียงเจ็ดวันยังไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดถึงตัวฆาตกรผู้วางยาแต่หนังสือของท่านก็กลาดเกลื้อนเต็มยุทธภพแล้ว”

เอี้ยป้อฮู้มองการกระทำของนางอย่างเฉยเมย “เดือนหน้ายังมีผู้คนสั่งคัดลอกอีกจำนวนหนึ่งเจ้าอย่าลืมไปฉีกด้วยล่ะ”

“ข้าไม่ฉีกข้าจะเผามันให้เป็นจุลให้หมด!” นางตบโต๊ะอย่างรุนแรงบันดาลโทสะถึงขีดสุด “หลังจากประมุขของทั้งห้าตระกูลใหญ่สะสางเรื่องราวเสร็จสิ้น เหล่าท่านผู้เฒ่าต่างระบุชัดเจน จอมยุทธอี้มิได้เป็นผู้วางยา แต่ท่านกลับไม่ยอมแก้ไขหนังสือของตนปล่อยให้ชาวยุทธเชื่อว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้ผิดมาตลอดสิบปี!”

“ผู้ใดว่าเรื่องราวสะสางเสร็จสิ้น หากตระกูลเซี่ยงกัวยอมรับผลการสืบสวนของอีกสี่ตระกูลจริงๆ เหตุใดต้องถอนตัวจากตงง้วนไปตั้งรกรากใหม่ที่เกาะพู้ซึ้งเล่า” เอี้ยป้อฮู้แค่นหัวเราะ “เฮอะ...ถึงตระกูลเซี่ยงกัวจะไม่เห็นด้วยแล้วทำอย่างไรได้ ในเมื่อตระกูล ลิ้ม เต็ง ปึง กงซุน มีความเห็นตรงกันขนาดท่านผู้เฒ่ากงซุนอี้โหงวประมุขหมู่ตึกพันอักษรคนปัจจุบันยังคิดยุติเรื่องราวไม่สืบหาตัวผู้วางยาต่อโดยไม่อธิบายเหตุผลใดๆ ภาวะหัวเดียวกระเทียบลีบเช่นนั้น สิ่งที่ตระกูลเซี่ยงกัวทำได้ก็มีแต่การจากไปเท่านั้น”

เอี้ยป้อฮู้ระเบิดหัวเราะจนตัวสั่นเทาราวกับได้ยินเรื่องที่ขบขันที่สุดในชีวิต “ฮ่าๆๆๆ...เรื่องราวสะสางเสร็จสิ้น หากเรื่องสะสางเสร็จสิ้น เจ้ายังออกไปหาหนูหิมะทำไม! เฮอะ...สุราไหนั้นเป็น อี้แป๊ะเฮาะ คะยั้นคะยอให้คุณชายใหญ่กงซุนซาเทียน กับคุณหนูใหญ่เซี่ยงกัวเซียนนึ้งดื่มชัดๆ พวกเจ้าก็เห็นกับตา”

“น้องเอ็งฮวยถึงเจ้าเผามันหมดสิ้นก็ยังมีคนต้องการอ่านอีกมาก นิทานสนุกสนานปานนี้ผู้คนล้วนชื่นชอบ” เต็งพู้ย้งแทรกขึ้นเรียบๆไม่ว่าเหตุการณ์ตึงเครียดเพียงใดนางยังยิ้มแย้มได้

“แม้แต่ท่านก็หาว่าหนังสือของข้าเป็นเรื่องเหลวไหล” ดวงตาเขม็งเกลียวหันไปใส่เต็งพู้ย้งทันที

“ยังไม่เหลวไหลหรอก เพียงยังไม่ชัดเจนพอ ท่านยืนยันว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้ลอบวางยาพิษคู่บ่าวสาวในคืนวันแต่งงานโดยใช้สุราไหเดียวเป็นหลักฐานกล่าวหาจอมยุทธอี้ ส่วนเหตุผลที่จอมยุทธอี้ต้องทำเช่นนั้นท่านวิเคราะห์จากความสัมพันธ์และความขัดแย้งของจอมยุทธอี้กับคู่บ่าวสาวทั้งสอง” เต็งพู้ย้งกล่าวพลางหยิบหนังสือแบบเดียวกับที่ลิ้มเอ็งฮวยเพิ่งฉีกออกจากห่อผ้าของตน

“แต่นอกจากเรื่องนี้ท่านเองก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดเลยที่ระบุได้อย่างแน่ชัดว่าจอมยุทธอี้เป็นเจ้าของพิษที่อยู่ในไหสุราจริงๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นข้อสรุปที่เขียนขึ้นโดยบัณฑิตไร้ร่องรอย...ภายหลังจากที่ห้าตระกูลใหญ่ได้ยืนยันว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านก็ยังยืนกรานในความเห็นของตน ไม่เชื่อในข้อสรุปของประมุขทั้งห้าตระกูลแต่จนถึงวันนี้ท่านก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานอื่นใดมายืนยันคำกล่าวหาของตนได้”

“...ท่านต้องการพูดอะไรกันแน่” แววตาเอี้ยป้อฮู้ปรากฏแววแปลกประหลาดขึ้นวูบหนึ่งน่าเสียดายที่เต็งพู้ย้งไม่มีโอกาสที่จะเห็นได้ตลอดกาล

“ห้าตระกูลใหญ่ยืนยันความบริสุทธิ์ของจอมยุทธอี้โดยไม่ให้เหตุผลใดๆ เพียงบอกว่าไม่ใช่จอมยุทธอี้เป็นผู้กระทำเท่านั้น นี่นับเป็นเรื่องประหลาดจริงๆ มิหนำซ้ำยังหาตัวผู้วางยาไม่ได้กลับคิดยุติเรื่องราวนี่ยิ่งนับว่าเหลือเชื่อ ทั้งที่...” เต็งพู้ย้งชะงักคำพูดชั่วครู่หนึ่ง นางไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อไปจริงๆ แต่นางเก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจนานเกินไป เมื่อได้อยู่ต่อหน้าผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ไหนเลยหยุดความอัดอั้นภายในจิตใจได้

“...ทั้งที่ผู้เสียชีวิตคือทายาทผู้สืบทอดของตระกูลกงซุนและตระกูลเซี่ยงกัว แต่เหตุใดเหล่าประมุขของทั้งห้าตระกูลจึงยุติเรื่องราวไว้แค่นั้น...”

ถึงตอนนี้นางตั้งใจกล่าวช้าๆทีละคำอย่างชัดเจนที่สุด “สิบปีนี้บางครั้งข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า...บางทีประมุขของทั้งห้าตระกูลและท่านอาจยังรู้เรื่องราวอีกมากแต่ไม่มีผู้ใดยินยอมบอกออกมา...” น้ำเสียงนางยังแจ่มใสเป็นปกติไม่ว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรน้ำเสียงนางยังคงเป็นเช่นนี้เสมอ...สงบ...แจ่มใส...ยิ้มแย้ม...อารมณ์ดี แต่ท่านไม่มีวันทราบแท้จริงนางรู้สึกเช่นไรกับเรื่องที่ตนพูด!

นี่เป็นกระบี่อีกหนึ่งเล่มผิดกันที่คราวนี้มันพุ่งตรงตัดขั้วหัวใจของเอี้ยป้อฮู้!

“ข้าพยายามสอบถามท่านพ่อ แต่ท่านกลับไม่เคยบอกสิ่งใดเลย คิดว่าบิดาน้องปวยฮวยและน้องเอ็งฮวยก็คงไม่บอกสิ่งใดเช่นกัน”

สองพี่น้องตระกูลลิ้มพยักหน้ายอมรับ สายตาคาดคั้นสองคู่พุ่งไปที่เอี้ยป้อฮู้

แววตาของจิ้งจอกร้ายยามตะครุบเหยื่อกลายเป็นดวงตาของจิ้งจอกจนตรอกที่ต้องอาวุธของนายพราน มันยังดิ้นรน ดื้อดึงหมายใช้แรงเฮือกสุดท้ายฉุดให้ตายตกตามกัน

“แล้วคำทำนายของท่านและบิดาชัดเจนเพียงพอหรือ หากคราวนั้นคำทำนายของท่านพ่อลูกชัดเจนเพียงพอไฉนจึงทำอำอึ้งไม่ยอมเอ่ยออกมาไม่เช่นนั้นคนทั้งสองอาจไม่ตายก็ได้!”

มันพูดเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่นับเป็นกระบี่ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง เพราะกระบี่เล่มนี้ได้แทงตรงไปที่ขั้วหัวใจของเต็งพู้ย้ง!

ผู้ที่อยู่ในห้องต่างเงียบกริบ เพราะผู้คนภายในได้ตายจนหมดสิ้นแล้ว

ทุกคนล้วนตายภายใต้คำพูดของผู้อื่น!

ทั้งหมดนิ่งอยู่เนิ่นนานเอี้ยป้อฮู้จึงหันไปทางดรุณีน้อยทั้งสอง “ครั้งนี้ที่พวกเจ้าเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรเพราะต้องการรื้อฟื้นเรื่องนี้?” จิ้งจอกร้ายได้ตายไปแล้วแววตาของมันกลับเป็นบัณฑิตซอมซ่ออีกแล้ว

ทั้งหมดไม่คิดที่จะกล่าวถึงอดีตอีกเพราะไม่เช่นนั้นนี่ย่อมต้องเป็นการสนทนาของคนที่ตายไปแล้ว การสนทนาของคนที่ตายไปแล้วต้องไม่น่าฟัง เรื่องราวที่กล่าวถึงก็ย่อมไม่ควรฟัง เพราะหากท่านยังขืนอยากฟังท่านอาจต้องกลายเป็นผู้ที่ตายเป็นคนต่อไป!

“มิใช่...ครั้งนี้ท่านพ่อสั่งให้เราไปประลองชิงตำแหน่งเจ้าหมู่ตึกพันอักษร” ลิ้มปวยฮวยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พวกเจ้าไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องนี้แล้วออกไปหาหนูหิมะทำไม?” บัณฑิตไร้ร่องรอยยังอดสงสัยพฤติกรรมของพวกนางไม่ได้

“นั่นเป็นเรื่องของข้า! ท่านพี่บอกว่าไม่รื้อฟื้นก็ไม่รื้อฟื้น!” ลิ้มเอ็งฮวยสวนกลับมาทันควันอย่างขุ่นเคือง

สายตาทั้งสามคู่ต่างหันไปหาคำตอบจากเต็งพู้ย้งบ้าง

..........................................................................................................................


: นางนิ่งไปครู่ใหญ่จึงค่อยกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องนี้และยิ่งไม่คิดแย่งชิงกับผู้ใด ข้าเพียงแต่คาดคิดว่างานนี้คงได้พบสหายเก่ามากมาย” เต็งพู้ย้งกล่าวตอบพลางหันหน้าเป็นเชิงไถ่ถามไปยังเอี้ยป้อฮู้

“ฝีมืออย่างข้าจะกล้าไปแย่งชิงกับผู้อื่นได้ยังไง แต่งานนี้ยังน่าสนใจยิ่งกว่าการประลองของตาแก่สำนัก เตียมชังกับคุนลุ้นสักสามหมื่นสองพันโยชน์”

“เช่นนี้เรามีคู่แข่งเหลือเพียงสามตระกูลใหญ่” ลิ้มปวยฮวยครุ่นคิดถึงสามตระกูลที่เหลือ สิบปีแล้วไม่ทราบผู้สืบทอดของแต่ละตระกูลฝีมือก้าวหน้าขึ้นเพียงใด

“อาจเหลือเพียงตระกูลเดียว...กับอีกหนึ่งหมู่ตึกและอีกหนึ่งหรือสองคน” บัณฑิตขี้เมากล่าวอย่างมั่นใจ

“เหตุใดจึงเหลือเพียงตระกูลเดียว” หลังจากนั่งนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน ลิ้มเอ็งฮวยจึงค่อยลดโทสะของตนลงจนเป็นปกติได้

บัณฑิตไร้ร่องรอยหันไปกล่าวกับซินแสลิขิตฟ้า “ตระกูลเต็งของเจ้าไม่เข้าประลอง...ตระกูลกงซุนหลังเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนท่านผู้เฒ่ากงซุนอี้โหงวเจ้าของหมู่ตึกพันอักษรคนปัจจุบันก็ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพอีก...รับประกันได้ท่านต้องไม่เข้าร่วมประลองแน่จึงตัดได้อีกหนึ่ง ส่วนตระกูลปึง...เมื่อคืนพวกเจ้าก็ได้ยิน...ขลุ่ยหยกที่เคยสั่นสะเทือนยุทธภพคล้ายกลายเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจไปแล้ว...ตระกูลลิ้มของเจ้าจึงมีคู่แข่งเพียงตระกูลเซี่ยงกัวของคุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูเท่านั้น”

บทวิเคราะห์ของมันชัดเจนอย่างยิ่งรวดรัดหมดจดแม่นยำอย่างยิ่ง เพราะบทสรุปที่เปี่ยมเหตุผลเช่นนี้ชื่อของบัณฑิตไร้ร่องรอยจึงดำรงอยู่ในยุทธภพได้จนทุกวันนี้!

เมื่อได้ยินเอี้ยป้อฮู้เอ่ยถึงเสียงขลุ่ย เต็งพู้ย้งถึงกับขมวดคิ้วแต่ยังไต่ถามต่อ

“แล้วอีกหนึ่งหมู่ตึก”

“เป็นหมู่ตึกบูรพา เมื่อสิบปีก่อนหลังจากตระกูลเซี่ยงกัวย้ายจากตงง้วนไปอยู่ที่เกาะพู้ซึ้ง ประมุขของหมู่ตึกบูรพาคนปัจจุบันได้เข้ามายังถิ่นเดิมของตระกูลเซี่ยงกัวสร้างฐานกำลังขึ้นใหม่ ห้าปีหลังนี้มีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนกว่าตระกูลเซี่ยงกัวในอดีตแม้แต่น้อย”

“ยังมีอีกคนหรือสองคน” เต็งพู้ย้งพยักหน้ายอมรับในความเห็นของเอี้ยป้อฮู้เช่นกัน จนตอนนี้นางจึงค่อยยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม

“นับจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะกับจอมโจรเสเพลเซียวเซียนด้วยได้” เอี้ยป้อฮู้ตอบอย่างมั่นใจแล้วหันไปมองลิ้มเอ็งฮวย กล่าวอย่างเย้ยหยัน “แต่ยังไม่ทันถึงหมู่ตึกพันอักษรเจ้าก็วิ่งตัวสั่นกลับมาเสียแล้ว”

ลิ้มเอ็งฮวยน่าแดงกล่ำนี่นับเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ

“ปีศาจ! เป็นปีศาจจากอเวจี จะเอาชีวิตข้า!”

“ในโลกนี้ไหนเลยมีปีศาจได้” เอี้ยป้อฮู้หัวเราะเยาะเสียงดัง

“มีสิ มันถือดาบสีเงินยาวกว่ากระบี่ทั่วไปราวหนึ่งเชียะ ร่างของมันไม่สูงใหญ่แต่ตั้งตรงหนักแน่นไร้ช่องว่างให้จู่โจมอย่างเด็ดขาด ประกายตาคู่นั้นเย็นยะเยือกจนหนาวจับใจ ใบหน้าเฉยเมิยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์อยู่สักนิด ดาบของมันรวดเร็วอำมหิตอย่างยิ่งจริงๆ”

ทั้งสามคนที่นั่งฟังต่างคนถึงกับนิ่งอึ้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

เต็งพู้ย้งกล่าวว่า “เป็นนาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพา”

“เป็นมันอย่างแน่นอน” เอี้ยป้อฮู้พยักหน้าเห็นด้วย

“ไฉนเป็นมัน...ข้าเห็นปีศาจชัดๆ” ลิ้มเอ็งฮวยไหนเลยจะยอมเชื่อว่าผู้ใช้ดาบปีศาจนั่นจะเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนตน

“หากมีผู้ที่ทำให้เจ้ามีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ได้ต้องเป็นมันแน่นอน” เต็งพู้ย้งหันไปย้ำกับนาง

ลิ้มเอ็งฮวยไม่ทุ่มเถียงอีกเนื่องเพราะนางทราบหากซินแสลิขิตฟ้าและบัณฑิตไร้ร่องรอยระบุอย่างเดียวกันเรื่องต้องไม่มีทางเป็นอย่างอื่นแน่

“เรื่องที่ล่ำลือไปทั่วยุทธภพกลับเป็นจริง ยังไม่ทันถึงหมู่ตึกพันอักษรมันก็มุ่งมาหาเรา” สีหน้าเย็นชาของลิ้มปวยฮวยขึงโกรธขึ้นทันที “สามเดือนก่อนตั้งแต่ข่าวงานประลองแพร่ออกไปคนผู้นี้ได้นัดหมายประลองกับจอมยุทธมีชื่อไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว”

“นั่นกลับทำให้ผู้อื่นได้เปรียบอย่างยิ่ง” ลิ้มเอ็งฮวยประชดขึ้น ความรู้สึกชิงชังโกรธแค้นนาคามูระ โยชิพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที นี้นับเป็นครั้งแรกที่นางต้องวิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ เมื่อมันไม่ใช่ปีศาจการวิ่งหนีผู้อื่นจึงน่าอับอายมากยิ่งกว่า แต่แล้วนางก็ต้องหน้าสลดลงอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่เอาไหนเพียงสามกระทวนท่าก็แพ้อย่างสิ้นเชิง”

เต็งพู้ย้งทอดถอนใจ ลูบศรีษะนางอย่างปลอบโยน “เจ้ารู้หรือไม่...ผู้ที่รอดจากดาบเขาได้สามกระบวนท่าน่ากลัวจะมีไม่เกินสิบคน คนที่สามารถแย่งชิงคัมภีร์พันอักษรกับเขาได้คงมีไม่กี่คนเท่านั้น”

เอี้ยป้อฮู้แค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขายหน้า ข้าจะบอกให้เจ้าทราบข้ายังไม่มีความมั่นใจจะหลบดาบมันได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เจ้ายังวิ่งหนีมันพ้นอีก ต้องนับว่าเจ้าสร้างปาฏิหารย์มากแล้ว”

“แต่เหตุใดมันต้องทำเรื่องเสียเปรียบผู้อื่นเช่นนี้....”

“อาจเพราะมันมั่นใจว่าการประลองที่หมู่ตึกพันอักษรตนต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน แต่เมื่อได้คัมภีร์พันอักษรมามันย่อมต้องการเวลาฝึก มันกลัวผู้อื่นคิดแย่งชิงตอนมันฝึกปรือ เลยต้องกำจัดผู้อื่นให้หมดก่อน” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างยิ่ง

“ฝีมือระดับมันยังต้องกลัวผู้ใด” เอี้ยป้อฮู้ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “หากมันมั่นใจเช่นนั้นรอให้มันได้ทั้งหมู่ตึกทั้งคัมภีร์ตอนนั้นคิดกำจัดผู้อื่นย่อมง่ายดายยิ่ง”

“แต่มันยังคิดกำจัดผู้มีฝีมือจนหมดทั้งแผ่นดินจริงๆ ถึงกับมาดักรอพวกเราที่นี่” ผู้อื่นยิ่งพูดถึงความสามารถของนาคามูะระ โยชิ ลิ้มเอ็งฮวยกลับยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้นไปอีก

“เป็นมันมาดักรอเจ้า?” เอี้ยป้อฮู้ยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

ลิ้มเอ็งฮวยค่อยคิดได้แม้แต่พี่ของนางยังไม่ทราบนางลอบออกจากโรงเตี๊ยมคนผู้นั้นจะรู้ได้ยังไง

“เป็นมันรู้ว่าเราอยู่โรงเตี๊ยมนี้จึงรีบรุดมา”

“คล้ายพวกเจ้าเคยบอกว่าเนื่องเพราะโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านเต็มหมดเจ้าจึงมาพักที่นี่ใช่หรือไม่” บัณฑิตไร้ร่องรอยยังคงมีเหตุผลที่ดียิ่ง

“คาดว่าเวลาที่พวกเรามาถึงมันเพิ่งประลองกับเทพพู่กันคู่ยะเยือกเสร็จ” ลิ้มปวยฮวยพยักหน้าตอบรับ

“คนของหมู่ตึกบูรพามีมากมายการสืบหาที่อยู่ของเราให้ใครทำก็ได้” ลิ้มเอ็งฮวยยังทุ่มเถียงต่อ

“พวกเจ้าคิดว่ามีใครตามพวกเจ้ามาได้โดยที่เจ้าไม่รู้ตัวหรือ” เอี้ยป้อฮู้มองหน้านางกลับ

“สำหรับข้าย่อมไม่มีทางแน่ไม่เช่นนั้นฉายาไร้ร่องรอยของข้ายังจะมีความหมายอะไร” หันหน้าไปไถ่ถามเต็งพู้ย้งอีกครั้ง

นางยังคงยิ้มแย้ม “แม้ข้าจะตาบอดแต่ยังไม่ถึงกับปล่อยให้ผู้อื่นตามหาตัวได้โดยง่ายดาย”

“ระหว่างเดินทางไม่มีผู้ใดสะกดรอยตามพวกเรามาอย่างแน่นอน” ลิ้มปวยฮวยพยักหน้าเห็นด้วยกับเอี้ยป้อฮู้อีกครั้ง

“หลายวันนี้หิมะตกอย่างหนักโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านจึงเต็มหมดพวกเจ้าทั้งสามจำต้องมาพักอยู่ที่นี่ เรื่องบังเอิญเช่นนี้มันต้องไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอน จุดประสงค์ของมันจึงไม่น่าใช่พวกเจ้าคนใดเช่นกัน...”

“ระหว่างเดินทางได้ข่าวว่ามันมาหยุดพักที่หมู่บ้านนี้ถึงสามวันแล้ว ถึงหิมะจะตกหนักแต่ก็ต้องไม่เป็นอุปสรรคเหนี่ยวรั้งพวกมันได้ถึงสามวันอย่างแน่นอน หรือมันยอมเสียเวลาเดินทางถึงสามวันเพียงเพื่อรอเวลาประลองกับเทพพู่กันคู่ยะเยือก” ลิ้มเอ็งฮวยครุ่นคิดจนหน้านิ่ว

“เทพพู่กันคู่ยะเยือกยังไม่คู่ควรให้มันรอคอยถึงสามวันหรอก...” เอี้ยป้อฮู้หยุดเพียงเท่านี้

เนื่องเพราะเสียงขลุ่ยเย็นยะเยือกดังกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว...

ทุกคนในห้องนั้นต่างนิ่งฟังเสียงขลุ่ยจนเกือบจะเคลิบเคลิ้มไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาอีก

ครู่ใหญ่เสียงขลุ่ยก็ค่อยเงียบลงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา...

พี่น้องตระกูลลิ้มหันไปมองหน้าเต็งพู้ย้งพร้อมกันราวกับนัดกันไว้

ปึงเพียวเซาะนับเป็นพี่ชายที่แสนดีของคนทั้งสองและเป็นน้องชายที่น่ารักของเต็งพู้ย้งเสมอมา...จนเกิดคดีที่หมู่ตึกพันอักษร...คราวนั้นปึงเพียวเซาะพึ่งได้รับตำแหน่งประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงแทนบิดาที่เสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบัน...เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีต้องเข้าร่วมตัดสินคดีฆาตกรรมที่อื้อฉาวที่สุดในรอบหลายสิบปี...ภายหลังการตัดสินคดีนั้นปึงเพียวเซาะกลับเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึงไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ในคราวนั้นและไม่ยอมพบปะผู้ใดอีกเลย

แม้สองพี่น้องตระกูลลิ้มและเต็งพู้ย้งจะไปเยี่ยมเยียนขอพบนับสิบครั้งกลับยังได้รับการปฏิเสธเสมอมา หลายปีหลังจากนั้นคงมีเพียงเต็งพู้ย้งที่แวะไปยังหมู่ตึกตระกูลปึงเป็นครั้งคราว แต่เจ้าของบ้านยังทำใจแข็งไม่ยอมให้พบแม้สักครั้ง

เต็งพู้ย้งไม่มีวี่แววประหลาดใจที่ได้ยินเสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยในเวลาเช่นนี้ นางเพียงยิ่งแน่ใจการคาดหมายของตน เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆสิบปีที่น้องเพียวเซาะเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึง...สิบปีที่ตนมีปากเสียงกับบิดาจนตัดสินใจออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว...สิบปีแล้วที่ตนมิได้กลับหมู่ตึกตระกูลเต็งอีกเลย...

“หรือจุดประสงค์ของนาคามูระ โยชิคือคุณชายปึง...” ลิ้มเอ็งฮวยโพล่งขึ้นหน้าตาแตกตื่น

แต่นางกลับกล่าวได้เพียงเท่านี้เพราะนางล้มฟุบลงไปแล้ว! หรือเสียงขลุ่ยถึงกับมีอำนาจดึงดูดผู้คนถึงเพียงนี้!

เอี้ยป้อฮู้ฟุบลงไปอีกคน เต็งพู้ย้งก็ฟุบลงตามไป

“นี่...” ลิ้มปวยฮวยกล่าวได้เพียงเท่านี้ก็ล้มฟุบลงกับโต๊ะเช่นกัน!

ภายในห้องโถงของโรงเตี๊ยมปราศจากสุ่มเสียงใดๆ เถ้าแก่ท่าทางเงอะงะเดินออกมาจากในครัว มันถึงกับไม่สนใจคนเหล่านี้ พวกที่ตื่นเช้าผิดปกติมักหลับง่ายอย่างยิ่ง

มันเดินไปเดินมารอบคนเหล่านั้นแล้วเดินไปลงกลอนประตูหน้าต่างจากนั้นจึงหันกลับมายืนหน้าคนเหล่านั้นอีกครั้ง พลันเสียงหัวเราะอย่างขบขันของดรุณีน้อยกลับดังขึ้นกังวานไปทั่วห้อง

สุ่มเสียงนี้กลับดังจากร่างของเถ้าแก่หลังค่อมผู้นั้น!

“พลังฝีมือพวกเจ้าไม่เห็นกล้าแข็งอย่างที่ร่ำลือกันเลย” เถ้าแก่ผู้นั้นหลังตรงขึ้นมาทันทีท่าทางเงอะงะหายไปร่างกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวรวดเร็วอย่างยิ่ง

แต่แล้วเสียงหัวเราะดังกังวานกลับต้องชะงักลงในทันที เพราะภายในห้องพลันบังเกิดอีกสุ่มเสียงหนึ่งขึ้น

เป็นเสียงบิดกายอย่างเกียจคร้านของบัณฑิตซอมซ่อผู้นั้น!

จากนั้นอีกหลายสุ่มเสียงก็ตามมา

..........................................................................................................................


: เป็นเสียงรินน้ำชาลงในถ้วย...

และเสียงหัวเราะที่ยังดังกว่าเมื่อครู่ของดรุณีน้อยอีกผู้หนึ่ง!

ดรุณีน้อยในร่างเถ้าแก่ตะลึงลานอยู่กับที่แล้ว นางย่อมไม่เข้าใจนี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่ นางเห็นกับตาทุกคนล้วนดื่มน้ำชากันคนละหนึ่งถ้วย น้ำชาที่นางต้มเป็นพิเศษสำหรับแขกเหล่านี้

“ที่แท้ที่นี่กลับเป็นโรงเตี๊ยมโจร” ขณะกล่าวประโยคนี้ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้

“เจ้าผิดแล้ว โรงเตี๊ยมโจรปกติไม่ใช้ยาสลบชนิดนี้” ลิ้มปวยฮวยยิ้มแย้มเช่นกัน นี่กลับเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงซึ่งไม่บ่อยนักที่จะปรากฏบนใบหน้าของนาง

“ที่แท้ชนิดของยาสลบก็แยกชนิดโรงเตี๊ยมได้” เรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของเอี้ยป้อฮู้ได้ดียิ่ง

“ย่อมได้แน่นอน ยาสลบนี้ได้ผลดีเกินไปหายากเกินไปทั้งราคายังแพงยิ่ง โรงเตี๊ยมโจรต้องไม่ยอมลงทุนขนาดนี้แน่” ลิ้มปวยฮวยเกือบจะหัวเราะออกมา มีผู้คิดวางยาสลบเซียนแพทย์อย่างนางนี่มิใช่เรื่องน่าหัวร่อหรอกหรือ

“พวกเจ้าดื่มน้ำชาจนหมดแล้วนี่” นางยังคิดไม่ออกนี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่

“หากข้ากับท่านพี่หลงกลเจ้าง่ายขนาดนี้ตระกูลลิ้มของเราจะยังมีหน้าอยู่ในยุทธภพได้ยังไง”

เซียนแพทย์กับเซียนพิษย่อมไม่มีทางถูกผู้อื่นวางยาอย่างแน่นอน

“ข้านอนเพียงพอแล้ว เช้านี้จึงยังไม่คิดจะหลับอีก” เต็งพู้ย้งยังหน้าตาแจ่มใสกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ข้าอยู่ที่นี่เป็นวันที่สี่แล้ว” เอี้ยป้อฮู้กล่าวเพียงสั้นๆ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ ยังจะมีผู้ใดสามารถตบตาบัณฑิตไร้ร่องรอยได้ถึงสี่วัน

ทันใดนั้นเอี้ยป้อฮู้ลุกขึ้นยืนด้วยอาการลิงโลด “ข้านี่โง่จริงๆ ข้าควรคิดได้แต่แรกแล้ว” สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่มัน “ข้าเองเกือบเข้าใจว่านาคามูระ โยชิตั้งใจพักอยู่ที่นี่หลายวันก็เพื่อเสาะหาคุณชายปึง แต่มันย่อมคาดคะเนได้เหมือนกับพวกเรา...ตอนนี้คุณชายปึงไม่คิดแย่งชิงสิ่งใดกับผู้อื่นแล้ว...ถึงมันคิดกำจัดคุณชายปึงก็ต้องไม่ใช่เวลานี้ มันควรคิดกำจัดผู้ที่สามารถแย่งชิงกับมันและคิดแย่งชิงกับมันก่อน ผู้ที่มันเสาะหาไม่ใช่คุณชายปึง!” ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ร่างเถ้าแก่ผู้นั้น

“มันเสาะหาคนผู้นี้” ลิ้มเอ็งฮวยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าปีศาจตนนั้นเสาะหาดรุณีในร่างเถ้าแก่ทำไม

“ไม่ใช่นางแต่เป็นศิษย์พี่ของนาง!” เอี้ยป้อฮู้กล่าวอย่างมั่นใจ มันอยู่ที่นี่สามวันไม่เพียงทราบเถ้าแก่เป็นดรุณีน้อยปลอมตัว ทั้งยังทราบเลาๆถึงต้นสังกัดของนาง สิ่งที่มันแน่ใจย่อมถูกต้องกว่าแปดหรือเก้าส่วนแน่นอน

แต่ยังไม่มีใครทราบผู้ใดคือศิษย์พี่ของนาง ดังนั้นทุกคนต่างรอให้เอี้ยป้อฮู้กล่าวต่อไป

มันเน้นทีละคำช้าๆ “อี้แป๊ะเฮาะอยู่ที่ไหน!”

ทุกคนในห้องล้วนคาดไม่ถึง ดรุณีในร่างเถ้าแก่จะกลับกลายเป็นศิษย์ผู้น้องของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!

“สิบปีนี้ จอมยุทธอี้เร่ร่อนพเนจรขจัดมารร้าย ทลายชุมนุมโจรมากมายประกอบความดีให้ยุทธภพไว้ไม่น้อยแต่ไฉนกลับหลบลี้หนีหน้าไม่ยอมพบปะผู้ใดถึงสิบปีเต็มๆ”

“ถึงศิษย์พี่จะทำความดีมากมายเพียงใด กลับยังมีชาวยุทธจำนวนไม่น้อยที่นินทาลับหลังว่าสิ่งที่ศิษย์พี่กระทำลงไปทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการไถ่ถอนความผิดที่ตนทำลงไป คนผู้หนึ่งเมื่อถูกมอมหน้าจนดำแม้จะกระทำความดีเช่นไร ผู้คนกลับยังคอยจ้องจับผิดอยู่เรื่อยไป” นางยอมรับฐานะของตนแล้ว

“นั่นต้องโทษตัวเองและประมุขของทั้งห้าตระกูลแท้ๆ หากสิบปีก่อนอี้แป๊ะเฮาะกับประมุขของทั้งห้าตระกูลออกมาชี้แจงสะสางเรื่องราวให้กระจ่างเรียบร้อย เวลานี้ไหนเลยต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่ว...สิบปีที่แล้วทุกคนต่างคาดคิดว่าอีกหลายปีให้หลังอี้แป๊ะเฮาะต้องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดินได้อย่างแน่นอน มันมีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ...” เอี้ยป้อฮู้พึมพำกับตนเอง

“เพราะท่านต่างหากพี่แป๊ะเฮาะถึงต้องเป็นอย่างทุกวันนี้!” นางจ้องเอี้ยป้อฮู้ราวกับจะกินเลือดเนื้อ

“จอมยุทธอี้อยู่ที่นี่? แม้แต่เต็งพู้ย้งยังอดตื่นเต้นกับเรื่องนี้มิได้

“ถึงไม่อยู่ตลอดเวลาก็ต้องมาบ่อยอย่างยิ่ง ผู้ที่มีสถานที่อยู่เป็นหลักแหล่งต่อให้หลบซ่อนมิดชิดเพียงใด แต่หากหมู่ตึกบูรพาต้องการเสาะหาต้องหาเจอแน่นอน” มันยังสรุปเรื่องราวได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

“คนของหมู่ตึกบูรพายังมีความสามารถอยู่บ้าง” ไม่เพียงนาคามูระ โยชิ ลิ้มเอ็งฮวยยังพาลหงุดหงิดเมื่อได้ยินผู้อื่นยกย่องความสามารถคนของหมู่ตึกบูรพา

“ศิษย์พี่อยู่ในห้องนั้น” นางชี้มืออย่างรวดเร็วไปทางห้องด้านหลัง เพียงผู้อื่นชำเลืองตามองตาม มือทั้งคู่ของนางก็หยิบวัตถุสีดำหลายชิ้นออกมาจากสายรัดเอวอย่างรวดเร็ว!

พอผู้อื่นรู้ตัวนางก็ขว้างวัตถุสีดำลงบนพื้นห้องแล้ว เสียงระเบิดดังสนั่นควันสีดำสนิทตลบอบอวนไปทั่วห้องพร้อมกับเสียงหน้าต่างทลายออก ร่างดรุณีในคราบเถ้าแก่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นี่นับเป็นระดับความเร็วที่น่าตื่นตระหนกจริงๆ!

คนทั้งสี่ล้วนกลั้นหายใจเพราะต่างไม่รู้ว่าในควันมีพิษอีกหรือไม่ ผู้ที่เพิ่งถูกลอบวางพิษจะอย่างไรต้องเกิดความหวาดระแวงมากขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อต้องกลั้นหายใจย่อมไม่สามารถรวบรวมพลังภายในได้เต็มที่ทั้งยังไม่กล้าใช้แรงในทันที เป็นเช่นนี้จึงไม่มีทางตามดรุณีในร่างเถ้าแก่ทัน

เนื่องเพราะดรุณีในร่างเถ้าแก่มีฝีเท้าที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ทั้งยังอาศัยความมืดรวมทั้งความจัดเจนพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ร่างมอมแมมผมเผ้าเป็นกระเซิงโลดแล่นไปตามพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว แม้แผนของนางจะไม่สำเร็จแต่ต้องไม่ยอมให้ผู้อื่นจับตัวได้อย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่คิดถึงผู้คนที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมนางกลับพบว่าร่างตนหนักอย่างยิ่งจนไม่สามารถขยับตัวได้!

นี่เป็นเรื่องราวใดอีก! นางหันมามองด้านหลังจึงพบว่ามีมือแข็งแกร่งข้างหนึ่งยึดไหล่ของนางไว้จนนางไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แม้แต่น้อย!

เจ้าของมือข้างนั้นเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “เป็นเจ้านี่เอง” ผู้พูดประโยคนี้ถึงกับเป็นนาคามูระ โยชิ!

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////