วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 4)



: บทที่ 4.

ลิ้มเอ็งฮวยออกวิ่งอย่างรวดเร็ว มาจนวันนี้จึงค่อยสำนึกขอบคุณบิดาและท่านพี่ที่คอยเคี่ยวเข็นให้นางฝึกวิชาเสมอมา ปกตินางไม่ค่อยใส่ใจวิชาตัวเบาเนื่องเพราะนางไม่เคยต้องวิ่งหนีผู้ใด นางไม่เคยเกรงกลัวผู้คนเมื่อยังเด็กเคยเกรงกลัวแต่ปีศาจเท่านั้น

แต่เมื่อครู่นางเพิ่งเผชิญหน้ากับปีศาจร้าย!

ต้องเป็นปีศาจจากอเวจีอย่างแน่นอน เพราะต้องไม่มีทางที่ผู้คนจะใช้ดาบได้รวดเร็วและอำมหิตได้ถึงเพียงนั้น!

ท่ามกลางความมืดร่างเล็กที่บอบบางพุ่งดุจลูกธนูหลุดจากแหล่ง ซอกซอนไปมาระหว่างต้นไม้ใหญ่โดยไม่รู้ทิศทาง ใบหน้าเรียวมนที่ปกติมักมีสีแดงเรื่อๆกลับกลายเป็นซีดเผือด ดวงตากลมโตที่แฝงแววซุกซนเจ้าเล่ห์อยู่ตลอดเวลาบัดนี้กลายเป็นตื่นตระหนกอย่างยิ่ง นางเพียงหวังไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่หวนคิดถึงดาบยาวสีเงินยะเยือก เต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟันราวกำเนิดจากอเวจีก็พลันปรากฏมือคู่หนึ่งพุ่งตรงมา กระแทกไหล่ของนางอย่างรุนแรงจนซวนเซไปหลายก้าว

“เอ็งฮวยเจ้าเป็นอะไรไป...พี่ตะโกนเรียกตั้งนานทำไมเจ้าไม่หยุด” น้ำเสียงร้อนรนที่คุ้นเคยยิ่งดังกระทบโสตประสาท ร่างหนึ่งโผเข้ามาพยุงนางไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะล้มคะมำลงบนพื้นหิมะเย็นเยียบ

นางเงยหน้าขึ้นดวงตาที่ปกติมักแฝงแววกลิ้งกลอกหายไปจนสิ้น สีหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ริมฝีปากบางสั่นระรัวขณะละล่ำละลักออกมาทีละคำอย่างยากเย็น

“ปีศาจ! ปีศาจจะเอาชีวิตข้าพเจ้า!”

ลิ้มปวยฮวยไม่เคยเห็นน้องของตนตกใจเยี่ยงนี้มาก่อน...แต่ในโลกนี้มีปีศาจที่ไหนกัน

“เหลวไหล เจ้าออกไปก่อกวนผู้อื่นจนต้องวิ่งหนีมาล่ะซิ” เมื่อหลุดปากออกไปนางจึงได้คิดว่าตนกล่าวผิดเสียแล้ว น้องสาวผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดมาก่อน บางครั้งแม้แต่บิดายังไม่คิดจะปะคาระกับนาง...หรือนางจะพบปะปีศาจมาจริงๆ

ลิ้มปวยฮวยหยิบเสื้อหนังจิ้งจอกที่ทั้งหนาทั้งอบอุ่นคลุมบนร่างสั่นเทา นางถือเสื้อตัวนี้วิ่งตามออกมาเมื่อรู้ว่าน้องของตนแอบออกจากโรงเตี๊ยมในยามวิกาล แล้วจูงมือเย็นเฉียบเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่เบื้องหน้า

ลิ้มเอ็งฮวยยังหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ผู้พี่พานางไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง จากนั้นเดินไปยื่นเทียบยาและห่อบรรจุตัวยาอีกซองให้เถ้าแก่แล้วอธิบายกำชับอีกหลายคำ

เถ้าแก่ที่ปกติต้องตื่นเช้ากว่าแขกผู้พักอาศัยอยู่แล้ว รีบรับเทียบและห่อบรรจุตัวยาพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นจึงเดินไปหยิบกาน้ำชาที่เพิ่งเดือดมารินให้ดรุณีทั้งสอง

ยังไม่รุ่งสางยากยิ่งที่โรงเตี๊ยมซอมซ่ออย่างนี้จะปรุงอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วทันเหล่าแขกที่ตื่นเช้าเช่นนี้ แต่น้ำชาสักหลายกาย่อมต้องจัดเตรียมพร้อมเสมอโดยเฉพาะในเวลาที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้

ชายหลังค่อมวัยกลางคนเดินเงอะงะไปรินน้ำชาให้แขกอีกโต๊ะหนึ่ง แขกที่เมาหลับๆตื่นๆอยู่ที่โต๊ะตัวนี้มาเป็นเช้าวันที่สี่แล้ว จากนั้นเถ้าแก่จึงเดินกลับเข้าไปต้มยาในครัว

มือที่ยังสั่นระริกหยิบถ้วยชามาดื่มจนหมด เค้าความสดใสของดรุณีแรกรุ่นหายไปจากใบหน้าของนางจนสิ้น ร่างเล็กผอมบางยังแสดงอาการหวาดๆ

“ข้าพเจ้าเจอปีศาจ” หลังดื่มชาอุ่นๆจนหมดเสียงของนางจึงเริ่มลดความตระหนกลงบ้าง

“เหลวไหล...” ลิ้มปวยฮวยตอบได้เพียงแค่นี้เพราะนางเองก็คิดไม่ออกว่ายังจะมีผู้ใดที่ทำให้น้องของตนต้องวิ่งกระเซอะกระเซิงมาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นนางเจอะเจอปีศาจจริงๆหรือ...

“อากาศหนาวเย็นเพียงนี้เจ้ายังออกไปข้างนอกแล้วเมื่อไหร่อาการจะทุเลา...เช้าเช่นนี้เจ้าออกไปข้างนอกทำไม”

“ข้า...ข้าออกไปเก็บยา” นางอ้อมแอ้มตอบ

“เจ้าแอบออกไปจับหนูหิมะอีกแล้วใช่ไหม” สีหน้าที่เป็นห่วงกังวลกลับกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที

“ที่แท้แถวนี้กลับมีหนูหิมะอยู่ด้วย” ผู้พูดเป็นปีศาจสุราที่คิดว่าเมามายจนหลับแล้ว

“ดูท่าท่านจะหลับยากอย่างยิ่ง” นางหันไปแค่นยิ้มให้เล็กน้อย ย่อมเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น

“ไม่ว่าผู้ใดได้ยินชื่อหนูหิมะย่อมต้องตื่นง่ายอย่างยิ่ง” บัณฑิตซอมซ่อบิดกายอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง

“หนูหิมะแม้ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะแต่ยังมีค่าควรแก่การตื่นเช้าเช่นนี้จริงๆ” ผู้พูดเป็นเต็งพู้ย้ง นางเดินลงมาจากห้องพักที่อยู่ชั้นบน แม้ตื่นเช้าขนาดนี้แต่นางยังมีรอยยิ้มเต็มลักยิ้มทั้งสองข้างอย่างสดชื่น มีผู้ยินยอมตื่นเช้าอีกคนหนึ่งแล้ว

“เจ้ามีน้องเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์อยู่มากจริงๆ” บัณฑิตซอมซ่อกล่าวต่อ “อากาศเยี่ยงนี้ยังออกไปตรากตรำวางกับดักหนูหิมะข้างนอก...มิน่าเพราะเหตุนี้เจ้าจึงต้องต้มยาบำรุงให้นางเป็นประจำ”

“ท่านคิดว่าข้าใช้ให้นางไปหาของแบบนั้น” น้ำเสียงเย็นชาของนางกลายเป็นขุ่นเคืองอย่างชัดเจน

“หนูหิมะไม่ใช่ยาอายุวัฒนะก็จริงแต่สรรพคุณในการดูดซึมยาพิษของมันกลับสามารถนำมาจำแนกแยกแยะชนิดของพิษประเภทต่างๆได้” แววตาเอี้ยป้อฮู้ที่ปกติคล้ายกับจะสามารถกระชากความลับที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายยิ่งเปล่งประกายแวววาวราวดวงตาของพญาจิ้งจอกที่กำลังออกไล่ล่าเหยื่อ!

“หากสามารถรู้ว่าผู้ถูกพิษโดนพิษประเภทใด การเยียวยาย่อมไม่ยากเย็นแล้ว ฉะนั้นสำหรับผู้ศึกษาเรื่องยาและพิษนี่ต้องนับว่าเป็นของวิเศษล้ำค่า”

“แฮะ...” นางแค่นหัวเราะ “ข้ายังต้องการของแบบนั้นไปทำไม”

“วิชาแพทย์ของตระกูลลิ้มเป็นหนึ่งในยุทธภพมาหลายชั่วคน จนวันนี้ได้กำเนิดทั้งเซียนแพทย์และเซียนพิษยังต้องการของแบบนี้ไปทำไม” เต็งพู้ย้งขมวดคิ้วพลางหันใบหน้าไปไถ่ถามลิ้มปวยฮวย

“หรือไม่มีพิษใดที่เจ้าไม่สามารถจำแนกได้” เอี้ยป้อฮู้สวนคำจิ้งจอกร้ายย่อมไม่ปล่อยให้เหยื่อมันหลุดรอด

“จนวันนี้ยังไม่มี” เซียนแพทย์ไร้ใจตอบอย่างมั่นใจยิ่ง

“จนวันนี้ยังไม่มีจริงหรือ” พญาจิ้งจอกยังล่าเหยื่อของมันอย่างไม่ลดละ

“ท่านคิดพูดเรื่องอะไรกันแน่ พิษทุกชนิดที่เคยตรวจสอบท่านพี่ล้วนระบุได้” ลิ้มเอ็งฮวยหายตื่นตระหนกแล้ว นางมองออกว่าบัณฑิตซอมซ่อผู้นี้ต้องการก่อกวนตระกูลลิ้มของตน

“แต่เจ้าก็ยังไม่มั่นใจจึงยังต้องการหนูหิมะ!” เอี้ยป้อฮู้จ้องหน้านางเขม็ง “เพราะมีพิษอยู่ชนิดหนึ่งที่ตระกูลลิ้มของเจ้ายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพิษจากอะไร! และใครกันแน่เป็นผู้แพร่พิษชนิดนั้น!”

นี่จึงเป็นกระบี่ที่แทงตรงไปยังขั้วหัวใจของดรุณีทั้งสอง!

“ที่แท้ท่านต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษร! ในตอนนั้นพวกเรายังเด็กเพิ่งเริ่มเรียนวิชาไหนเลยสามารถระบุชนิดของพิษได้ เวลาที่เกิดเรื่องก็ฉุกละหุกสับสนอย่างยิ่ง...ท่านพ่อก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นท่านต้องสามารถระบุชนิดของพิษและจับผู้แพร่พิษได้แน่” นางลุกขึ้นโต้ตอบอย่างไม่เกรงใจบุรุษผู้ซึ่งชาวยุทธให้เกียรติ์ว่ามีความรู้กว้างขวางที่สุด

บัณฑิตซอมซ่อยังนั่งนิ่งไม่สนใจท่าทางของนาง แต่น้ำเสียงกลับยิ่งประชดประชันแดกดันมากขึ้น “เรื่องราวผ่านมาถึงสิบปีพวกเจ้ายังคิดขุดคุ้ยขึ้นมาอีกหรือนี่”

“ข้าเพียงคิดทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่เหมือนท่านที่หาชื่อเสียงใส่ตัวด้วยการเขียนเรื่องไร้สาระป้ายสีผู้อื่น!” เช้านี้นางเจอเรื่องราวมากเกินไปบัดนี้จึงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ชี้หน้าเอี้ยป้อฮู้อย่างไม่เกรงใจใดๆทั้งสิ้น

“ข้าไม่ได้ใส่ร้ายผู้ใด! จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีทางที่ข้าจะสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นได้”

นางล้วงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ “เหลวไหล! ที่ชื่อเสียงของจอมยุทธอี้ต้องมัวหมองจนทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการด่วนสรุปและโหมประโคมข่าวของท่าน...เพียงเจ็ดวันยังไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดถึงตัวฆาตกรผู้วางยาแต่หนังสือของท่านก็กลาดเกลื้อนเต็มยุทธภพแล้ว”

เอี้ยป้อฮู้มองการกระทำของนางอย่างเฉยเมย “เดือนหน้ายังมีผู้คนสั่งคัดลอกอีกจำนวนหนึ่งเจ้าอย่าลืมไปฉีกด้วยล่ะ”

“ข้าไม่ฉีกข้าจะเผามันให้เป็นจุลให้หมด!” นางตบโต๊ะอย่างรุนแรงบันดาลโทสะถึงขีดสุด “หลังจากประมุขของทั้งห้าตระกูลใหญ่สะสางเรื่องราวเสร็จสิ้น เหล่าท่านผู้เฒ่าต่างระบุชัดเจน จอมยุทธอี้มิได้เป็นผู้วางยา แต่ท่านกลับไม่ยอมแก้ไขหนังสือของตนปล่อยให้ชาวยุทธเชื่อว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้ผิดมาตลอดสิบปี!”

“ผู้ใดว่าเรื่องราวสะสางเสร็จสิ้น หากตระกูลเซี่ยงกัวยอมรับผลการสืบสวนของอีกสี่ตระกูลจริงๆ เหตุใดต้องถอนตัวจากตงง้วนไปตั้งรกรากใหม่ที่เกาะพู้ซึ้งเล่า” เอี้ยป้อฮู้แค่นหัวเราะ “เฮอะ...ถึงตระกูลเซี่ยงกัวจะไม่เห็นด้วยแล้วทำอย่างไรได้ ในเมื่อตระกูล ลิ้ม เต็ง ปึง กงซุน มีความเห็นตรงกันขนาดท่านผู้เฒ่ากงซุนอี้โหงวประมุขหมู่ตึกพันอักษรคนปัจจุบันยังคิดยุติเรื่องราวไม่สืบหาตัวผู้วางยาต่อโดยไม่อธิบายเหตุผลใดๆ ภาวะหัวเดียวกระเทียบลีบเช่นนั้น สิ่งที่ตระกูลเซี่ยงกัวทำได้ก็มีแต่การจากไปเท่านั้น”

เอี้ยป้อฮู้ระเบิดหัวเราะจนตัวสั่นเทาราวกับได้ยินเรื่องที่ขบขันที่สุดในชีวิต “ฮ่าๆๆๆ...เรื่องราวสะสางเสร็จสิ้น หากเรื่องสะสางเสร็จสิ้น เจ้ายังออกไปหาหนูหิมะทำไม! เฮอะ...สุราไหนั้นเป็น อี้แป๊ะเฮาะ คะยั้นคะยอให้คุณชายใหญ่กงซุนซาเทียน กับคุณหนูใหญ่เซี่ยงกัวเซียนนึ้งดื่มชัดๆ พวกเจ้าก็เห็นกับตา”

“น้องเอ็งฮวยถึงเจ้าเผามันหมดสิ้นก็ยังมีคนต้องการอ่านอีกมาก นิทานสนุกสนานปานนี้ผู้คนล้วนชื่นชอบ” เต็งพู้ย้งแทรกขึ้นเรียบๆไม่ว่าเหตุการณ์ตึงเครียดเพียงใดนางยังยิ้มแย้มได้

“แม้แต่ท่านก็หาว่าหนังสือของข้าเป็นเรื่องเหลวไหล” ดวงตาเขม็งเกลียวหันไปใส่เต็งพู้ย้งทันที

“ยังไม่เหลวไหลหรอก เพียงยังไม่ชัดเจนพอ ท่านยืนยันว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้ลอบวางยาพิษคู่บ่าวสาวในคืนวันแต่งงานโดยใช้สุราไหเดียวเป็นหลักฐานกล่าวหาจอมยุทธอี้ ส่วนเหตุผลที่จอมยุทธอี้ต้องทำเช่นนั้นท่านวิเคราะห์จากความสัมพันธ์และความขัดแย้งของจอมยุทธอี้กับคู่บ่าวสาวทั้งสอง” เต็งพู้ย้งกล่าวพลางหยิบหนังสือแบบเดียวกับที่ลิ้มเอ็งฮวยเพิ่งฉีกออกจากห่อผ้าของตน

“แต่นอกจากเรื่องนี้ท่านเองก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดเลยที่ระบุได้อย่างแน่ชัดว่าจอมยุทธอี้เป็นเจ้าของพิษที่อยู่ในไหสุราจริงๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นข้อสรุปที่เขียนขึ้นโดยบัณฑิตไร้ร่องรอย...ภายหลังจากที่ห้าตระกูลใหญ่ได้ยืนยันว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านก็ยังยืนกรานในความเห็นของตน ไม่เชื่อในข้อสรุปของประมุขทั้งห้าตระกูลแต่จนถึงวันนี้ท่านก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานอื่นใดมายืนยันคำกล่าวหาของตนได้”

“...ท่านต้องการพูดอะไรกันแน่” แววตาเอี้ยป้อฮู้ปรากฏแววแปลกประหลาดขึ้นวูบหนึ่งน่าเสียดายที่เต็งพู้ย้งไม่มีโอกาสที่จะเห็นได้ตลอดกาล

“ห้าตระกูลใหญ่ยืนยันความบริสุทธิ์ของจอมยุทธอี้โดยไม่ให้เหตุผลใดๆ เพียงบอกว่าไม่ใช่จอมยุทธอี้เป็นผู้กระทำเท่านั้น นี่นับเป็นเรื่องประหลาดจริงๆ มิหนำซ้ำยังหาตัวผู้วางยาไม่ได้กลับคิดยุติเรื่องราวนี่ยิ่งนับว่าเหลือเชื่อ ทั้งที่...” เต็งพู้ย้งชะงักคำพูดชั่วครู่หนึ่ง นางไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อไปจริงๆ แต่นางเก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจนานเกินไป เมื่อได้อยู่ต่อหน้าผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ไหนเลยหยุดความอัดอั้นภายในจิตใจได้

“...ทั้งที่ผู้เสียชีวิตคือทายาทผู้สืบทอดของตระกูลกงซุนและตระกูลเซี่ยงกัว แต่เหตุใดเหล่าประมุขของทั้งห้าตระกูลจึงยุติเรื่องราวไว้แค่นั้น...”

ถึงตอนนี้นางตั้งใจกล่าวช้าๆทีละคำอย่างชัดเจนที่สุด “สิบปีนี้บางครั้งข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า...บางทีประมุขของทั้งห้าตระกูลและท่านอาจยังรู้เรื่องราวอีกมากแต่ไม่มีผู้ใดยินยอมบอกออกมา...” น้ำเสียงนางยังแจ่มใสเป็นปกติไม่ว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรน้ำเสียงนางยังคงเป็นเช่นนี้เสมอ...สงบ...แจ่มใส...ยิ้มแย้ม...อารมณ์ดี แต่ท่านไม่มีวันทราบแท้จริงนางรู้สึกเช่นไรกับเรื่องที่ตนพูด!

นี่เป็นกระบี่อีกหนึ่งเล่มผิดกันที่คราวนี้มันพุ่งตรงตัดขั้วหัวใจของเอี้ยป้อฮู้!

“ข้าพยายามสอบถามท่านพ่อ แต่ท่านกลับไม่เคยบอกสิ่งใดเลย คิดว่าบิดาน้องปวยฮวยและน้องเอ็งฮวยก็คงไม่บอกสิ่งใดเช่นกัน”

สองพี่น้องตระกูลลิ้มพยักหน้ายอมรับ สายตาคาดคั้นสองคู่พุ่งไปที่เอี้ยป้อฮู้

แววตาของจิ้งจอกร้ายยามตะครุบเหยื่อกลายเป็นดวงตาของจิ้งจอกจนตรอกที่ต้องอาวุธของนายพราน มันยังดิ้นรน ดื้อดึงหมายใช้แรงเฮือกสุดท้ายฉุดให้ตายตกตามกัน

“แล้วคำทำนายของท่านและบิดาชัดเจนเพียงพอหรือ หากคราวนั้นคำทำนายของท่านพ่อลูกชัดเจนเพียงพอไฉนจึงทำอำอึ้งไม่ยอมเอ่ยออกมาไม่เช่นนั้นคนทั้งสองอาจไม่ตายก็ได้!”

มันพูดเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่นับเป็นกระบี่ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง เพราะกระบี่เล่มนี้ได้แทงตรงไปที่ขั้วหัวใจของเต็งพู้ย้ง!

ผู้ที่อยู่ในห้องต่างเงียบกริบ เพราะผู้คนภายในได้ตายจนหมดสิ้นแล้ว

ทุกคนล้วนตายภายใต้คำพูดของผู้อื่น!

ทั้งหมดนิ่งอยู่เนิ่นนานเอี้ยป้อฮู้จึงหันไปทางดรุณีน้อยทั้งสอง “ครั้งนี้ที่พวกเจ้าเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรเพราะต้องการรื้อฟื้นเรื่องนี้?” จิ้งจอกร้ายได้ตายไปแล้วแววตาของมันกลับเป็นบัณฑิตซอมซ่ออีกแล้ว

ทั้งหมดไม่คิดที่จะกล่าวถึงอดีตอีกเพราะไม่เช่นนั้นนี่ย่อมต้องเป็นการสนทนาของคนที่ตายไปแล้ว การสนทนาของคนที่ตายไปแล้วต้องไม่น่าฟัง เรื่องราวที่กล่าวถึงก็ย่อมไม่ควรฟัง เพราะหากท่านยังขืนอยากฟังท่านอาจต้องกลายเป็นผู้ที่ตายเป็นคนต่อไป!

“มิใช่...ครั้งนี้ท่านพ่อสั่งให้เราไปประลองชิงตำแหน่งเจ้าหมู่ตึกพันอักษร” ลิ้มปวยฮวยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พวกเจ้าไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องนี้แล้วออกไปหาหนูหิมะทำไม?” บัณฑิตไร้ร่องรอยยังอดสงสัยพฤติกรรมของพวกนางไม่ได้

“นั่นเป็นเรื่องของข้า! ท่านพี่บอกว่าไม่รื้อฟื้นก็ไม่รื้อฟื้น!” ลิ้มเอ็งฮวยสวนกลับมาทันควันอย่างขุ่นเคือง

สายตาทั้งสามคู่ต่างหันไปหาคำตอบจากเต็งพู้ย้งบ้าง

..........................................................................................................................


: นางนิ่งไปครู่ใหญ่จึงค่อยกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องนี้และยิ่งไม่คิดแย่งชิงกับผู้ใด ข้าเพียงแต่คาดคิดว่างานนี้คงได้พบสหายเก่ามากมาย” เต็งพู้ย้งกล่าวตอบพลางหันหน้าเป็นเชิงไถ่ถามไปยังเอี้ยป้อฮู้

“ฝีมืออย่างข้าจะกล้าไปแย่งชิงกับผู้อื่นได้ยังไง แต่งานนี้ยังน่าสนใจยิ่งกว่าการประลองของตาแก่สำนัก เตียมชังกับคุนลุ้นสักสามหมื่นสองพันโยชน์”

“เช่นนี้เรามีคู่แข่งเหลือเพียงสามตระกูลใหญ่” ลิ้มปวยฮวยครุ่นคิดถึงสามตระกูลที่เหลือ สิบปีแล้วไม่ทราบผู้สืบทอดของแต่ละตระกูลฝีมือก้าวหน้าขึ้นเพียงใด

“อาจเหลือเพียงตระกูลเดียว...กับอีกหนึ่งหมู่ตึกและอีกหนึ่งหรือสองคน” บัณฑิตขี้เมากล่าวอย่างมั่นใจ

“เหตุใดจึงเหลือเพียงตระกูลเดียว” หลังจากนั่งนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน ลิ้มเอ็งฮวยจึงค่อยลดโทสะของตนลงจนเป็นปกติได้

บัณฑิตไร้ร่องรอยหันไปกล่าวกับซินแสลิขิตฟ้า “ตระกูลเต็งของเจ้าไม่เข้าประลอง...ตระกูลกงซุนหลังเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนท่านผู้เฒ่ากงซุนอี้โหงวเจ้าของหมู่ตึกพันอักษรคนปัจจุบันก็ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพอีก...รับประกันได้ท่านต้องไม่เข้าร่วมประลองแน่จึงตัดได้อีกหนึ่ง ส่วนตระกูลปึง...เมื่อคืนพวกเจ้าก็ได้ยิน...ขลุ่ยหยกที่เคยสั่นสะเทือนยุทธภพคล้ายกลายเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจไปแล้ว...ตระกูลลิ้มของเจ้าจึงมีคู่แข่งเพียงตระกูลเซี่ยงกัวของคุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูเท่านั้น”

บทวิเคราะห์ของมันชัดเจนอย่างยิ่งรวดรัดหมดจดแม่นยำอย่างยิ่ง เพราะบทสรุปที่เปี่ยมเหตุผลเช่นนี้ชื่อของบัณฑิตไร้ร่องรอยจึงดำรงอยู่ในยุทธภพได้จนทุกวันนี้!

เมื่อได้ยินเอี้ยป้อฮู้เอ่ยถึงเสียงขลุ่ย เต็งพู้ย้งถึงกับขมวดคิ้วแต่ยังไต่ถามต่อ

“แล้วอีกหนึ่งหมู่ตึก”

“เป็นหมู่ตึกบูรพา เมื่อสิบปีก่อนหลังจากตระกูลเซี่ยงกัวย้ายจากตงง้วนไปอยู่ที่เกาะพู้ซึ้ง ประมุขของหมู่ตึกบูรพาคนปัจจุบันได้เข้ามายังถิ่นเดิมของตระกูลเซี่ยงกัวสร้างฐานกำลังขึ้นใหม่ ห้าปีหลังนี้มีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนกว่าตระกูลเซี่ยงกัวในอดีตแม้แต่น้อย”

“ยังมีอีกคนหรือสองคน” เต็งพู้ย้งพยักหน้ายอมรับในความเห็นของเอี้ยป้อฮู้เช่นกัน จนตอนนี้นางจึงค่อยยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม

“นับจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะกับจอมโจรเสเพลเซียวเซียนด้วยได้” เอี้ยป้อฮู้ตอบอย่างมั่นใจแล้วหันไปมองลิ้มเอ็งฮวย กล่าวอย่างเย้ยหยัน “แต่ยังไม่ทันถึงหมู่ตึกพันอักษรเจ้าก็วิ่งตัวสั่นกลับมาเสียแล้ว”

ลิ้มเอ็งฮวยน่าแดงกล่ำนี่นับเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ

“ปีศาจ! เป็นปีศาจจากอเวจี จะเอาชีวิตข้า!”

“ในโลกนี้ไหนเลยมีปีศาจได้” เอี้ยป้อฮู้หัวเราะเยาะเสียงดัง

“มีสิ มันถือดาบสีเงินยาวกว่ากระบี่ทั่วไปราวหนึ่งเชียะ ร่างของมันไม่สูงใหญ่แต่ตั้งตรงหนักแน่นไร้ช่องว่างให้จู่โจมอย่างเด็ดขาด ประกายตาคู่นั้นเย็นยะเยือกจนหนาวจับใจ ใบหน้าเฉยเมิยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์อยู่สักนิด ดาบของมันรวดเร็วอำมหิตอย่างยิ่งจริงๆ”

ทั้งสามคนที่นั่งฟังต่างคนถึงกับนิ่งอึ้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

เต็งพู้ย้งกล่าวว่า “เป็นนาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพา”

“เป็นมันอย่างแน่นอน” เอี้ยป้อฮู้พยักหน้าเห็นด้วย

“ไฉนเป็นมัน...ข้าเห็นปีศาจชัดๆ” ลิ้มเอ็งฮวยไหนเลยจะยอมเชื่อว่าผู้ใช้ดาบปีศาจนั่นจะเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนตน

“หากมีผู้ที่ทำให้เจ้ามีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ได้ต้องเป็นมันแน่นอน” เต็งพู้ย้งหันไปย้ำกับนาง

ลิ้มเอ็งฮวยไม่ทุ่มเถียงอีกเนื่องเพราะนางทราบหากซินแสลิขิตฟ้าและบัณฑิตไร้ร่องรอยระบุอย่างเดียวกันเรื่องต้องไม่มีทางเป็นอย่างอื่นแน่

“เรื่องที่ล่ำลือไปทั่วยุทธภพกลับเป็นจริง ยังไม่ทันถึงหมู่ตึกพันอักษรมันก็มุ่งมาหาเรา” สีหน้าเย็นชาของลิ้มปวยฮวยขึงโกรธขึ้นทันที “สามเดือนก่อนตั้งแต่ข่าวงานประลองแพร่ออกไปคนผู้นี้ได้นัดหมายประลองกับจอมยุทธมีชื่อไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว”

“นั่นกลับทำให้ผู้อื่นได้เปรียบอย่างยิ่ง” ลิ้มเอ็งฮวยประชดขึ้น ความรู้สึกชิงชังโกรธแค้นนาคามูระ โยชิพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที นี้นับเป็นครั้งแรกที่นางต้องวิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ เมื่อมันไม่ใช่ปีศาจการวิ่งหนีผู้อื่นจึงน่าอับอายมากยิ่งกว่า แต่แล้วนางก็ต้องหน้าสลดลงอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่เอาไหนเพียงสามกระทวนท่าก็แพ้อย่างสิ้นเชิง”

เต็งพู้ย้งทอดถอนใจ ลูบศรีษะนางอย่างปลอบโยน “เจ้ารู้หรือไม่...ผู้ที่รอดจากดาบเขาได้สามกระบวนท่าน่ากลัวจะมีไม่เกินสิบคน คนที่สามารถแย่งชิงคัมภีร์พันอักษรกับเขาได้คงมีไม่กี่คนเท่านั้น”

เอี้ยป้อฮู้แค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขายหน้า ข้าจะบอกให้เจ้าทราบข้ายังไม่มีความมั่นใจจะหลบดาบมันได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เจ้ายังวิ่งหนีมันพ้นอีก ต้องนับว่าเจ้าสร้างปาฏิหารย์มากแล้ว”

“แต่เหตุใดมันต้องทำเรื่องเสียเปรียบผู้อื่นเช่นนี้....”

“อาจเพราะมันมั่นใจว่าการประลองที่หมู่ตึกพันอักษรตนต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน แต่เมื่อได้คัมภีร์พันอักษรมามันย่อมต้องการเวลาฝึก มันกลัวผู้อื่นคิดแย่งชิงตอนมันฝึกปรือ เลยต้องกำจัดผู้อื่นให้หมดก่อน” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างยิ่ง

“ฝีมือระดับมันยังต้องกลัวผู้ใด” เอี้ยป้อฮู้ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “หากมันมั่นใจเช่นนั้นรอให้มันได้ทั้งหมู่ตึกทั้งคัมภีร์ตอนนั้นคิดกำจัดผู้อื่นย่อมง่ายดายยิ่ง”

“แต่มันยังคิดกำจัดผู้มีฝีมือจนหมดทั้งแผ่นดินจริงๆ ถึงกับมาดักรอพวกเราที่นี่” ผู้อื่นยิ่งพูดถึงความสามารถของนาคามูะระ โยชิ ลิ้มเอ็งฮวยกลับยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้นไปอีก

“เป็นมันมาดักรอเจ้า?” เอี้ยป้อฮู้ยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

ลิ้มเอ็งฮวยค่อยคิดได้แม้แต่พี่ของนางยังไม่ทราบนางลอบออกจากโรงเตี๊ยมคนผู้นั้นจะรู้ได้ยังไง

“เป็นมันรู้ว่าเราอยู่โรงเตี๊ยมนี้จึงรีบรุดมา”

“คล้ายพวกเจ้าเคยบอกว่าเนื่องเพราะโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านเต็มหมดเจ้าจึงมาพักที่นี่ใช่หรือไม่” บัณฑิตไร้ร่องรอยยังคงมีเหตุผลที่ดียิ่ง

“คาดว่าเวลาที่พวกเรามาถึงมันเพิ่งประลองกับเทพพู่กันคู่ยะเยือกเสร็จ” ลิ้มปวยฮวยพยักหน้าตอบรับ

“คนของหมู่ตึกบูรพามีมากมายการสืบหาที่อยู่ของเราให้ใครทำก็ได้” ลิ้มเอ็งฮวยยังทุ่มเถียงต่อ

“พวกเจ้าคิดว่ามีใครตามพวกเจ้ามาได้โดยที่เจ้าไม่รู้ตัวหรือ” เอี้ยป้อฮู้มองหน้านางกลับ

“สำหรับข้าย่อมไม่มีทางแน่ไม่เช่นนั้นฉายาไร้ร่องรอยของข้ายังจะมีความหมายอะไร” หันหน้าไปไถ่ถามเต็งพู้ย้งอีกครั้ง

นางยังคงยิ้มแย้ม “แม้ข้าจะตาบอดแต่ยังไม่ถึงกับปล่อยให้ผู้อื่นตามหาตัวได้โดยง่ายดาย”

“ระหว่างเดินทางไม่มีผู้ใดสะกดรอยตามพวกเรามาอย่างแน่นอน” ลิ้มปวยฮวยพยักหน้าเห็นด้วยกับเอี้ยป้อฮู้อีกครั้ง

“หลายวันนี้หิมะตกอย่างหนักโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านจึงเต็มหมดพวกเจ้าทั้งสามจำต้องมาพักอยู่ที่นี่ เรื่องบังเอิญเช่นนี้มันต้องไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอน จุดประสงค์ของมันจึงไม่น่าใช่พวกเจ้าคนใดเช่นกัน...”

“ระหว่างเดินทางได้ข่าวว่ามันมาหยุดพักที่หมู่บ้านนี้ถึงสามวันแล้ว ถึงหิมะจะตกหนักแต่ก็ต้องไม่เป็นอุปสรรคเหนี่ยวรั้งพวกมันได้ถึงสามวันอย่างแน่นอน หรือมันยอมเสียเวลาเดินทางถึงสามวันเพียงเพื่อรอเวลาประลองกับเทพพู่กันคู่ยะเยือก” ลิ้มเอ็งฮวยครุ่นคิดจนหน้านิ่ว

“เทพพู่กันคู่ยะเยือกยังไม่คู่ควรให้มันรอคอยถึงสามวันหรอก...” เอี้ยป้อฮู้หยุดเพียงเท่านี้

เนื่องเพราะเสียงขลุ่ยเย็นยะเยือกดังกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว...

ทุกคนในห้องนั้นต่างนิ่งฟังเสียงขลุ่ยจนเกือบจะเคลิบเคลิ้มไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาอีก

ครู่ใหญ่เสียงขลุ่ยก็ค่อยเงียบลงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา...

พี่น้องตระกูลลิ้มหันไปมองหน้าเต็งพู้ย้งพร้อมกันราวกับนัดกันไว้

ปึงเพียวเซาะนับเป็นพี่ชายที่แสนดีของคนทั้งสองและเป็นน้องชายที่น่ารักของเต็งพู้ย้งเสมอมา...จนเกิดคดีที่หมู่ตึกพันอักษร...คราวนั้นปึงเพียวเซาะพึ่งได้รับตำแหน่งประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงแทนบิดาที่เสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบัน...เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีต้องเข้าร่วมตัดสินคดีฆาตกรรมที่อื้อฉาวที่สุดในรอบหลายสิบปี...ภายหลังการตัดสินคดีนั้นปึงเพียวเซาะกลับเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึงไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ในคราวนั้นและไม่ยอมพบปะผู้ใดอีกเลย

แม้สองพี่น้องตระกูลลิ้มและเต็งพู้ย้งจะไปเยี่ยมเยียนขอพบนับสิบครั้งกลับยังได้รับการปฏิเสธเสมอมา หลายปีหลังจากนั้นคงมีเพียงเต็งพู้ย้งที่แวะไปยังหมู่ตึกตระกูลปึงเป็นครั้งคราว แต่เจ้าของบ้านยังทำใจแข็งไม่ยอมให้พบแม้สักครั้ง

เต็งพู้ย้งไม่มีวี่แววประหลาดใจที่ได้ยินเสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยในเวลาเช่นนี้ นางเพียงยิ่งแน่ใจการคาดหมายของตน เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆสิบปีที่น้องเพียวเซาะเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึง...สิบปีที่ตนมีปากเสียงกับบิดาจนตัดสินใจออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว...สิบปีแล้วที่ตนมิได้กลับหมู่ตึกตระกูลเต็งอีกเลย...

“หรือจุดประสงค์ของนาคามูระ โยชิคือคุณชายปึง...” ลิ้มเอ็งฮวยโพล่งขึ้นหน้าตาแตกตื่น

แต่นางกลับกล่าวได้เพียงเท่านี้เพราะนางล้มฟุบลงไปแล้ว! หรือเสียงขลุ่ยถึงกับมีอำนาจดึงดูดผู้คนถึงเพียงนี้!

เอี้ยป้อฮู้ฟุบลงไปอีกคน เต็งพู้ย้งก็ฟุบลงตามไป

“นี่...” ลิ้มปวยฮวยกล่าวได้เพียงเท่านี้ก็ล้มฟุบลงกับโต๊ะเช่นกัน!

ภายในห้องโถงของโรงเตี๊ยมปราศจากสุ่มเสียงใดๆ เถ้าแก่ท่าทางเงอะงะเดินออกมาจากในครัว มันถึงกับไม่สนใจคนเหล่านี้ พวกที่ตื่นเช้าผิดปกติมักหลับง่ายอย่างยิ่ง

มันเดินไปเดินมารอบคนเหล่านั้นแล้วเดินไปลงกลอนประตูหน้าต่างจากนั้นจึงหันกลับมายืนหน้าคนเหล่านั้นอีกครั้ง พลันเสียงหัวเราะอย่างขบขันของดรุณีน้อยกลับดังขึ้นกังวานไปทั่วห้อง

สุ่มเสียงนี้กลับดังจากร่างของเถ้าแก่หลังค่อมผู้นั้น!

“พลังฝีมือพวกเจ้าไม่เห็นกล้าแข็งอย่างที่ร่ำลือกันเลย” เถ้าแก่ผู้นั้นหลังตรงขึ้นมาทันทีท่าทางเงอะงะหายไปร่างกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวรวดเร็วอย่างยิ่ง

แต่แล้วเสียงหัวเราะดังกังวานกลับต้องชะงักลงในทันที เพราะภายในห้องพลันบังเกิดอีกสุ่มเสียงหนึ่งขึ้น

เป็นเสียงบิดกายอย่างเกียจคร้านของบัณฑิตซอมซ่อผู้นั้น!

จากนั้นอีกหลายสุ่มเสียงก็ตามมา

..........................................................................................................................


: เป็นเสียงรินน้ำชาลงในถ้วย...

และเสียงหัวเราะที่ยังดังกว่าเมื่อครู่ของดรุณีน้อยอีกผู้หนึ่ง!

ดรุณีน้อยในร่างเถ้าแก่ตะลึงลานอยู่กับที่แล้ว นางย่อมไม่เข้าใจนี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่ นางเห็นกับตาทุกคนล้วนดื่มน้ำชากันคนละหนึ่งถ้วย น้ำชาที่นางต้มเป็นพิเศษสำหรับแขกเหล่านี้

“ที่แท้ที่นี่กลับเป็นโรงเตี๊ยมโจร” ขณะกล่าวประโยคนี้ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้

“เจ้าผิดแล้ว โรงเตี๊ยมโจรปกติไม่ใช้ยาสลบชนิดนี้” ลิ้มปวยฮวยยิ้มแย้มเช่นกัน นี่กลับเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงซึ่งไม่บ่อยนักที่จะปรากฏบนใบหน้าของนาง

“ที่แท้ชนิดของยาสลบก็แยกชนิดโรงเตี๊ยมได้” เรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของเอี้ยป้อฮู้ได้ดียิ่ง

“ย่อมได้แน่นอน ยาสลบนี้ได้ผลดีเกินไปหายากเกินไปทั้งราคายังแพงยิ่ง โรงเตี๊ยมโจรต้องไม่ยอมลงทุนขนาดนี้แน่” ลิ้มปวยฮวยเกือบจะหัวเราะออกมา มีผู้คิดวางยาสลบเซียนแพทย์อย่างนางนี่มิใช่เรื่องน่าหัวร่อหรอกหรือ

“พวกเจ้าดื่มน้ำชาจนหมดแล้วนี่” นางยังคิดไม่ออกนี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่

“หากข้ากับท่านพี่หลงกลเจ้าง่ายขนาดนี้ตระกูลลิ้มของเราจะยังมีหน้าอยู่ในยุทธภพได้ยังไง”

เซียนแพทย์กับเซียนพิษย่อมไม่มีทางถูกผู้อื่นวางยาอย่างแน่นอน

“ข้านอนเพียงพอแล้ว เช้านี้จึงยังไม่คิดจะหลับอีก” เต็งพู้ย้งยังหน้าตาแจ่มใสกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ข้าอยู่ที่นี่เป็นวันที่สี่แล้ว” เอี้ยป้อฮู้กล่าวเพียงสั้นๆ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ ยังจะมีผู้ใดสามารถตบตาบัณฑิตไร้ร่องรอยได้ถึงสี่วัน

ทันใดนั้นเอี้ยป้อฮู้ลุกขึ้นยืนด้วยอาการลิงโลด “ข้านี่โง่จริงๆ ข้าควรคิดได้แต่แรกแล้ว” สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่มัน “ข้าเองเกือบเข้าใจว่านาคามูระ โยชิตั้งใจพักอยู่ที่นี่หลายวันก็เพื่อเสาะหาคุณชายปึง แต่มันย่อมคาดคะเนได้เหมือนกับพวกเรา...ตอนนี้คุณชายปึงไม่คิดแย่งชิงสิ่งใดกับผู้อื่นแล้ว...ถึงมันคิดกำจัดคุณชายปึงก็ต้องไม่ใช่เวลานี้ มันควรคิดกำจัดผู้ที่สามารถแย่งชิงกับมันและคิดแย่งชิงกับมันก่อน ผู้ที่มันเสาะหาไม่ใช่คุณชายปึง!” ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ร่างเถ้าแก่ผู้นั้น

“มันเสาะหาคนผู้นี้” ลิ้มเอ็งฮวยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าปีศาจตนนั้นเสาะหาดรุณีในร่างเถ้าแก่ทำไม

“ไม่ใช่นางแต่เป็นศิษย์พี่ของนาง!” เอี้ยป้อฮู้กล่าวอย่างมั่นใจ มันอยู่ที่นี่สามวันไม่เพียงทราบเถ้าแก่เป็นดรุณีน้อยปลอมตัว ทั้งยังทราบเลาๆถึงต้นสังกัดของนาง สิ่งที่มันแน่ใจย่อมถูกต้องกว่าแปดหรือเก้าส่วนแน่นอน

แต่ยังไม่มีใครทราบผู้ใดคือศิษย์พี่ของนาง ดังนั้นทุกคนต่างรอให้เอี้ยป้อฮู้กล่าวต่อไป

มันเน้นทีละคำช้าๆ “อี้แป๊ะเฮาะอยู่ที่ไหน!”

ทุกคนในห้องล้วนคาดไม่ถึง ดรุณีในร่างเถ้าแก่จะกลับกลายเป็นศิษย์ผู้น้องของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!

“สิบปีนี้ จอมยุทธอี้เร่ร่อนพเนจรขจัดมารร้าย ทลายชุมนุมโจรมากมายประกอบความดีให้ยุทธภพไว้ไม่น้อยแต่ไฉนกลับหลบลี้หนีหน้าไม่ยอมพบปะผู้ใดถึงสิบปีเต็มๆ”

“ถึงศิษย์พี่จะทำความดีมากมายเพียงใด กลับยังมีชาวยุทธจำนวนไม่น้อยที่นินทาลับหลังว่าสิ่งที่ศิษย์พี่กระทำลงไปทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการไถ่ถอนความผิดที่ตนทำลงไป คนผู้หนึ่งเมื่อถูกมอมหน้าจนดำแม้จะกระทำความดีเช่นไร ผู้คนกลับยังคอยจ้องจับผิดอยู่เรื่อยไป” นางยอมรับฐานะของตนแล้ว

“นั่นต้องโทษตัวเองและประมุขของทั้งห้าตระกูลแท้ๆ หากสิบปีก่อนอี้แป๊ะเฮาะกับประมุขของทั้งห้าตระกูลออกมาชี้แจงสะสางเรื่องราวให้กระจ่างเรียบร้อย เวลานี้ไหนเลยต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่ว...สิบปีที่แล้วทุกคนต่างคาดคิดว่าอีกหลายปีให้หลังอี้แป๊ะเฮาะต้องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดินได้อย่างแน่นอน มันมีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ...” เอี้ยป้อฮู้พึมพำกับตนเอง

“เพราะท่านต่างหากพี่แป๊ะเฮาะถึงต้องเป็นอย่างทุกวันนี้!” นางจ้องเอี้ยป้อฮู้ราวกับจะกินเลือดเนื้อ

“จอมยุทธอี้อยู่ที่นี่? แม้แต่เต็งพู้ย้งยังอดตื่นเต้นกับเรื่องนี้มิได้

“ถึงไม่อยู่ตลอดเวลาก็ต้องมาบ่อยอย่างยิ่ง ผู้ที่มีสถานที่อยู่เป็นหลักแหล่งต่อให้หลบซ่อนมิดชิดเพียงใด แต่หากหมู่ตึกบูรพาต้องการเสาะหาต้องหาเจอแน่นอน” มันยังสรุปเรื่องราวได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

“คนของหมู่ตึกบูรพายังมีความสามารถอยู่บ้าง” ไม่เพียงนาคามูระ โยชิ ลิ้มเอ็งฮวยยังพาลหงุดหงิดเมื่อได้ยินผู้อื่นยกย่องความสามารถคนของหมู่ตึกบูรพา

“ศิษย์พี่อยู่ในห้องนั้น” นางชี้มืออย่างรวดเร็วไปทางห้องด้านหลัง เพียงผู้อื่นชำเลืองตามองตาม มือทั้งคู่ของนางก็หยิบวัตถุสีดำหลายชิ้นออกมาจากสายรัดเอวอย่างรวดเร็ว!

พอผู้อื่นรู้ตัวนางก็ขว้างวัตถุสีดำลงบนพื้นห้องแล้ว เสียงระเบิดดังสนั่นควันสีดำสนิทตลบอบอวนไปทั่วห้องพร้อมกับเสียงหน้าต่างทลายออก ร่างดรุณีในคราบเถ้าแก่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นี่นับเป็นระดับความเร็วที่น่าตื่นตระหนกจริงๆ!

คนทั้งสี่ล้วนกลั้นหายใจเพราะต่างไม่รู้ว่าในควันมีพิษอีกหรือไม่ ผู้ที่เพิ่งถูกลอบวางพิษจะอย่างไรต้องเกิดความหวาดระแวงมากขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อต้องกลั้นหายใจย่อมไม่สามารถรวบรวมพลังภายในได้เต็มที่ทั้งยังไม่กล้าใช้แรงในทันที เป็นเช่นนี้จึงไม่มีทางตามดรุณีในร่างเถ้าแก่ทัน

เนื่องเพราะดรุณีในร่างเถ้าแก่มีฝีเท้าที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ทั้งยังอาศัยความมืดรวมทั้งความจัดเจนพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ร่างมอมแมมผมเผ้าเป็นกระเซิงโลดแล่นไปตามพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว แม้แผนของนางจะไม่สำเร็จแต่ต้องไม่ยอมให้ผู้อื่นจับตัวได้อย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่คิดถึงผู้คนที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมนางกลับพบว่าร่างตนหนักอย่างยิ่งจนไม่สามารถขยับตัวได้!

นี่เป็นเรื่องราวใดอีก! นางหันมามองด้านหลังจึงพบว่ามีมือแข็งแกร่งข้างหนึ่งยึดไหล่ของนางไว้จนนางไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แม้แต่น้อย!

เจ้าของมือข้างนั้นเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “เป็นเจ้านี่เอง” ผู้พูดประโยคนี้ถึงกับเป็นนาคามูระ โยชิ!

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น: