วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 7)




: บทที่ 7.

ลิ้มเอ็งฮวยโผร่างบอบบางออกมายังด้านหน้าของโต๊ะใหญ่ในทันทีที่เห็นบุรุษผู้มีใบหน้าเฉยเมยเดินก้าวอย่างแช่มช้าจากทางเดินสายใหญ่มาหยุดยืนนิ่ง ณ เบื้องนอกศาลา

เมื่อรู้ว่าผู้ที่ทำให้ตนต้องวิ่งหนีอย่างทุลักทุเลเป็นมนุษย์มิใช่ภูตผี นางยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้าผู้คนเป็นร้อยเท่าที่ตนดันแสดงอาการหวาดกลัวคนผู้หนึ่งได้ถึงเพียงนั้น

“เป็นเจ้าอีกแล้ว!”

น้ำเสียงยังคงสงบราบเรียบ “เป็นข้าพเจ้าเอง...”

ดวงตาแน่วนิ่งจ้องหน้าลิ้มเอ็งฮวยแน่วนิ่งจนร่างบอบบางที่ก้าวอาดๆด้วยความขุ่นแค้น พร้อมจะหาเรื่องกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่จำต้องชะงักฝีเท้าลงในเกือบจะทันทีที่ปะทะแววตาคู่นั้นจังๆ

นางถึงกับใจหายวาบคล้ายรู้สึกหนาวสั่นจนร่างสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุต้องกระชับเสื้อคลุมโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเฉยชาเช่นนี้จะว่าไปช่างไม่แตกต่างกับพี่ปวยฮวย น้ำเสียงที่กล่าวยิ่งราบเรียบไร้อารมณ์ดุจเดียวกัน แต่กับพี่ปวยฮวยตนไม่เคยเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกจนสะท้านเช่นนี้...เพราะถึงสีหน้าแววตาจะเย็นชาอย่างไรพี่ปวยฮวยก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นบุคคลทั่วไป แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากร่างของบุรุษที่ตนกำลังเผชิญหน้ากลับบอกว่า คนผู้นี้มีเพียงความเฉยเมยเย็นชาไม่ยินร้ายกับเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น คล้ายอารมณ์ความรู้สึกเยี่ยงคนทั่วไปได้สูญสลายไปจากร่างของคนผู้นี้โดยสิ้นเชิง!

วูบหนึ่งที่ดรุณีน้อยชะงักร่างยืนประจันหน้ากับบุรุษผู้มีใบหน้าเฉยชาดั่งศิลาแลง แววตาชืดชาดุจไร้ร่องรอยอารมณ์มนุษย์ของนาคามูระ โยชิ พลันบังเกิดเงาร่างของคนผู้หนึ่งผุดขึ้น...เงาร่างกระจ่างชัดซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจตลอดเวลากว่าสิบปีเต็ม!

เป็นเพียงชั่ววูบแต่กลับคล้ายมันได้กลืนกินช่วงเวลาที่เหลือทั้งหมดของชีวิต สติดั่งร่องลอยหลุดจากร่าง...จ้องมองเงาร่างนั้นด้วยความรู้สึกถวิลหาอย่างจับใจ...แต่เพียงชั่วเสี้ยวอึดใจที่มัวตะลึงลาน ประกายสีขาวรวดเร็วดุจสายฟ้าพลันฟาดพาดผ่านเงาร่างของคนผู้นั้น!...พริบตาในห้วงสำนึกเหลือเพียงสีแดงฉาน...หยดโลหิตสาดกระเซ็นลงบนชุดกิโมโนสีฟ้าดั่งถูกย้อมจนแดงฉานด้วยสีบริสุทธิ์...เป็นสีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุด!

ร่างอุ่นคล้ายหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของตน...แต่นางจะไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาชมดูแสงอาทิตย์ยามเช้ากับตนอีกแล้ว...

ทั้งร่างสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง ภาพทั้งหมดพลันสลายไปสิ้น สติสัมปชัญญะกลับสู่ร่างอีกครั้ง

นั่นเป็นเพียงช่วงเวลาวูบหนึ่งยากยิ่งที่ผู้อื่นจะสังเกตกิริยาดังกล่าวได้ เนื่องเพราะผู้คนต่างจ้องมองไปยังชายเสื้อสีเขียวซึ่งปลิวสะบัดตามแรงลมเผยให้เห็นดาบยาวฝักสีดำสนิทไร้ลวดลายใดๆ! ยังมีมือแข็งแกร่งอีกคู่ที่ปล่อยตามสบายข้างลำตัวโดยไม่มีท่าทีเกร็งพลังตระเตรียมป้องกันตนแม้แต่น้อย...

สายตาคมกล้ากวาดผ่านผู้คนภายในศาลาช้าๆ มันยังอยู่ในชุดสีเขียวที่เบาบางเช่นเดิม ร่างไม่สูงใหญ่แต่หนักแน่นดุจกำแพงศิลาตั้งอยู่กลางมหาสมุทร ยืนหยัดต้านทานคลื่นลมซัดซาดโหมกระหน่ำอย่างไม่มีวันโยกคลอน คิ้วหนาเป็นแพขนาดใหญ่ยิ่งขับให้ใบหน้าขมึงทึง ผู้พบเห็นล้วนต้องรู้สึกครั่นคร้ามอยู่หลายส่วน น้ำเสียงหนักแน่นก้องกังวานแต่ราบเรียบกล่าวขึ้น

“ผู้ใดต้องการประลองกับข้าพเจ้าก่อน หรือพวกท่านคิดเข้ามาพร้อมกัน”

เอี้ยป้อฮู้มองบุรุษผู้นี้ด้วยแววตาตะลึงพรึงเพริด ไหนเลยจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยวาจาหาเรื่องผู้คนอย่างตรงไปตรงมาไม่ไว้หน้าเช่นนี้ เต็งพู้ย้งได้แต่ฝืนยิ้ม ลิ้มปวยฮวยยามนี้จึงได้ตระหนักเหตุใดเมื่อคืนน้องของตนจึงต้องวิ่งหนีอย่างกระเซาะกระเซิงเช่นนั้น!

ลิ้มเอ็งฮวยรู้สึกว่าคนผู้นี้หากไม่ใช่ตัวโง่งมที่สุดก็ต้องเป็นคนวิกลจริต คนปกติไหนเลยจะกล่าววาจาท้าทายเช่นนี้ออกมาได้ “ดูท่าเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใครกันบ้าง...บัณฑิตไร้ร่องรอยยกย่องว่าหน่วยข่าวของหมู่ตึกบูรพายังไม่เลวนักที่แท้กลับใช้การไม่ได้”

นาคามูระ โยชิปรายสายตาผ่านผู้คนในศาลาอีกครั้ง ประกายคมกล้าหยุดยั้งลงที่ใบหน้างามแต่เย็นชาดุจแกะสลักจากหยกเนื้อดี “เจ้าคือเซียนแพทย์ไร้ใจลิ้มปวยฮวย ดังนั้นเจ้าต้องเป็นเซียนพิษไร้ตำหนิลิ้มเอ็งฮวย” สายตาทั้งคู่ปรายไปยังบุคคลต่อไป “ท่านคือซินแสลิขิตฟ้าเต็งพู้ย้ง อีกท่านย่อมเป็นบัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้” ดวงตากลมโตมาจับจ้องแน่วนิ่งคล้ายต้องการประเมินบุรุษผู้แต่งตัวมอซออีกคนเป็นพิเศษ “ท่านคงเป็นประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง...ปึงเพียวเซาะ..”

ดรุณีน้อยทำเสียงขึ้นจมูก แววตาเดือดดาลราวจะกินเลือดกินเนื้อ เชิดหน้าใส่อีกฝ่ายอย่างท้าทาย “อ้อ...ที่แท้เจ้ายังนับว่ารู้จักผู้คนอยู่บ้าง...เช่นนี้เป็นว่าเจ้าต้องสติไม่ดีอย่างยิ่งถึงกล้าท้าประลองกับพวกเราพร้อมๆกัน”

เอี้ยป้อฮู้มักทะนงตนว่ารอบรู้ข่าวสารทั่วทุกสารทิศในยุทธภพได้รวดเร็วกว่าผู้อื่น สายสืบของมันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเสมอมา เวลานี้ยังต้องขมวดคิ้วจนหน้านิ่ว การที่อีกฝ่ายสามารถระบุชื่อผู้อื่นได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนความจริงยังไม่นับว่าน่าตระหนกเท่าไหร่ เพราะต่างล้วนเป็นบุคคลที่กำลังมีชื่ออย่างยิ่งในยุทธภพปัจจุบัน...แต่ไฉนมันถึงระบุอย่างไม่ลังเลว่าชายมอมแมมซึ่งนั่งอยู่ข้างตนคือปึงเพียวเซาะ...ทั้งที่หมู่ตึกบูรพาเข้ามาตั้งรกรากในตงง้วนหลังจากที่คุณชายปึงเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึง เช่นนี้แสดงว่าสายสืบของหมู่ตึกบูรพาต้องมีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าตน จึงกล่าววาจาหยั่งเชิงอีกฝ่ายอย่างสุภาพยิ่ง “ที่แท้ท่านเคยพบปะพวกเรามาก่อน”

“หากเราท่านเคยพบปะกันมาก่อนไหนเลยยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดทั้งสองฝ่าย” วาจาเหล่านี้กลับกล่าวออกมาโดยง่ายดาย ทั้งไม่มีแววเหยียดหยามดูถูกราวกับกำลังไต่ถามทุกข์สุขตามปกติ!

สีหน้าเอี้ยป้อฮู้แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยากยิ่งขึ้น คนผู้นี้ไม่เหลือเยื่อไยให้คบหาแม้แต่น้อยจริงๆ

มีเพียงปึงเพียงเซาะที่ยังมีสีหน้าปกติ ใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าที่ปราศจากหนวดเคราแล้วไปมา มันเกิดความสงสัยงงงวยขึ้น ที่มันสงสัยไม่ใช่เรื่องที่ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงรู้จักตน พี่เอี้ยสามารถรู้ทันทีที่ตนก้าวขาออกจากบ้านจะแปลกอะไรถ้าผู้ที่ไม่เคยรู้จักมักจี่จะรู้ว่าตนเป็นใคร ซึ่งความจริงตนเองก็ไม่เคยปิดบังอยู่แล้ว ที่มันขบคิดไม่ตกยังเป็นเรื่องอื่น...ในความคิดของตนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้ามีบุคลิกเด่นล้ำยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้จริงๆ

แต่เหตุใดคนเช่นนี้จึงไม่รักถนอมชีวิตตนเอง คล้ายจงใจก้าวเดินเข้าสู่ความตายอยู่ตลอดเวลา วันนี้มันยังยืนหยัดอยู่ได้แต่สักวันต้องไม่เป็นเช่นนี้แน่...สิ่งเหล่านี้นาคามูระ โยชิย่อมต้องรู้ดียิ่งกว่าใคร ถ้าอย่างนั้นทำไมมันจึงกระทำเช่นนี้...เพื่อชื่อเสียงหรือ?

เจ้าของแววตาขึงโกรธยังจ้องหน้าโยชิเขม็ง “เช่นนี้แสดงว่าเจ้ามั่นใจว่าสามารถชนะพวกเราได้”

“หากพวกเจ้าร่วมมือกันคาดว่าในปัจจุบันต้องไม่มีใครสามารถชนะได้”

“แต่เจ้ายังท้าให้พวกเราเข้ามาพร้อมกัน...พี่ปวยฮวย พี่พู้ย้งเรามาช่วยกันสั่งสอนเจ้าคนยะโสนี่กันเถอะ”

ลิ้มปวยฮวยกับเต็งพู้ย้งต่างนั่งนิ่งคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของลิ้มเอ็งฮวย

นางขยี้เท้าอย่างขุ่นเคืองใจ “ไฉนพวกท่านไม่คิดจัดการมัน”

“ข้าพเจ้าทราบด้วยฐานะของพวกท่านย่อมไม่กลุ้มรุมผู้ที่ท้าประลองยุทธกับท่านพร้อมๆกัน เป็นเช่นนี้หากต้องสู้กับพวกท่านแต่ละคนข้าพเจ้ากลับมีความมั่นใจอยู่บ้าง”

ลิ้มเอ็งฮวยหน้าเสียลงทันที นางลืมคิดถึงเรื่องนี้เสียสนิท บัดนี้นางจึงเข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงกล้าท้าประลองกับทุกคนพร้อมกัน เจ้าปีศาจตนนี้ทั้งไม่บ้าไม่โง่แต่กลับฉลาดอย่างยิ่ง “ที่แท้เจ้าคาดการไว้แต่แรกว่าพวกเราต้องไม่ร่วมมือกันแน่...แต่หากพวกเราผลัดเปลี่ยนกันประลองเจ้าต้องพ่ายแพ้แน่นอน”

“อย่างนั้นพวกท่านพลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเถอะ”

เต็งพู้ย้งก็ถึงกับขมวดคิ้วอย่างคาดไม่ถึง แรกที่ได้ยินคนผู้นี้กล่าววาจาท้าทายยังเข้าใจว่า นาคามูระ โยชิเพียงพูดด้วยความทะนงตนถือดีในฝีมือตนเองเท่านั้น ยามนี้จึงรู้สึกตนประเมินผู้อื่นต่ำเกินไปแล้ว กล่าววาจาแทรกขึ้น

“ท่านโยชิได้คำนวณไว้แต่แรกแล้ว ว่าด้วยฐานะของพวกเราต้องไม่ยินยอมเอารัดเอาเปรียบท่าน ไม่มีทางกลุ้มรุมทำร้ายท่านผู้เดียวในการประลองยุทธแน่ๆ การใช้วิธีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันต่อสู้นับเป็นการเอารัดเอาเปรียบอย่างหนึ่งพวกเราไหนเลยจะกระทำเช่นกัน...แท้จริงท่านคิดอยู่ก่อนแล้วว่าจะได้ประลองกับพวกเราเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้นใช่หรือไม่? ท่านคิดประลองกับผู้ใด?”

ลิ้มเอ็งฮวยเกิดประกายตาวาบขึ้นในทันที รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏเกลื่อนใบหน้า “ที่แท้เจ้าเพียงพูดประโคมโหม ที่จริงกลับคิดไว้แต่แรกว่ายังไงก็เพียงต่อสู้กับพวกเราคนใดคนหนึ่งเท่านั้น”

“ข้าพเจ้ามิได้ประโคมโหม ข้าพเจ้าต้องการประลองกับทุกท่านจริงๆ แต่ข้าพเจ้าคาดคิดได้เช่นกันว่าพวกท่านต้องไม่ยินยอมเอารัดเอาเปรียบข้าพเจ้าแน่นอน นับเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ”

“เช่นนั้นข้าจะประลองกับเจ้าเอง” ลิ้มเอ็งฮวยทำท่าจะลงไม้ลงมือจริงๆ แล้ว

ปึงเพียวเซาะหันมองหน้าผู้คนที่พูดกันอยู่สลับไปมา รับฟังคำสนทนาจนหูอื้อตาลาย สมองครุ่นคิดพฤติกรรมของนาคามูระ โยชิ ฉับพลันเงาทะมึนวูบหนึ่งแวบเข้ามาในความคิด อาการเมามายที่หลงเหลือมลายไปสิ้น พยายามปลุกปลอบสมาธิขึ้น ดวงตาคล้ำยังแดงกล้ำแต่แววตาไม่เหมือนเดิมแล้ว! สมองแจ่มใสตื่นตัว รีบกล่าวแทรกขึ้นในทันที “เดี๋ยวก่อน...หากน้องเอ็งฮวยหรือน้องปวยฮวยคนใดคนหนึ่งประลองพ่ายแพ้จะเป็นเช่นไร”

ลิ้มเอ็งฮวยหันมาตอบอย่างมั่นใจยิ่ง “หากข้าหรือท่านพี่พ่ายแพ้คนที่ยังอยู่ย่อมต้องแก้แค้นให้กับเราแน่”

“อืม...ไม่เพียงเจ้า เราก็ต้องไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน” เต็งพู้ย้งพยักหน้ายอมรับ

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างจริงจัง “พวกท่านไม่คิดถอนตัวหรือ หากมีคนพ่ายแพ้ ยังต้องประลองต่อหรือ?”

“หากเราคนใดตายใต้คมดาบของท่านโยชิ เจ้ายังคิดถอนตัวหรือ?”

ปึงเพียวเซาะถอนหายใจยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง “ข้าถอนตัวไม่ได้จริงๆ” ประโยคต่อไปยิ่งกล่าวยิ่งจริงจังกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้นคนที่ลงมาประลองคนต่อไปต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”

ทุกคนหันมาจ้องเจ้าของคำพูดประโยคนี้เป็นตาเดียว

สีหน้าของลิ้มเอ็งฮวยฉงนฉงายอย่างยิ่ง “ทำไมเป็นเช่นนั้น หลังจากต่อสู้แม้มันจะชนะก็ต้องเสียพละกำลังไปไม่น้อย โอกาสที่จะชนะติดต่อกันไม่น่าเป็นไปได้ หรือพี่เพียวเซาะคิดว่าพลังฝีมือของพวกเราห่างชั้นกับคนผู้นี้มาก”

ปึงเพียวเซาะพูดสืบไป “พลังฝีมือไม่ห่างชั้นกันแน่นอน แต่เพราะผู้เข้าประลองคนที่สองต้องพุ่งเข้าใส่ด้วยโทสะ บวกกับความกระวนกระวาย แม้ท่านโยชิสูญเสียกำลังไปมากยังสามารถฉกฉวยช่องโหว่เอาชัยได้”

“ถ้าอย่างนั้นยังมีคนที่สามประลองอีกล่ะ”

“โอกาสชนะของคนที่สามยังมีน้อยกว่าคนที่สองอีกกว่าครึ่ง”

ลิ้มเอ็งฮวยรับฟังจนมึนงงไหนเลยยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ “ไฉนเป็นเช่นนั้น ด้วยตบะสมาธิของพวกพี่ไหนเลยถูกโยกคลอนได้โดยง่าย”

ปึงเพียวเซาะถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แววตาอบอุ่นอ่อนโยนหันไปมองสตรีทั้งสามที่อยู่รอบกายตน จากนั้นสายตาแน่วนิ่งกลับไปจับจ้องนาคามูระ โยชิด้วยความรู้สึกยอมรับนับถือ “นั่นเป็นเพราะท่านโยชิทราบความสัมพันธ์ของพวกเราดี พวกเราสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้อง หากผู้หนึ่งเห็นใครเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาไหนเลยยังคงความเยือกเย็นไว้ได้ ย่อมต้องเกิดช่องโหว่ให้ท่านโยชิสามารถฉกฉวยได้”

ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับเหงื่อซึมออกมาเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จ้องบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาประหวั่นพรั่นพรึง บัดนี้นางจึงยอมรับ คนผู้นี้นับเป็นคู่มือที่น่ากลัวจริงๆ ไม่เพียงมีฝีมือที่ล้ำเลิศยังมีกลยุทธที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง!

สถานะการณ์ตอนนี้กลายเป็นว่าผู้ที่ประลองเป็นคนแรกกลับเป็นผู้ที่มีโอกาสชนะมากที่สุด แต่ใครเล่าจะมั่นใจว่าสามารถเอาชนะมือสังหารไร้รักได้!

“พวกเราไม่มีความแค้นกันทำไมเราต้องประลองกันด้วย” เต็งพู้ย้งกล่าวน้ำเสียงกระด้างขึ้นเล็กน้อย

“เพราะพวกท่านต้องการไปหมู่ตึกพันอักษร”

“หรือการไปหมู่ตึกพันอักษรก็นับเป็นความผิด”

“ไม่ผิด แต่ข้าพเจ้าต้องการคัมภีร์พันอักษร”

“ใครๆล้วนต้องการคัมภีร์พันอักษร หรือท่านจะต้องฆ่าให้หมดทุกคน”

“ไม่จำเป็นต้องฆ่าทุกคน เพียงฆ่าผู้ที่มีความสามารถแย่งชิงกับข้าพเจ้าได้เท่านั้น”

“หากท่านต้องการประลอง ไยไม่รอให้ถึงหมู่ตึกพันอักษรก่อน”

“ข้าพเจ้าเห็นว่านั่นกลับไม่จำเป็น”

“...ข้าต้องการไปหมู่ตึกพันอักษร แต่ไม่คิดแย่งชิงกับผู้ใด”

เอี้ยป้อฮู้ รีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “ข้าด้วยเช่นกัน”

“วันนี้พวกท่านยังไม่ต้องการ...ผู้ใดประกันได้ว่าอีกครึ่งเดือน...หนึ่งปีพวกท่านจะยังคิดเช่นเดิม”

ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเต็งพู้ย้งแล้ว น้อยครั้งที่นางรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้ นางถามตนเองคนผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าเหตุผลบ้างหรือยังไง

“ผู้ใดจะประลองกับข้าพเจ้าเป็นคนแรก”

“ยังคงเป็นข้าพเจ้า!” ลิ้มเอ็งฮวยยังก้าวออกมายืนเผชิญหน้ากับนาคามูระ โยชิ แววตาเคืองแค้นจางหายไปบางส่วน แต่แววเจ้าเล่ห์แสนกลกลับเปี่ยมล้นดวงตา “ผู้อื่นไม่มีความแค้นกับเจ้าแต่ข้ามี! เรื่องวิทยายุทธข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ยังสามารถประลองอย่างอื่นได้เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่”

“ข้าพเจ้าตกลง”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปนกระหยิ่มยิ้มย่องเกลื่อนใบหน้า “เจ้ายังไม่ทันถามไถ่กลับตอบรับอย่างง่ายดาย ไม่กลัวข้าจะแข่งทำอาหารปลูกต้นไม้หรือไง”

“เจ้าไม่ประลองทำอาหารปลูกต้นไม้แน่นอน...ปีศาจพนันน้อยย่อมต้องแข่งทอดลูกเต๋า เล่นไพ่เก้า”

ลิ้มปวยฮวยและคนอื่นๆคาดอยู่แล้วว่าสิ่งที่ ลิ้มเอ็งฮวยจะประลองด้วยคือการเล่นพนัน เพราะทุกคนรู้ดีนางมั่นในในฝีมือการพนันมากกว่าการใช้พิษเสียอีก!

นาคามูระ โยชิ ก็คาดการไว้แต่แรกเช่นกัน หน่วยข่าวของหมู่ตึกบูรพาทำงานได้ดีอย่างยิ่ง

ลิ้มเอ็งฮวยเผยยิ้มอย่างมีเลศนัย ขอเพียงนาคามูระ โยชิ ยอมรับวิธีประลองของตนนางมั่นใจต้องได้ชัยชนะอย่างแน่นอน นางหยิบไพ่ออกจากห่อผ้าของตนแล้วตัดอย่างชำนาญ “ว่าไง..ถ้าเจ้าไม่กล้าเลือกวิธีอื่นก็ได้นะ”

“ข้าพเจ้ากล้า...แต่ข้าพเจ้าเล่นไพ่ไม่เป็น”

“อย่างนี้เป็นไร ใครแต้มมากกว่าชนะ” เอี้ยป้อฮู้รีบหยิบลูกเต๋าสามลูกออกจากชายเสื้อยื่นให้ลิ้มเอ็งฮวย มันกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ใจจดจ่อกับลาภลอยที่ไม่คาดคิด เรื่องราวในวันนี้ต้องขายดียิ่ง บทประโคมโหมล้วนอยู่ในสมองมันแล้ว...

ลิ้มเอ็งฮวยเพ่งมองลูกเต๋าในมือ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงปรายหางตาไปยังนาคามูระ โยชิ “เราประลองกันสองครั้ง...ผู้ชนะในแต่ละครั้งสามารถสั่งให้ผู้แพ้ทำงานให้ตนได้หนึ่งเรื่องท่านยอมรับเงื่อนไขนี้หรือไม่”

ปึงเพียวเซาะอมยิ้ม เด็กน้อยคนนี้ฉลาดอย่างยิ่ง หากประลองเพียงครั้งเดียว ในเรื่องการพนันถึงจะมั่นใจแต่ผู้ใดสามารถกะเก็งได้ว่าจะชนะอย่างแน่นอน ถ้าหากประลองมากครั้งเรามีโอกาสมากขึ้นผู้อื่นก็ย่อมมีโอกาสมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเลือกประลองเพียงสองครั้งจึงนับเป็นวิธีที่ดีที่สุด นางนับเป็นปีศาจพนันน้อยจริงๆ

ปึงเพียวเซาะยังมองออกถึงเหตุผลที่สำคัญอีกประการที่ลิ้มเอ็งฮวยเลือกประลองพนันลูกเต๋าแทนที่จะสู้กับท่านโยชิด้วยฝีไม้ลายมือที่แท้จริง การประลองด้วยพลังฝีมือที่แท้จริงอาวุธย่อมไม่มีตา หากพ่ายแพ้นางต้องจบชีวิตภายใต้คมดาบยาวแน่ แต่นางเลือกประลองพนันลูกเต๋าถึงแพ้ก็แค่ทำงานให้ท่านโยชิหนึ่งเรื่องเท่านั้น ปิดประตูตายไว้เรียบร้อย ถึงจะแพ้ก็ยังไม่ขาดทุนจนหมดตัวหากชนะยิ่งได้กำไร!

นาคามูระ โยชิ เพียงพยักหน้า

“เชิญท่านก่อน!” ลิ้มเอ็งฮวยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางซัดลูกเต๋าทั้งสามลูกในมือใส่หว่างคิ้วของ นาคามูระ โยชิ รวดเร็วปานสายฟ้าเต็มแรงข้อดุจซัดอาวุธลับชนิดหนึ่ง!

นาคามูระ โยชิไม่สนใจต่อสภาวะร้อนแรงดั่งอาวุธซัด ยังยืนนิ่งรอจนลูกเต๋าทั้งสามเข้ามาถึงระยะช่วงแขนจึงวาดมือปัดลูกเต๋าบนลงพื้นอย่างแผ่วเบา เต๋าสามลูกตกลงตรงหน้าหมุนติ้วอยู่เนิ่นนาน สายตาแน่วนิ่งยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของลิ้มเอ็งฮวยอย่างเลื่อนลอย มันกลับไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าลูกเต๋าเหล่านี้จะทอดออกมาเช่นไร

สอง สาม สี่ บวกแล้วได้เพียงเก้าแต้มมันทอดได้แต้มน้อยอย่างยิ่ง!

รอยยิ้มเย้ยหยันเปี่ยมใบหน้าดรุณีน้อย กระบี่ในฝักที่ดำสนิทฝักอัญมณีสามเม็ดซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวของนางพลันหลุดจากฝักพุ่งตรงไปยังทรวงอกของนาคามูระ โยชิ ด้วยระดับความเร็วไม่ด้อยกว่าลีลาซัดอาวุธเมื่อครู่!

ประกายคมกระบี่ราวรุ้งขาวพุ่งวาบแน่วนิ่งไม่เบี่ยงเบนจวนเจียนเจาะทะลุทรวงอกฝ่ายตรงข้าม แต่ฉับพลันเมื่อคมกระบี่อยู่ในระยะช่วงแขนของนาคามูระ โยชิ กระบี่ยาวพลันคลายสภาวะลำกระบี่ตวัดลงเบื้องล่างปลายกระบี่ช้อนเต๋าทั้งสามลูกม้วนขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงหมุนติ้วเบื้องหน้าคนทั้งสอง

ลูกเต๋าออกหกทั้งสามลูก! นางหัวเราะและตบมืออย่างดีใจ “ข้าชนะหนึ่งครั้งแล้วนะ”

นาคามูระ โยชิ ก้มลงหยิบลูกเต๋าทั้งสามอย่างเฉยเมย แล้วทอดลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

เต๋าทั้งสามลูกออกแต้มหนึ่งทั้งหมด สามแต้มน้อยกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก!

“ท่านได้แต้มแค่นี้ข้าคงไม่ต้องทอดแล้วล่ะ”

“ยังไม่แน่เจ้าอาจไม่ได้แต้มเลยก็ได้”

“แต้มต่ำสุดหนึ่ง ในเมื่อท่านได้หนึ่งทั้งหมดอย่างมากข้าก็เสมอกับท่าน จะไม่ได้แต้มเลยได้ยังไง”

ลิ้มเอ็งฮวยวาดกระบี่ในมือหมายจะตวัดปลายกระบี่ช้อนลูกเต๋าขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง

แต่คราวนี้ด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วอย่างยิ่งฝักดาบยาวของ นาคามูระ โยชิ แทรกเข้ามาขัดปลายลำกระบี่ของนางไว้ไม่ยอมให้สัมผัสกับลูกเต๋า

ลิ้มเอ็งฮวยเห็นเช่นนั้นจึงรีบพลิกฝ่ามืออีกข้างขึ้นฟาดกระแสพลังสู่ลูกเต๋าทั้งสาม ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายขึ้นรอบตัวคนทั้งสอง ลูกเต๋ากระดอนขึ้นสูงไปบนอากาศตามแรงกระแทกของฝ่ามือ เสี้ยววินาทีนั้นมือที่ถือกระบี่รีบฉวยโอกาสปักลงบนพื้นดิน แล้วกรีดพื้นดินเป็นวงกลมอ้อมฝักดาบของโยชิออกมาได้ แต่เพียงรู้สึกถึงปฏิกิริยาของลำกระบี่ นาคามูระ โยชิก็หมุนข้อมือควงฝักดาบเป็นวงกลมเกิดกระแสพลังผลักลูกเต๋าที่กำลังตกลงมาให้ขึ้นสูงลิ่วไปในอากาศอีก ข้อมือเกร็งแข็งสะบัดฝักดาบขึ้นเบื้องบนหมายกระแทกเต๋าทั้งสามให้แตกกระจาย!

เสียงวัตถุสองชนิดกันกลางอากาศเสียงดังกึกก้อง!

เต๋าทั้งสามลูกกลับไม่แตกกระจาย! แต่มันถูกตัดเป็นชิ้นๆยามที่ล่วงลงสู่พื้น!

ที่แตกกระจายกลับเป็นกระบี่ในมือลิ้มเอ็งฮวย! ร่างบอบบางเซถลาออกไปเจ็ดแปดก้าว!

หน้าของนางปราศจากสีเลือดคล้ายพึ่งหลุดรอดจากห้วงแห่งความเป็นความตายมา!


..........................................................................................................................


: นาคามูระ โยชิ มองดรุณีน้อยด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึกเช่นเดิม ไม่ว่าชนะหรือแพ้ นาคามูระ โยชิ ล้วนไม่ใส่ใจ สำหรับมันชนะหรือแพ้มีค่าดุจเดียวกัน “ครั้งนี้เจ้าไม่ได้แต้มเลยใช่หรือไม่”

ช่วงเวลาพริบตาที่นาคามูระ โยชิ ตวัดฝักดาบขึ้น ลิ้มเอ็งฮวยกลับโถมร่างขึ้นกลางอากาศขวางเต๋าทั้งสามลูกไว้ทั้งฟาดคมกระบี่ใส่ฝักดาบสุดกำลัง มิคาดแม้ใช้เพียงฝักดาบกลับมีอานุภาพขนาดสะบั้นกระบี่ของนางหักลงได้ ฝักดาบเฉียดลำตัวนางไปไม่ถึงครึ่งเชียะ! ร่างบอบบางถูกแรงปะทะจนลอยละลิ่วประคองตัวไม่อยู่!

เวลานั้นนางคิดว่าฝักดาบยาวต้องฟาดโดนตัวนางอย่างแน่นอน แต่ไม่ทราบทำไมพริบตานั้นมันกลับเบี่ยงเบนทิศทางผ่านร่างนางออกไป จากนั้นดาบยาวจึงหลุดออกจากฝัก เฉือนเต๋าทั้งสามลูกออกเป็นเสี่ยงๆในพริบตา!

เวลานี้ดาบยาวเล่มนั้นกลับสงบนิ่งอยู่ในฝักราวกับมิได้ถูกนำออกมาใช้เลย!

“ครั้งนี้ข้าพเจ้าชนะ การประลองคราวนี้ถือว่าเราเสมอกัน”

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะก้องกังวาน พู่กันในมือยังขยับไม่หยุดยั้ง “คิดไม่ถึงท่านโยชิ จะฉกฉวยโอกาสชนะปีศาจพนันนางนี้ได้”

“ดูท่าผู้ที่ชอบฉกฉวยโอกาสยังมีอีกมาก” เต็งพู้ย้งกล่าวพลางเบนหน้าออกไปนอกศาลา

แสงแดดยามเช้าเจิดจ้าขึ้นมากแล้ว สามารถเห็นสภาพรอบข้างได้อย่างชัดเจน ภาพที่ประจักต่อสายตาทุกคู่เป็นเกลียวฝุ่นหอบใหญ่ ฟุ้งกระจายเห็นมาแต่ไกล เงาร่างกลุ่มคนนับสิบวูบวาบอยู่เบื้องหลังอณูดิน คนกลุ่มนั้นล้วนเป็นบุรุษฉกรรจ์ราวสามสิบคน ต่างวิ่งตรงรี่เข้ามายังศาลาหิน ด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วยิ่ง ทั้งหมดเคลื่อนไหวกระจายเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ปิดทางออกจากศาลาหลังนี้ไว้จนสิ้น!

เพียงชั่วเวลาเสี้ยวพริบตาผู้อยู่ในศาลากลับกลายเป็นถูกโอบล้อมด้วยชายฉกรรจ์ชุดดำปิดหน้าจนมิดชิด แววตาแต่ละคนล้วนวาวโรจน์แฝงรังสีการฆ่าฟันอย่างรุนแรง กลุ่มคนหลายสิบนี้มุ่งโอบล้อมศาลาหลังน้อยโดยเปิดเผยแสดงว่าหาได้เกรงกลัวผู้ที่อยู่ภายในไม่

คนผู้หนึ่งคล้ายเป็นผู้นำกลุ่มคนขบวนนี้ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าอย่างองอาจ ประกายแววโรจน์ในดวงตาเจิดจ้าจ้องมองเหล่าผู้ที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือเป็นอันดับต้นๆในยุทธภพโดยมิได้มีอาการครั่นคร้ามแม้แต่น้อย แววเจิดจ้าตวัดมอง นาคามูระ โยชิ อย่างเฉยชาเพียงเหลือบดูดาบยาววูบหนึ่งแล้วพยักหน้าดั่งทราบแล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร จากนั้นจึงเบนสายตาคมกล้าไปที่พี่น้องตระกูลลิ้ม

“นายผู้เฒ่าคิดเชื้อเชิญสองเซียนไปหารือสักเล็กน้อย” มันกล่าวคำหารือแต่จากน้ำเสียงกลับยึดถือเป็นคำสั่งที่ผู้อื่นต้องปฏิบัติตาม!

ผู้คนสบตากันวูบพลางมองไปยังลิ้มเอ็งฮวย หรือตัวยุ่งไปก่อกวนผู้ใดไว้อีกจึงมีคนมากมายมาทวงบัญชีเช่นนี้ ยังจัดการเรื่อง นาคามูระ โยชิ ไม่เสร็จกลับมีผู้คนกลุ่มนี้ปรากฏขึ้นมาอีก มิต้องใคร่ควรก็ทราบ ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดใช้กำลังกลุ้มรุม กลุ่มคนเช่นนี้ต้องมิใช่ตัวดีแน่นอน

ลิ้มปวยฮวยทอดตามองคนผู้นั้น จากนั้นจึงไถ่ถามด้วยน้ำเสียงปกติยิ่ง “เจ้าไปก่อกวนผู้ใดมา”

“ระยะนี้ท่านพี่ควบคุมข้าแจ...ไหนเลยมีเวลาไปก่อกวนผู้ใด” สายตาพลันถลึงมองคนกลุ่มนั้น “พวกท่านมาทวงถามบัญชีให้ผู้ใด เฮอะ...คิดอาศัยผู้คนมากมายบีบบังคับเราสองพี่น้องกลับไม่ง่ายดายนัก”

“นายผู้เฒ่าคิดเชื้อเชิญสองเซียนไปหารือมิใช่มาทวงถามบัญชีใด”

“เป็นนายผู้เฒ่าหรือฮูหยินป่วยไข้หรือ” เอี้ยป้อฮู้สอดขึ้น หากมันคาดการไม่ผิด ผู้ที่คิดเชื้อเชิญสองเซียนคงเจ็บป่วยหรือไม่ก็ต้องบาดเจ็บไม่น้อยอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังคิดไม่ออก...สามสิบคนนี้มองแวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าฝีมือเยี่ยมทั้งสิ้น ผู้อยู่เบื้องหลังต้องมิใช่บุคคลธรรมดา แต่เหตุไฉนมันจึงไม่ได้ข่าวว่ามีหัวหน้าค่ายหรือแก๊งใดได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจนต้องการตัวสองเซียนตระกูลลิ้มขนาดต้องยกขบวนกันมาเช่นนี้

บุรุษผู้นำขบวนแค่นหัวเราะขึ้น “บัณฑิตไร้ร่องรอยท่านคาดการณ์ได้มิผิดจริงๆ แต่ต้องขออภัยที่ผู้เป็นบ่าวไพร่มิอาจกล่าวออกไป คราวนี้เพียงคิดเชื้อเชิญสองเซียนไม่ต้องการสร้างความลำบากให้ผู้ใด ขอทุกท่านให้ความสะดวกด้วย” ถ้อยคำที่กล่าวล้วนนอบน้อมอย่างยิ่ง แต่น้ำเสียงยิ่งพูดยิ่งแข็งกระด้างบ่งบอกเจตนาข่มขู่คุมคามอย่างชัดเจน!

ผู้คนทั้งสามสิบต่างไขว้มือไปด้านหลังเตรียมหยิบอาวุธออกมา หากอีกฝ่ายคิดปฏิเสธเกิดราวคงไม่จบอย่างมีผลดีแน่

“ลองดูพวกเจ้ามีฝีมือใดเชื้อเชิญเราพี่น้อง!” ลิ้มปวยฮวยฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างแรง พลิ้วกายออกไปเบื้องนอกด้วยระดับความเร็วยิ่งกว่าประกายวิชชุ! กลุ่มคนปิดหน้าทั้งสามสิบไม่มีผู้ใดเฉลียวใจคาดคิดว่านางจะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน!

นางชิงลงมือในจังหวะที่ผู้คนกำลังคิดหยิบอาวุธสมาธิการป้องกันตัวจึงลดลง ร่างเพียวระหงยังมิทันพลิ้วกายแตะพื้น ปลายนิ้วดีดจี้เข้าใส่กลุ่มคนชุดดำไม่หยุดยั้ง ประกายสีเงินนับไม่ถ้วนวูบวาบขึ้นสะท้อนแสงอาทิตย์ ชายชุดดำห้าคนที่อยู่ใกล้ศาลาที่สุดแผดเสียงร้องลั่น ร่างสูงใหญ่ล้มตึงลงอย่างไม่รู้เรื่องราว ปลายเท้าเรียวแตะพื้นร่างหมุนครึ่งรอบพลังดรรชนียังจี้ออกอย่างเร่งร้อน ประกายสีเงินกระจายไปเบื้องหน้าอีกวูบหนึ่ง ผู้คนด้านหน้าอีกสามคนล้วนล้มฟาดพื้นเสียงดัง ชั่วอึดใจที่นางโผร่างออกมาถึงกับกำจัดคนชุดดำได้ในคราวเดียวถึงแปดคน!

“ดรรชนีหยาดพิรุณร้ายกาจสมคำร่ำลือจริงๆ!” หัวหน้าขบวนผู้นั้นส่งเสียงคำราม***มในลำคอตวัดมือให้สัญญาณกับผู้คนรอบข้าง

บุรุษฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ยี่สิบกว่าคนตื่นตะลึงกับการจู่โจมปานสายฟ้าของลิ้มปวยฮวยเพียงครู่เดียว ยามนี้ต่างรวบรวมสติสมาธิ ด้วยความรวดเร็วยิ่งต่างคนต่างหยิบโล่เงินซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังเสื้อของแต่ละคนขึ้นป้องกันใบหน้าและลำตัวในทันที พร้อมกันนั้นขบวนผู้คนพากันแยกย้ายจัดพยุหะค่ายกล โอบล้อมลิ้มปวยฮวยเป็นวงกลมสองวง คนวงในหมุนโล่เป็นวงกลมปานจักรผันสะท้อนแสงอาทิตย์วูบวาบจนลิ้มปวยฮวยลายตาต้องชะงักมือไม่อาจจู่โจมต่อได้

ผู้คนที่อยู่วงนอกฉวยจังหวะเดียวกันนั้น ต่างโยนบ่วงเชือกนับสิบเส้นไปคล้องร่างนางไว้ทันที! การเคลื่อนไหวของผู้คนตั้งแต่หยิบโล่ออกมาจนถึงโยนบ่วงเชือกล้วนสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันด้วยความรวดเร็วแม่นยำอย่างยิ่ง แสดงว่าคนเหล่านี้ล้วนฝึกซ้อมและเตรียมการมารับมือกับพี่น้องตระกูลลิ้มเป็นอย่างดี

แต่แล้วเหตุการณ์ที่กลุ่มคนชุดดำไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

เงาร่างอีกสายหนึ่งโผออกจากศาลาน้อยด้วยรวดเร็วดุจวิหกเหิน พลิ้วกายลงกึ่งกลางวงล้อมดั่งอินทรีโฉบเหยี่อ ในมือคนผู้นี้ไร้ประกายกระบี่แต่บ่วงเชือกนับสิบเส้นที่พึ่งสัมผัสร่างลิ้มปวยฮวยพลันขาดสะบั้นลงในพริบตา! ผู้คนวงนอกที่จับบ่วงเชือกพากันหงายหลังล้มลงเป็นแถบๆ!

อาวุธไร้ประกายที่สามารถตัดเชือกนับสิบเส้นให้ขาดลงในพริบตากลับเป็นเพียงไม้ไผ่ยาวอันหนึ่ง! เงาร่างสายนั้นเป็นเต็งพู้ย้ง ซินแสลิขิตฟ้าลงมือแล้ว!

เหล่าชายชุดดำที่อยู่วงในเห็นคนผู้นี้เป็นสตรีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เข็มแข็งดุดันเพียงนี้ยิ่งกระชับอาวุธในมือมั่น ที่ทุกคนใช้เป็นดาบเล่มใหญ่ เงาดาบวูบวาบสอดคล้องเหมาะเจาะกลายเป็นกำแพงมรณะสีขาวสองชั้น ผู้ที่ลงล้มเมื่อครู่ล้วนกระชับดาบใหญ่กลับยืนขึ้นมาใหม่รูปขบวนพยุหะค่ายกลยิ่งรัดกุมสมบูรณ์กั้นเต็งพู้ย้งและลิ้มปวยฮวยไว้ภายใน

เต็งพู้ย้งและลิ้มปวยฮวยยิ่งตั้งมั่นรัดกุมไม่ประมาทเลินเล่อ ถึงทั้งคู่จะเป็นยอดฝีมือแต่คนเพียงสองคนเมื่อถูกโอบล้อมโดยกลุ่มคนยี่สิบกว่าคนที่ผ่านการฝึกปรือมาอย่างดี ไหนเลยจะสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้โดยง่าย

นอกจากนี้ยังมีบุรุษผู้นำขบวนคุมเชิงไว้อีก!

บุรุษผู้นี้สั่งการเฉียบขาดรวดเร็ว เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเยือกเย็น ไม่ทราบซุกงำฝีมือใดไว้บ้าง ยามนี้กำแพงดาบมรณะเคลื่อนไหวแทรกสอดราวเป็นเนื้อวัตถุเดียวกันแม้ละอองหิมะยังไม่อาจกระเซ็นผ่าน แต่กลับยังมิได้กลุ้มรุมจู่โจม พวกมันกำลังรอคอยโอกาสเช่นกัน ยามใดที่มันลงมือย่อมต้องเป็นจุดแตกหักเป็นตาย!

เอี้ยป้อฮู้มองดูเหตุการณ์ด้วยอาการลิงโลด ซินแสลิขิตฟ้าทำนายผิดเสียแล้ว ไหนว่าการเดินทางครั้งนี้ตนจะโชคร้ายอย่างยิ่ง คราวนี้ตนโชคดีอย่างคาดไม่ถึงต่างหาก พู่กันในมือยิ่งขีดเขียนยิ่งคล่องแคล่ว การจู่โจมของลิ้มปวยฮวยและเต็งพู้ย้งเมื่อครู่แม้เกิดขึ้นชั่วพริบตา แต่ที่ทั้งสองใช้เป็นดรรชนีหยาดพิรุณและกระบี่เมธีเมฆครามวิชาที่สร้างชื่อให้ตระกูลลิ้มกับตระกูลเต็งคงความเป็นหนึ่งในห้าของตระกูลใหญ่มาหลายสิบปี

ที่เรียกว่าดรรชนีหยาดพิรุณความจริงมิใช่วิชาดรรชนีกลับเป็นวิชาดีดนิ้วซัดอาวุธสกัดจุด แต่เพราะลีลาและพลังที่ใช้มิแตกต่างกับวิชาดรรชนีผู้บัญญัติวิชาจึงพาลตั้งชื่อเป็นดรรชนีหยาดพิรุณ ประกายดรรชนีพุ่งเป็นสายแพรวพรายราวหยาดพิรุณ เป็นหยาดพิรุณปลิดวิญญาณ!

วิชาดีดนิ้วซัดอาวุธนี้แท้จริงยังน่ากลัวกว่าพลังดรรชนีเสียอีก เพราะมีระยะจู่โจมไกลชนิดที่พลังดรรชนีเทียบไม่ติด พลังที่ใช้ยิ่งมิได้ด้อยกว่าการใช้นิ้วจี้อย่างเด็ดขาด ทั้งยังสามารถจู่โจมผู้คนในคราวเดียวถึงแปดคน!

เอี้ยป้อฮู้ทราบดีที่นางใช้ออกยังไม่ใช่ไม้เด็ดของวิชานี้อย่างแน่นอน หากนางยินยอมแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงแค่โล่ห์เงินไม่กี่อันไหนเลยสามารถหยุดพลังดรรชนีของนางไว้ได้...ใกล้ถึงงานประลองที่หมู่ตึกพันอักษรแล้วนางไหนเลยจะยอมแสดงฝีมือที่แท้จริง

ประมุขหมู่ตึกตระกูลลิ้มบิดาของนางสนใจแต่วิชาแพทย์พลังฝีมือจึงด้อยที่สุดในประมุขของห้าตระกูล แต่ชาวยุทธที่สูงอายุล้วนจดจำเมื่อครั้งปู่ของนางใช้ดรรชนีหยาดพิรุณเอาชนะมหาสมณะที่เชี่ยวชาญดรรชนีวชิระของเสี้ยวลิ้มอย่างขาวสะอาดได้เป็นอย่างดี...ร่ำลือกันว่าพลังฝีมือของนางมิได้ด้อยไปกว่าปู่ของตนเลย!

เต็งพู้ย้งใช้ไม้เท้าในมือแทนกระบี่ยาวได้อย่างไม่ขัดเขินไม้เท้ายาวกว่ากระบี่ทั่วไปอยู่สองเชียะ นั่นเป็นวิชากระบี่เมธีเมฆครามที่สุดพิสดาร ที่พิสดารมิใช่เพราะมีกระทวนท่าพลิกแพลงซับซ้อนกว่าวิชากระบี่อื่น ความพิสดารที่ว่าเป็นเพราะทุกลีลาของวิชากระบี่นี้เป็นกระบวนท่าธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นลีลาพื้นฐานในการฝึกปรือกระบี่แต่เมื่อใช้ออกกลับมีประสิทธิภาพอย่างคาดไม่ถึง สุดแสนธรรมดากลับกลายเป็นร้ายกาจยิ่งนี่เป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ชาวยุทธต่างขบคิดไม่ออก สมฉายาเมธีผู้รอบรู้สลายสิ่งซับซ้อนให้กลายเป็นเรียบง่าย ไม่สามารถคาดคำนวณลีลาที่นำออกใช้ได้ดุจเมฆาที่มิอาจจับต้อง สวยงามน่าพิศวงดั่งสีครามบนฟากฟ้า ปู่และบิดาของนางชนะการประลองกระบี่กับสำนักเตียมชังและคุนลุ้นมาถึงห้ารุ่นติดต่อกันแล้ว!

ปึงเพียวเซาะนั่งมองการต่อสู้เบื้องหน้าอย่างไม่วิตกกังวลใดๆ ด้วยมั่นใจในพลังฝีมือของพี่พู้ย้งกับน้องปวยฮวย แม้พวกนางต้องเผชิญกับงานยากลำบากไปบ้างแต่ต้องไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน เหล่าชายชุดดำกระชับวงล้อมหดเล็กลงเรื่อยๆ หากวงล้อมหดลงจนถึงระยะดาบเมื่อไหร่พวกมันจะเริ่มกลุ้มรุมทันที พวกนางย่อมทราบดี...คนทั้งสองเพียงรอเวลา...รอให้วงล้อมหดเล็กลงจนถึงระยะที่พวกนางจู่โจมได้ผลที่สุดพวกนางจึงจะลงมือ!

ที่ตนยังไม่อาจวางใจกลับเป็น นาคามูระ โยชิและบุรุษชุดดำผู้นำของคนกลุ่มนี้ ในสายตาของตนสองคนนี้จึงเป็นบุคคลที่ตอแยได้ยากอย่างแท้จริง ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้สองคนนี้สอดมือยุ่งเกี่ยวเวลาที่พี่พู้ย้งกับน้องปวยฮวย ปะทะขั้นแตกหักกับกลุ่มคนชุดดำ ประกายความคิดวูบหนึ่งผุดขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว

“ท่านโยชิสนใจประลองกับข้าหรือไม่”

ลิ้มเอ็งฮวยงุนงงอย่างยิ่ง สีหน้าแตกตื่นอย่างยิ่ง ตอนนี้พี่ปวยฮวยกับพี่พู้ย้งกำลังต้องการผู้ช่วยเหลือ ไฉนพี่เพียวเซาะมิคิดหาวิธีช่วยเหลือซ้ำยังคิดประลองกับบุรุษหน้าตายในเวลานี้อีก! นางเองความจริงต้องการสอดมือเข้าช่วยพี่ทั้งสองอีกแรง แต่เมื่อเดินลมปราณกลับพบว่าชีพจรติดขัดอยู่หลายจุดคงเป็นผลกระทบจากการปะทะกระบี่กับนาคามูระ โยชิเมื่อครู่ ตอนนี้หากตนสอดมือเข้าไปเกรงว่าอาจเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า จิตใจที่กลัดกลุ้มอยู่ก่อนแล้วยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก

เอี้ยป้อฮู้ยิ่งมีสีหน้าแตกตื่นยิ่งกว่า คำพูดของปึงเพียวเซาะเมื่อครู่ทำให้เวลาร่วมเดือนที่มันแกะรอยบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าอย่างยิ่ง มือข้างหนึ่งรีบฝนหมึก มืออีกข้างล้วงหยิบกระดาษอีกปึกหนึ่งออกจากอกเสื้อตระเตรียมบันทึกเรื่องราวอย่างเต็มที่

สีหน้าของ นาคามูระ โยชิ ยังเฉยชาแต่แววตากลับทอประกายประหลาด รอยยิ้มจางๆคล้ายผุดขึ้นที่มุมปาก ทอดตามองไปที่ปึงเพียวเซาะไถ่ถามขึ้น “เงื่อนไขการประลองต้องเป็นท่านกำหนดเองใช่หรือไม่”

“ย่อมใช่”

“ข้าพเจ้าตกลง”

“ท่านไม่ไต่ถามกติกาก่อนอีกแล้ว

“ข้าพเจ้าไม่เคยไต่ถาม...”

“เช่นนั้นหากท่านแพ้”

“ข้าพเจ้ายินดีทำงานให้ท่านเรื่องหนึ่ง”

“พี่เพียวเซาะไฉนท่าน!”

ปึงเพียวเซาะจุ๊ปากให้นางเงียบไว้ แล้วชี้มือไปยังกระดานหมากล้อม

“ท่านจะเดินหมากล้อมกับข้าพเจ้า?”

“มิใช่...ข้าเพียงต้องการให้ท่านทายว่าหมากกระดานนี้ข้าแพ้หรือชนะ?”

นาคามูระ โยชิ ก้าวยาวๆเข้าใกล้ศาลา เพ่งตามองกระดานหมาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับต้องขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “ผู้ชนะย่อมเป็นท่าน”

“เหตุใดท่านจึงคิดว่าข้าเป็นผู้ชนะ?”

“เพราะหมากทุกเม็ดบนกระดานล้วนเป็นท่านเดินเพียงผู้เดียว”

“หมากกระดานนี้เป็นข้าเล่นเพียงผู้เดียว?”

“หมากดำเข็มแข็งยึดกุมจุดสำคัญแต่กลับไม่จู่โจม หมากขาวป้องกันรัดกุมรอจังหวะแต่เมื่อมีโอกาสกลับไม่ฉกฉวยคล้ายผู้วางไม่อาจตัดใจให้ฝ่ายหนึ่งแพ้ไปได้ หากสองคนเดินหมากจะต้องไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”

ลิ้มเอ็งฮวยพอฟังยิ่งงงงวย ความกระวนกระวายเป็นห่วงพี่ของตนจางไปครู่หนึ่ง “พี่เพียวเซาะหากท่านไม่ต้องการให้มีฝ่ายแพ้ชนะแล้วท่านเล่นหมากกระดานนี้ทำไม”

นาคามูระ โยชิ เพ่งมองกระดานหมากอย่างครุ่นคิด กล่าวช้าๆ “เพราะบางครั้งชัยชนะที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่การเป็นผู้ชนะก็ได้...ความจริงไม่จำเป็นต้องวางหมากมากถึงขนาดนี้จึงรู้ผลแพ้ชนะ...ทั้งหมากดำและหมากขาวล้วนสามารถชนะฝ่ายตรงข้ามได้ ไฉนท่านปล่อยโอกาสมากมายให้ผ่านไป ”

“เพราะข้าต้องการเล่นหมากกระดานนี้เพียงกระดานเดียว”

“เพราะท่านไม่ต้องการเล่นกระดานใหม่ถึงกับไม่ยอมรับผลแพ้ชนะเชียวหรือ”

“ข้าเล่นหมากกระดานนี้มาสามวันแล้ว ในเมื่อข้าไม่ต้องการเล่นกระดานใหม่จะต้องรีบเดินให้เกิดผลแพ้ชนะทำไม” ปึงเพียวเซาะหยุดการสนทนา กล่าวประโยคต่อไปอย่างยิ้มแย้ม “ท่านโยชิ...ท่านแพ้ข้าแล้ว”

“ข้าแพ้?”

“หมากกระดานนี้ล้วนเป็นของข้าอย่างที่ท่านโยชิบอกจริงๆ แต่มีเพียงหมากนี้เท่านั้นที่มิใช่” ปึงเพียวเซาะหยิบหมากที่เต็งพู้ย้งเป็นผู้วางขึ้นมา

“หมากนี้ไม่ได้เป็นของท่าน?”

“นี่เป็นหมากที่พี่พู้ย้งเป็นผู้วาง”

นาคามูระ โยชิ เพ่งมองอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ใช่จริงๆ...หมากตานี้จู่โจมอย่างเฉียบขาด เจาะทำลายแนวรับของหมากขาวพังทลายไม่อาจต่อสู้ได้อีก ที่แท้หมากนี้ไม่ใช่ของท่าน...ท่านบอกว่าเล่นหมากกระดานนี้อยู่ถึงสามวัน...ข้าคิดว่าเมื่อท่านเดินถึงตานี้จะตัดใจได้เสียอีก”

ปึงเพียวเซาะอึ้งไปชั่วขณะ วาจานี้ช่างเหมือนกับพี่พู้ย้งกล่าวไม่มีผิด ‘เวลาสิบปีทำให้เจ้าตัดใจจากเรื่องนี้ได้แล้ว?...หากใช่...เช่นนั้นเมื่อครู่เหตุใดเจ้าไม่ยอมวางเบี้ยเม็ดนั้นลงไป?...’

เมื่อหันไปมองวงล้อมของบุรุษชุดดำ ตอนนี้วงล้อมแคบเข้ามาจนถึงระยะดาบแล้ว ทั้งสองฝ่ายจำต้องปะทะขั้นแตกหักแล้ว “ท่านโยชิ...”

นาคามูระ โยชิ ไม่รอให้ปึงเพียวเซาะพูดจบ เงาร่างสีเขียวพุ่งวูบเดียวก็ถึงวงล้อมของกลุ่มชายชุดดำ!

นัยน์ตาราวพยัคฆ์ร้ายของบุรุษผู้นำขบวนฉายแววอำมหิต คำรามออกมาคำหนึ่ง กล้ามเนื้ออัดแน่นไปด้วยพลังเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวโผร่างเข้าสกัด นาคามูระ โยชิ ไม่ได้สอดมือเข้าช่วยผู้ที่อยู่ในวงล้อม

แต่ท่าร่างรวดเร็วดุจพยัคฆ์ร้ายพลันชะงักลงในทันที!

เนื่องเพราะมีบุรุษอีกผู้หนึ่งขวางทางสะกัดหน้ามัน บุรุษผู้นั้นเป็นปึงเพียวเซาะ! ไม่มีผู้ใดทันสังเกตมันมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร!

แววตาเรืองโรจน์เปี่ยมประกายอำมหิตจ้องปึงเพียงเซาะราวจะกินเลือดกินเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

“ฮึ” บุรุษชุดดำส่งเสียงคำราม***ม ก่อนจะถอนใจผ่อนใจยาว แล้วเดินผละจากไปในทันที

มันเดินจากไปเฉยๆไม่เหลียวมองบริวารที่เหลือทั้งยี่สิบกว่าคนของมันแม้แต่น้อย!

มันไม่จำเป็นต้องมอง มันคาดการชะตากรรมของคนเหล่านั้นได้...

บุรุษชุดดำผู้มีแววตาดุจพยัคฆ์ร้ายจากไปไกลแล้ว ปึงเพียวเซาะก็มิได้คิดติดตามมันไป ลิ้มเอ็งฮวยกับเอี้ยป้อฮู้ยิ่งมิคิดสนใจมัน เนื่องเพราะทั้งสองถูกการต่อสู้เบื้องหน้าสะกดจนไม่อาจละสายตาไปที่ใดได้

เพียงเงาร่างสีเขียววูบถึงวงล้อมของพยุหะค่ายกล ประกายดาบยาวสีเงินวูบขึ้น เงากำแพงดาบด้านนอกพลันสลายไปในพริบตา ลิ้มปวยฮวยและเต็งพู้ย้งฉวยจังหวะนั้นจู่โจมกระหนาบจากด้านในทันที ถึงคนชุดดำกลุ่มนี้จะมีฝีมือมิต่ำทราบ แต่ไหนเลยจะต้านทานการประสานมือของยอดยุทธทั้งสามได้ ดาบยาววูบผ่านหนึ่งดาบหนึ่งชีวิตไม่มีผิดพลาด ดรรชนีหยาดพิรุณของลิ้มปวยฮวยก็มิได้ด้อยกว่า ประกายสีเงินเพียงซัดออกผู้คนก็ล้มไปกองอยู่บนพื้นแล้ว แต่ที่สวยงามที่สุดกลับเป็นกระบี่เมธีเมฆคราม ไม้เท้าในมือซินแสลิขิตฟ้าเต็งพู้ย้งยาวกว่าดาบของนาคามูระ โยชิเล็กน้อย ลีลางดงามแต่ดุดันเป็นอย่างยิ่งที่แทงทุกครั้งล้วนเป็นจุดตายของฝ่ายตรงข้าม

เพียงเวลาไม่ทันจิบน้ำชาหมดถ้วยชายชุดดำทั้งหมดล้วนล้มลง พวกมันต่างไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ตลอดกาล...

ลิ้มปวยฮวยและเต็งพู้ย้งมองหน้ากันวูบหนึ่งอย่างงุนงงพวกนางต่างไม่เข้าใจเหตุใดนาคามูระ โยชิจึงยื่นมือช่วยพวกตน...

ขณะที่ทุกคนกำลังงงงวยสายตาคมกริบของโยชิ กลับจับจ้องอยู่ที่สิ่งหนึ่งเหนือท้องฟ้า...เป็นอินทรีตัวหนึ่ง

โยชิตวัดฝักดาบขึ้นบนท้องฟ้าอินทรีตัวนั้นโฉบลงมายังปลายฝักดาบทันที ที่ขาของมันมีม้วนกระดาษพันอยู่ สีหน้าที่เยือกเย็นเฉยเมยที่ไม่เคยยินดียินร้ายต่อเรื่องใดกลับบังเกิดแววเดือดดาลเคร่งเครียดขึ้นวูบหนึ่ง คล้ายไม่เชื่อว่าเรื่องราวที่เขียนบนกระดาษแผ่นนั้นจะเป็นความจริง คิ้วหนาเป็นแพขมวดมุ่นครุ่นคิด โผร่างพริ้วจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจผู้ใดอีก!

“ข้าไปด้วย” ก่อนที่ผู้ใดจะทันทักท้วงปึงเพียวเซาะพลันวิ่งตาม นาคามูระ โยชิ ไปติดๆ

ไม่มีความคิดเห็น: