วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 5)



: บทที่ 5.

ใกล้รุ่งในมหานครจุงกิง

เวลาเช่นนี้แสงโคมภายในโรงเตี๊ยมใหญ่และสำนักคณิกาเลื่องชื่อมักพึ่งดับสนิท เนื่องเพราะนี่เป็นเวลาที่คนประเภทหนึ่งจำต้องกลับบ้านช่องห้องพักของตนเพื่อไปประกอบการงาน ส่วนอีกประเภทกลับต้องการนอนหลับพักผ่อนเพื่อจะได้มีแรงออกเที่ยวเตร่ในคืนต่อๆไป

แต่แสงไฟภายในห้องพิเศษซึ่งอยู่ด้านในสุดของโรงเตี๊ยมเลื่องชื่อที่สุดของนครจุงกิงยังคงสว่างไสว ทั้งที่ตลอดคืนแขกผู้เป็นเจ้าของห้องยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนแม้เพียงชั่วครู่ ยามนี้ภายในห้องใหญ่ปราศจากเสียงออดอ้อนของเสี่ยวชุ่ย ชุนฮัว ยิ่งไร้สรรพสำเนียงมโหรีซึ่งขับกล่อมครึกครื้นตลอดราตรีที่ผ่านมา

เพราะแขกเจ้าสำราญเพิ่งไล่ตะเพิดผู้คนเหล่านั้นออกไปตั้งแต่เมื่อมันได้สติขึ้น

ชายหนุ่มร่างสูงหน้าขาวไร้ริ้วรอยเดินงุ่นง่านไปมาไม่ผิดกับหนูติดจั่น ตอนนี้มันกำลังหงุดหงิดอย่างยิ่ง

ไม่ว่าผู้ใดหากเพิ่งฟื้นจากการถูกลอบมอมยาสลบ ล้วนต้องหงุดหงิดเป็นพิเศษ

นั่นเพราะเหตุผลสองกระการ

ประการแรก แม้ฤทธิ์ของยาจะหมดไปแล้วแต่ยังต้องมีอาการวิงเวียนหลงเหลืออีกเล็กน้อยเป็นแน่

ประการที่สองเพราะมันเจ็บใจ!

โยชิโอกะ ริวจิก็เช่นกัน มันรู้สึกเจ็บแค้นเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำขณะนี้สิ่งที่มันทำได้ก็เพียงการรอคอยเท่านั้น...

ที่มันยินยอมรอคอยเพราะมันทราบเมื่อนาคามูระ โยชิติดตามออกไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอด

นอกจากภูตผีเท่านั้นจึงจะหนีนาคามูระ โยชิพ้น!

ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วมันยิ่งร้อนรนกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น แต่นับว่ามันยังไม่ต้องเดือดดาลจนแทบคลั่งใจตายไปเสียก่อน เพราะเวลานี้ประตูห้องบานใหญ่สลักลวดลายสวยงามได้เปิดออกแล้ว

มันบังเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าความขุ่นมัวสลายไปจากนัยน์ตากว่าสี่ส่วน

ผู้เข้ามาย่อมเป็นนาคามูระ โยชิ นี่เป็นเรื่องที่มันคาดคิดอยู่ แต่ที่มันคาดไม่ถึงคือ ท่านโยชิกลับพาชายหลังค่อมวัยกลางคนท่าทางเงอะงะผู้หนึ่งเข้ามาด้วย คนผู้นี้ใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า ผมเพ้ายาวรุงรังปรกหน้า ร่างผอมบักโกรก หน้าตามอมแมม เนื้อตัวสกปรกอย่างยิ่ง

แต่เมื่อพิจารณาชายหลังค่อมผู้นั้นอย่างละเอียดอยู่เพียงครู่ แววตาแดงกล่ำเรืองโรจน์ด้วยความโกรธกลับแปรเปลี่ยนเป็นแวววาวกรุ่มกริ่ม เผยยิ้มออกมาจ้องดวงตาคู่นั้นเขม็ง

“ที่แท้ท่านพบคนที่เราต้องการแล้ว” ริวจิว่าพลางเดินเข้าไปตรงหน้าชายหลังค่อมผู้นั้น “แม่นางคาดว่าเจ้าต้องขี้ริ้วอย่างยิ่งจึงต้องปลอมตัวเป็นขอทานสกปรกเยี่ยงนี้”

เมื่อถูกผู้อื่นจับได้นางย่อมไม่จำเป็นต้องปลอมแปลงสิ่งใดอีก สุ้มเสียงที่เปล่งออกจากร่างชายหลังค่อมวัยกลางคนจึงกลับกลายเป็นเสียงไพเราะกังวานของดรุณีน้อยผู้หนึ่ง

นางถลึงตาตอบกลับ “ตัวไม่ดีอย่างท่านนับว่าพอมีสายตาอยู่บ้างที่ยังจำมารดาได้”

เมื่อได้ยินเสียงราวสกุณาเริงไพรบริภาษตน ริวจิถึงกับหัวเราะเสียงดังอย่างลืมตัว “ข้าไม่นับเป็นตัวดีจริงๆ แต่เจ้าคงยังไม่ทราบ ตัวไม่ดีก็ย่อมมีคุณงามความดีของตัวไม่ดีอยู่บ้าง”

“อ้อ...”

“วิชาแปลงโฉมของเจ้าแม้นับว่าไม่เลว...” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏเกลื่อนบนใบหน้า เพ่งสำรวจดรุณีน้อยในร่างชายหลังค่อมตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่สำหรับข้าหากไม่สามารถแยกแยะผู้ใดเป็นหญิงหรือชายย่อมเป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้ว” แววตากรุ่มกริ่มยังจ้องหน้าชายปลอมผู้นั้นอย่างขบขันเต็มที

นางถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น เรื่องหลอกลวงบัณฑิตไร้ร่องรอยไม่ได้ยังไม่นับว่าน่าอับอายเท่าไหร่ แต่นี่แม้กระทั่งกงจื้อเจ้าสำราญผู้หนึ่งวิชาแปลงโฉมของนางกลับไม่อาจตบตามันได้ นี่จึงนับเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ

ซึ่งความจริงนางยังเป็นเพียงดรุณีน้อยจึงย่อมไม่เข้าใจ...ในบางเรื่องกงจื้อเจ้าสำราญผู้หนึ่งยังมีความช่ำชองมากกว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยเสียอีก...

“เป็นนาง?...” มันทราบท่านโยชิต้องไม่พาผู้อื่นกลับมานอกจากผู้ลอบวางยาเท่านั้น

นาคามูระ โยชิเพียงพยักหน้า ไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายเช่นเดิม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ

“เมื่อครู่ ข้าพเจ้าสอบถามเถ้าแก่ของที่นี่แล้ว มันบอกว่าคนผู้นี้เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเล็กๆที่หมู่บ้านเทียนเกี๊ย เมื่อใกล้รุ่งเข้าไปส่งผักในโรงครัว นั่นเป็นเวลาที่เด็กรับใช้ชงน้ำชาพอดี” คำพูดของมันล้วนรวบรัดชัดเจน

นาคามูระ โยชิเป็นคนรอบคอบอย่างยิ่ง มันเห็นชายหลังค่อมผู้นี้วิ่งออกจากหมู่บ้านที่พวกตนพำนักเมื่อวันก่อนอย่างกระหืดกระหอบ เพียงเห็นท่าร่างของคนผู้นั้น โยชิก็จำได้ว่านี่คือผู้ที่ตนวิ่งตามออกมานั่นเอง ถึงอย่างนั้นเมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยมมันยังพาคนผู้นี้ไปสอบถามกับเถ้าแก่และเด็กรับใช้จนทราบที่มาที่ไปของดรุณีในร่างชายหลังค่อมผู้นี้

ยามนี้โยชิทั้งไม่ได้ใช้กำลังคร่าคุมนางยิ่งไม่ได้ใช้สิ่งใดพันธนาการนางไว้ โยชิเพียงยืนขวางประตูไว้เท่านั้น ทั้งริวจิและโยชิย่อมทราบดี มีเพียงภูตผีเท่านั้นที่สามารถผ่านประตูที่นาคามูระ โยชิยืนขวางอยู่ได้!

ริวจิพยักหน้า สีหน้าพลันเขม็งเกลียวขึ้น “เจ้าเป็นผู้ใด...ผู้ใดใช้ให้เจ้ามา”

นางกัดริมฝีปากแน่นนิ่งเงียบไม่ตอบคำ แววตาสุกใสเปล่งประกายขุ่นมัวดื้อรั้นจ้องมองออกไปเบื้องหน้าอย่างขัดเคือง ดรุณีน้อยทำประหนึ่งไม่เห็นริวจิอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นนางแสดงท่าทางเย่อหยิ่งดื้อดึงเช่นนี้ ความโกรธของริวจิกลับปะทุขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้

“เจ้ารู้ไหมว่าใครกำลังพูดกับเจ้า!”

“ในยุทธภพน้อยคนนักจะไม่รู้จักท่านโยชิ และ คุณชายริวจิ กงจื้อเจ้าสำราญแห่งหมู่ตึกบรูพาผู้ที่สตรีไม่ควรเข้าใกล้มากที่สุด” น้ำเสียงที่เอ่ยทั้งประชดประชันทั้งเยาะเย้ยถากถาง

“ที่แท้เจ้ายังนับว่ารู้จักพวกเรา ข้าถามว่าใครใช้ให้เจ้าลอบวางยาพวกเรา!”

“เฮอะ ใครจะใช้ให้ข้าทำอะไรได้ ข้าทำทุกสิ่งตามที่ข้าพอใจเสมอ” นางจ้องหน้าริวจิเขม็ง

“อย่างเจ้าน่ะหรือจะกล้าตอแยกับหมู่ตึกบูรพาเพียงคนเดียว...บอกมาตามตรงดีกว่า...มีใครอยู่เบื้องหลังเจ้ากันแน่!”

นางหัวเราะอย่างขบขัน แววตาสุกใสกลิ้งกลอกไปมาอย่างท้าทาย “เจ้าไม่เห็นหรือว่าใครอยู่เบื้องหลังข้า” นางเหลียวไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้าก็คือนาคามูระ โยชิ ผู้มีฉายามือสังหารไร้รักแห่งหมู่ตึกบูรพายังไงล่ะ”

ริวจิถึงกับบันดาลโทสะจนพลุ่งพล่าน ความที่มันเป็นคุณชายใหญ่ของหมู่ตึกที่ทรงอิทธิพล ปกติมีแต่คนประจบประแจงเอาใจ ไม่เคยมีใครกล้าแสดงท่าทางยะโส วาจายอกย้อนเช่นนี้ต่อหน้าริวจิเลย

“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาทำให้เจ้าพูดรึ” มือแข็งดุจคีมเหล็กของริวจิจับคางของนางแน่นแทบจะบดกรามของนางแหลกกระจุยคามือ

“เมื่อตกอยู่ในมือท่านข้าก็ไม่คิดรอด” นางพยายามเปล่งเสียงรอดไรฟันด้วยความเจ็บปวด เชิดหน้าขึ้น สะบัดไปมาหวังจะให้พ้นมือแข็งแกร่ง สายตาเป็นประกายท้าทายยังจ้องริวจิเขม็งไม่วางตา หยาดน้ำตาหยดหนึ่งพลันเล็ดรอดออกจากดวงตาทั้งคู่

แววตาที่เกรี้ยวกราดเมื่อเผชิญหยาดน้ำหยดเล็กๆ กลับสลายคลี่คลายลงโดยพลัน! โทสะที่พลุ่งพล่านจางหายไปกว่าหกส่วน ดวงตาแดงฉานขุ่นมัวลงถึงกับบังเกิดแววสงสาร เอ็นดูขึ้นบางส่วน...

เป็นน้ำตาของอิสตรี!

อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของสตรีเพศและเป็นมัจจุราชสำหรับกับบุรุษทุกคน!

โดยเพาะอย่างยิ่งบุรุษเช่นโยชิโอกะ ริวจิ!

ริวจิยิ่งจ้องมองดรุณีในร่างเถ้าแก่ ยิ่งพบว่าท่วงท่าของนางกลับละม้ายดรุณีที่ถูกบิดาจับได้ว่าแอบไปพบคู่รักยามวิกาลแต่กลับยังปากแข็งไม่ยอมรับความผิด

แต่นางกลับลืมไปเรื่องหนึ่ง ขณะนี้นางยังอยู่ในคราบของชายอัปลักษณ์หลังค่อม!

ชายหลังค่อมผู้หนึ่งยามแสดงกิริยาเช่นนางในตอนนี้กลับทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกพะอืดพะอมยิ่งนัก

แต่ริวจิไม่เพียงไม่พะอืดพะอมทั้งยังรู้สึกขบขันอย่างยิ่ง ที่ขบขันที่สุดคือดรุณีน้อยผู้นี้ช่างไม่รู้ตัวเลยว่ากิริยาท่าทางของตนในขณะนี้เป็นเช่นไร!

จากหยาดน้ำตานี้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอิสตรีเช่นริวจิเริ่มเห็นช่องทางแล้ว ควรจะจัดการกับนางอย่างไร แม้ภายนอกจะดื้อรั้นเพียงไร แต่ความจริงนางยังเป็นเพียงดรุณีน้อยผู้หนึ่ง

มือแข็งแกร่งเริ่มคลายลง “ที่แท้เจ้าคิดตาย นั่นกลับไม่ง่ายดายนัก ความจริงข้าก็ไม่ชอบขู่เข็ญผู้ใด แต่กับคนปากแข็งเช่นนี้ หมู่ตึกของเรามีวิธีรับมือที่ดียิ่งอยู่มาก”

“นั่นย่อมต้องแน่นอน หมู่ตึกโจรย่อมต้องเชี่ยวชาญการทรมานผู้คนอยู่แล้ว” นางยังเชิดหน้าอย่างไม่สนใจใยดี แม้วาจาจะเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว ริวจิกลับสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดใหญ่จำนวนมากผุดขึ้นบนหน้าผากของนางแล้ว

“ในเมื่อเจ้าทราบเช่นนั้นยังไม่ยอมพูดความจริงอีก หรือต้องการให้ข้าใช้วิธีเหล่านั้นจริงๆ”

“ผู้กล้ายอมตายไม่เสียดายชีวิต ผู้ดีไม่ยอมก้มหัวให้โจร”

ริวจิกวาดสายตาสำรวจชายหลังค่อมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ไม่มีสัดส่วนใดเลยที่สามารถบ่งบอกได้ว่าชายขอทานพิกลพิการผู้นี้จะเป็นเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วราวสกุณาที่กำลังตอบโต้กับตนได้อย่างไร แต่ไม่ว่าวิชาแปลงโฉมใดๆในโลกจะยอดเยี่ยมเพียงไร กลับยังไม่อาจปกปิดแววตาใสกระจ่างเปี่ยมชีวิตชีวาทั้งคู่ของนางได้

เพียงแวบแรกที่สัมผัสแววตาคู่นั้นริวจิก็ทราบทันที นี่ต้องเป็นแววตาของดรุณีแรกรุ่นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จะไม่น่าสนใจได้อย่างไร เพราะแม้ยามขมึงทึง ขุ่นมัวด้วยความโกรธ กลับยังแฝงแววไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก ความจริงมันคิดฉีกกระชากหน้ากากอัปลักษณ์ออกดูหน้าผู้ที่กล้าตอแยกับหมู่ตึกบูรพา แต่เพราะแววตาคู่นี้เองที่ยับยั้งไม่ให้มันกระทำเช่นนั้น

ยิ่งได้พูดจายิ่งกระตุ้นความสนใจใคร่จะเห็นหน้าแท้จริงของดรุณีดื้นรั้นผู้นี้ ทั้งยังคิดข่มขู่ลูกกวางน้อยให้ทราบสถานะของตนเองในขณะนี้เสียบ้าง

“ท่านโยชิ...ท่านคิดว่าแม่นางผู้นี้ต้องอัปลักษณ์อย่างยิ่งใช่หรือไม่”

โยชิเดินแช่มช้ามายืนนิ่งด้านหน้านาง นี่เป็นโอกาสอันดีของนางแล้ว ทางด้านหลังไม่มีใครขวางยืนประตู นางสามารถวิ่งหนีออกไปได้ทุกเมื่อ แต่ยามเผชิญหน้าจังๆกับบุรุษผู้นี้ นางกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้แม้แต่น้อย ขาแข็งทื่อลำคอแห้งผาก นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ไม่ว่ายามต้องเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นไร แต่ขณะนี้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนกลับไม่ใช่ผู้คน นางคิดตนกำลังเผชิญหน้ากับพญามัจจุราช!

ตั้งแต่พาดรุณีในร่างชายหลังค่อมเข้ามาในห้องหากริวจิมิได้ถามไถ่ นาคามูระ โยชิ ก็ไม่คิดพูดจาสักครึ่งคำ หน้าที่ซักถามผู้คนไม่ใช่งานของมัน

ชั่วไม่ทันกระพริบตาดาบยาวหลุดจากฝักวาดผ่านใบหน้าดรุณีในร่างเถ้าแก่อย่างรวดเร็ว!

ทั้งคู่อยู่ในระยะประชิดกันมาก นางคาดว่าดาบนี้ต้องผ่าร่างนางเป็นสองเสี่ยงอย่างแน่นอน ดวงตากลมโตเบิกโพลง ร่างกายแข็งทื่อ หยาดเหงื่อโทรมใบหน้า นี่เป็นความรู้สึกเช่นไร ใช่ความรู้สึกของผู้ที่เพิ่งพบว่าตนเองกลายเป็นภูตผีแล้วหรือไม่!

แต่นางกลับยังมิใช่ภูตผี...

ใบหน้าที่ปรากฏต่อสายตาริวจิต้องไม่ใช่ใบหน้าของภูตผีอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นเช่นนั้นคาดว่าจะต้องมีบุรุษเป็นจำนวนมากยอมปลิดชีวิตตนเองเพียงเพื่อให้ได้เห็นใบหน้านี้ทุกเช้าค่ำ!

ผิวหน้าสีน้ำตาลเนียนละเอียด คิ้วดำสนิทหนากว่าคิ้วสตรีทั่วไป จมูกโด่งเป็นสันเชิดขึ้น ริมฝีปากเล็กปลายมุมปากทั้งสองเรียวแหลมแฝงแววดื้อรั้นถือดี ผมยาวสีดำยุ่งเหยิงสยายตกลงมาปกบ่า ดวงตาทั้งคู่สีดำสนิทดุจพลอยดำสุกใสแวววาว ท้าทายสายตาผู้คน

แรกเห็นดวงตาคู่นี้แม้ความจัดเจนจะคาดล่วงหน้าแล้วว่าดรุณีผู้นี้ต้องน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะคาดได้ว่าเมื่อดวงตาทั้งคู่ประกอบเข้ากับวงหน้านี้ จะยิ่งขับเน้นซึ่งกันและกัน มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด ดูเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เจ้าแง่แสนงอน ต่างจากดรุณีน้อยใหญ่ที่ตนเคยพบพาน

โทสะความขุ่นมัวหายไปจากนัยน์ตาจนสิ้นแล้ว ประกายตาเยี่ยงหนุ่มเจ้าสำราญจ้องมองดรุณีน้อยอย่างตะลึงตะลาน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนคล้ายกำลังเอ่ยกับคนรักก็ปาน “ที่แท้เจ้ามิได้อัปลักษณ์แม้แต่น้อย เหตุใดต้องปลอมแปลงตนเช่นนี้ คาดว่าเจ้าต้องมีเหตุผลที่ดียิ่ง ไม่ทราบพอจะบอกข้าพเจ้าได้หรือไม่”

“จะฆ่าก็เชิญ เจ้าไม่ต้องเสียเวลาหรอก ข้าไม่บอกอะไรทั้งนั้น!”

ริวจิทอดถอนใจพลางไล้นิ้วมือไปบนหน้านางผะแผ่ว แววตาหยาดเยิ้มจ้องมองนางราวจะกลืนกิน

“เมื่อเจ้าไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไรไว้เมื่อเจ้าคลอดเจ้าตัวน้อยออกมาข้าค่อยไต่ถามว่าผู้ใดเป็นปู่ของมัน...”

หมู่ตึกบูรพามีวิธีจัดการผู้คนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ดรุณีแรกรุ่นเช่นนี้ย่อมไม่มีเรื่องใดน่ากลัวเท่านี้อีกแล้ว!

นางใจหายวาบเสียงสั่นละล่ำละลัก “ท่าน...ท่านคิดจะทำอะไร” นางยิ่งขบริมฝีปากแน่น แม้จะถามออกไปเช่นนั้นแต่นางย่อมทราบดีถึงความหมายในท่าทีของบุรุษหนุ่ม

แววตาของดรุณีน้อยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกปากคอสั่นเทา “ท่านจะเอายังไง...”

“ตอนนี้เจ้าคิดต่อลองแล้ว” ริวจิยิ้มออกมา ปลายนิ้วยังไล้ไปบนวงหน้าของนางแผ่วเบา

“เจ้า...ถ้าเจ้ากล้าแตะข้าเจ้าต้องไม่ตายดีแน่!” เสียงนางสั่นเครือ เนื้อตัวเย็นเฉียบ หวาดกลัวแทบตายร่างกายแข็งทื่อไม่กล้ากระดิกตัวแม้แต่น้อย แววตาดุดันยิ่งจับจ้องริวจิเขม็งด้วยความชิงชัง

“ที่แท้เจ้าไม่คิดต่อรอง แต่กลับคิดข่มขู่...” มือเรียวคู่นั้นไล้นิ้วผ่านเส้นผม หลังใบหู ไปยังหัวไหล่และต้นแขนของนางอย่างทะนุถนอม

“ถ้าศิษย์พี่ของข้ารู้ว่าเจ้าทำกับข้าเช่นนี้รับรองพวกเจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่!” นางโพล่งออกมาอย่างลืมตัวเมื่อมือคู่นั้นเริ่มล่วงล้ำแตะต้องเข้าใกล้สิ่งหวงแหนมากขึ้นทุกที

ริวจิหัวเราะลั่นคาดว่านางคงหวาดกลัวจนสุดชีวิตแล้ว “ท่านโยชิฟังที่นางพูดซิ”

“อาจเป็นอย่างที่นางพูดก็ได้...” โยชิพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายเห็นด้วยกับคำพูดของนาง

เสียงหัวเราะเย้ยหยันของริวจิพลันชะงักลง ปกติท่านโยชิไม่เคยพูดเล่น หรือมีท่าทางหยอกล้อประชดประชันคำพูดของผู้อื่นเลย คำพูดทุกคำล้วนมีความหมายชัดเจนเสมอมา หรือศิษย์พี่ของนางมีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ พลางจ้องดรุณีที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง “ท่านทราบผู้ใดเป็นศิษย์พี่ของนาง”

นาคามูระ โยชิ เอ่ยขึ้นอย่างสงบปราศจากอาการตื่นเต้นสงสัยใดๆทั้งสิ้น “อี้แป๊ะเฮาะ”

ริวจิกลับหน้าตาตื่นแล้ว แววตาลืมโพลงงงงวยสงสัย มันไม่อยากเชื่อว่ามันได้ยินถูกต้อง มันคงหูฝาดไปอย่างแน่นอน พลางหันไปมองโยชิแล้วหันมามองดรุณีผู้นี้อย่างพินิจพิเคราะห์ มันจะเชื่อได้อย่างไรว่าดรุณีผู้นี้ถึงกับมีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมยุทธกระบี่เหล็กที่เลื่องชื่อ!

“ท่านมั่นใจ” ริวจิหันไปถามย้ำอีกครั้ง

“แนววิชาตัวเบาของจอมยุทธอี้มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะ...ที่แม่นางผู้นี้ใช้คือวิชานั้น”

มันไม่สามารถไม่เชื่อถือเรื่องที่ท่านโยชิกล่าวได้ มือของมันพลันหดกลับจากผิวเนียนละมุนโดยไม่รู้ตัว แค่ชื่อของอี้แป๊ะเฮาะกลับมีอานุภาพข่มขวัญผู้คนถึงเพียงนี้!


..........................................................................................................................


: นางลอบยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นสีหน้าของริวจิ “ท่านเริ่มกลัวแล้วล่ะซิ” นางยอมรับออกมาเองแล้ว นั่นเพราะนางทราบดี ถึงจะผ่านมาสิบปีแล้วแต่ชื่อของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะยังคงน่าเกรงขามดุจกาลเวลาได้หยุดลงเฉพาะชื่อของคนผู้นี้!

ความจริงนางไม่ต้องการดึงศิษย์พี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามก็ทราบความเป็นมาของนางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก นางเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง สตรีที่เฉลียวฉลาดล้วนทราบเมื่อใดสมควรโกหกเมื่อใดควรกล่าวความจริง

แม้ใจกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่นางยังอดหวาดหวั่นต่อนาคามูระ โยชิ ไม่ได้ คนผู้นี้ร้ายกาจจริงๆเพียงเห็นวิชาตัวเบาของตนก็ทราบว่าคนต้องเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่...

“นี่กลับเป็นแผนของจอมยุทธอี้...” น้ำเสียงของริวจิมีแววเย้ยหยัน แต่ดวงตากลับไม่สามารถกลบเกลื่อนร่องรอยของความประหวั่นพรั่นพรึงได้

“ศิษย์พี่ไม่เกี่ยวข้องนี่เป็นความคิดของข้า!”

“อ้อ...”

“ถึงข้าจะเพิ่งย้ายมาอยู่กับท่านพ่อที่ตงง้วนเพียงปีกว่าๆแต่กลับได้ยินเรื่องคนผู้นี้มามาก เมื่อสิบปีก่อนจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะก้าวขึ้นเป็นมือกระบี่อันดับต้นๆของยุทธภพได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องเพราะมันหลงรักคุณหนูเซี่ยงกัวเซียนนึ้งแต่คุณหนูตระกูลเซี่ยงกัวกลับมอบใจให้คุณชายกงซุนซาเทียนซึ่งเป็นสหายสนิทของมัน เมื่อไม่สมหวังในความรัก มันจึงแค้นดังนั้นในคืนวันงานแต่งงานของคนทั้งสองที่หมู่ตึกพันอักษรมันจึงลอบวางยาในสุราให้คนทั้งสองดื่มแล้วหลบหนีไป มันถูกตามล่าจากเหล่าประมุขตระกูลของทั้งห้าอยู่ถึงครึ่งปี แต่ในที่สุดไม่ทราบเพราะเหตุใดผู้เฒ่าทุกท่านกลับสรุปว่ามันไม่ใช่ผู้วางยา สิบปีหลังคนผู้นี้จึงมุ่งประกอบวีรกรรมขจัดมารร้าย ทลายชุมโจรมากมายเพื่อไถ่บาปของตน แต่กลับไม่มีใครทราบร่องรอยถิ่นที่พักอาศัยที่แน่นอนของมัน”

“เหลวไหล!”

“เรื่องเหลวไหลนี้กลับเป็นที่โจทย์จันกันทั่วยุทธภพ แม้ขณะที่ข้ายังอยู่เกาะพู้ซึ้งยังทราบเรื่องนี้”

“นั่นล้วนเป็นเรื่องที่บัณฑิตขี้เมาแต่งขึ้นมาทั้งเพ!” ดรุณีน้อยกระชากเสียงอย่างเหลืออด

ริวจินิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง หันมาไต่ถามโยชิ “หรือคนที่ท่านต้องการไปพบคือมัน”

“ใช่จริงๆ...” ผู้ที่นาคามูระ โยชิต้องการพบคืออี้แป๊ะเฮาะจริงๆ!

“ที่แท้เจ้าจงใจเดินทางมาพบพี่แป๊ะเฮาะ พวกเจ้ารู้ที่อยู่ของศิษย์พี่ได้ยังไง!” นางใจหายวาบเมื่อรู้ว่าปีศาจตนนี้เสาะหาศิษย์พี่ของตน

“คนของหมู่ตึกบูรพานับว่ามีอยู่มากมาย” โยชิยังตอบรวบรัดอย่างยิ่ง

ริวจิชำเลืองมองนาง เผยรอยยิ้มออกมา “แต่เมื่อมีเจ้าอยู่กับเราจอมยุทธอี้คงไม่ทำอะไรโง่ๆแน่”

“เฮอะ...ที่แท้เจ้าต้องการใช้ข้าเป็นตัวประกัน”

โยชิเพียงพยักหน้า “ต้องการใช้เจ้านั้นถูกต้อง แต่มิใช่เป็นตัวประกัน เพียงมีเจ้าอยู่อี้แป๊ะเฮาะต้องยินยอมออกมาพบข้าพเจ้าแน่”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะชนะศิษย์พี่”

“หรือเจ้าแน่ใจว่าศิษย์พี่ของเจ้าสามารถชนะท่านโยชิได้”

นางไม่ตอบ นางกลับไม่ทราบจริงๆหากบุรุษสองคนนี้ประลองกันใครจะเป็นผู้ชนะ

“เจ้าหนูที่ลักลอบฟังผู้คนคุยกันช่างไม่กลัวตายบ้างหรือไง!” จู่ๆริวจิก็โพล่งออกมาดาบสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพุ่งขึ้นไปเสียบเหนือเพดานห้องอย่างรุนแรง กระเบื้องนับสิบแผ่นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมๆกับที่ดาบสั้นบรรลุถึงเพดานเงาร่างสีเขียวก็พุ่งฝ่าเศษกระเบื้องที่แตกกระจายออกในเกือบจะทันที ปรากฏเงาสีเงินยาวพาดผ่านเหนือท้องฟ้าวูบหนึ่ง ดาบยาวในมือนาคามูระ โยชิหลุดออกจากฝักแล้ว!

เป็นดาบที่เหนือการคาดคิด ไม่ว่าผู้ใดล้วนคิดไม่ถึงมนุษย์ยังสามารถชักดาบยาวได้เร็วปานนี้!

ลำตัวดีดตามสภาวะดาบทะยานออกไปยังสวนดอกไม้เบื้องนอกตัวอาคาร

ริวจิดึงมือดรุณีผู้กำลังตกตะลึงออกนอกห้องในทันที

ที่โต๊ะหินในสวนดอกไม้ด้านนอก ปรากฏหญิงสาววัยยี่สิบปลายๆท่าทางเป็นมิตรหน้าตายิ้มแย้มผู้หนึ่ง ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างเป็นรอยบุ๋มลงเล็กน้อยช่างรัดรึงจิตใจยิ่งนัก นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินกลางสวนหน้าตึกคะนึงหาที่ริวจิและโยชิพำนักอย่างสบายอารมณ์

หลังเพ่งพินิจสตรีลึกลับชั่วครู่ริวจิจึงกล่าว “ดูท่าเจ้าจะไม่ใช่หนูสกปรกธรรมดาๆเสียแล้ว ผู้ที่สามารถหลบดาบของท่านโยชิได้ ทั่วแผ่นดินน่าจะนับคนได้ทีเดียว” เริ่มเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย “ไม่ทราบพี่สาวท่านนี้มีนามว่าอะไร”

พลันบังเกิดเสียงหัวเราะดังมาจากพุ่มไม้ด้านหลังของสตรีผู้มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เป็นดรุณีสองคน คนหนึ่งในหน้าหมดจดแต่เย็นชาดุจน้ำแข็ง ดวงตาแน่วนิ่งจริงจัง อีกคนดูเยาว์วัยกว่าใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาซุกซนเจ้าเล่ห์

“แม่นางน้อยเจ้าหัวเราะอะไร” ริวจิขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกวันนี้ตนต้องรับแขกแปลกหน้ามากอย่างยิ่ง

“เมื่อครู่ท่านเรียกพี่พู้ย้งว่าเป็นหนูสกปรก แต่ตอนนี้ท่านกลับเรียกหานางเป็นพี่สาว ถ้าท่านมีพี่เป็นหนูสกปรกแล้วตัวท่านเป็นอะไรล่ะ” ลิ้มเอ็งฮวยหัวเราะอย่างขบขัน ดรุณีในชุดเถ้าแก่ก็ร่วมหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ

ริวจิหน้าตาแดงกล่ำด้วยความโกรธ ทั้งอายทั้งแค้นเคืองที่ตนกลับกลายเป็นตัวตลกให้ดรุณีเหล่านี้หยอกล้อเล่น

เอี้ยป้อฮู้เดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งของตะเกียงหินขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของสวนดอกไม้ “แม่นางผู้นี้ต้องมิใช่หนูสกปรกอย่างแน่นอน”

“ทำไมท่านคิดเช่นนั้น” จากการปรากฏตัวที่ปราดเปรียวดุจภูตพรายของคนทั้งสี่ ริวจิฉุกคิดขึ้น บุคคลเหล่านี้ต้องมิใช่ผู้ไร้ชื่อเสียงแน่ๆ เมื่อยังไม่ทราบที่มาของแต่ละคน แม้บันดาลโทสะริวจิยังฝืนยิ้มอย่างยากยิ่ง

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะ “ท่านนี่ช่างหลงลืมจริงๆ เมื่อครู่ท่านเป็นคนบอกเองว่าทั่วแผ่นดินผู้ที่สามารถหลบคมดาบของท่านโยชิได้แทบจะนับคนได้ทีเดียว แล้วท่านยังจะพูดว่า ซินแสลิขิตฟ้าเต็งพู้ย้งเป็นหนูสกปรกอีกหรือ หากนางเป็นเพียงหนูสกปรกจริง ท่านโยชิคงจะไม่ถึงกับต้องใช้ดาบแน่ ท่านโยชิย่อมมองออกแต่แรกแม่นางผู้นี้ไม่ใช่หนูสกปรกแน่ๆ”

ทั้งลิ้มเอ็งฮวย ดรุณีที่ปลอบเป็นเถ้าแก่และเอี้ยป้อฮู้หัวเราะเสียงดังลั่น

เสียงหัวเราะยิ่งดังริวจิยิ่งตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

ขณะที่ริวจิกำลังตัวสั่นเทา นาคามูระ โยชิก็กำลังตัวสั่นเทาเช่นกัน!

น้ำเสียงที่กล่าวออกแหบพร่าสั่นเครือราวกับพบภูตผี “นี่เจ้า! เป็นเจ้าจริงๆ หรือนี่”

ลิ้มเอ็งฮวยพอได้ยินอาการขึงโกรธก็พุ่งขึ้นทันที “ต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน!”

“มิใช่...มิใช่...” โยชิเพ่งนางไม่วางตาได้แต่พึมพำอยู่คนเดียว

“ไม่ใช่อะไร เจ้าทำกับดักของข้าพัง ไม่เพียงไม่ชดใช้ ซ้ำยังจะฆ่าคนปิดปากอีก” เมื่อทราบผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตนมิใช่ภูตผีลิ้มเอ็งฮวยก็ไม่เกรงสิ่งใดอีก

เมื่อทราบผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตนมิใช่ภูตผี นาคามูระ โยชิ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกตนเองเป็นอย่างยิ่ง มันควรคิดได้แต่แรกในโลกนี้ไหนเลยมีภูตผีปีศาจอันใด

“ไม่ทราบว่าพวกท่านมีธุระ...” ริวจิเพียงเริ่มเอ่ยปากแต่กลับต้องชะงักลงกลางคัน...

เนื่องเพราะเสียงขลุ่ยก้องกังวานดังขึ้นอีกแล้ว ทุกผู้ถึงกับหยุดชะงักให้กับกระแสเสียงอันแปลกประหลาดในยามเช้าเช่นนี้ เจ้าของเสียงขลุ่ยนี้ย่อมต้องมิใช่ผู้อื่นอย่างแน่นอน

ย่อมเป็นเสียงขลุ่ยของปึงเพียวเซาะ!

สำเนียงขลุ่ยของปึงเพียวเซาะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

บัณฑิตไร้ร่องรอยหน้าตาเปี่ยมรอยยิ้มรีบโผร่างออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

“อยู่ที่นั่นเอง”

ลิ้มเอ็งฮวยและลิ้มปวยฮวยสบตากันรีบตามไปในทันที

มีเพียงเต็งพู้ย้งที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพริ้วร่างโผกายจากไป

“ท่านรอข้าอยู่ที่นี่” นาคามูระ โยชิก็พุ่งตัวจากไปด้วยระดับความเร็วที่ไม่เชื่องช้ากว่าคนทั้งสามแม้แต่น้อย

ชั่วพริบตาบริเวณสวนหลังตึกคะนึงหาที่หรูหราที่สุดของโรงเตี๊ยมชิกแชฮั้วฮึงกลับเหลือโยชิโอกะ ริวจิกับดรุณีในร่างเถ้าแก่เพียงสองคน

“ทำไมท่านไม่ตามไป”

“ท่านโยชิให้ข้าพเจ้าคอยที่นี่”

“ท่านกลับเชื่อฟังคำพูดผู้อื่นนัก”

“คำผู้อื่นปกติข้าไม่เคยใส่ใจ แต่หากเป็นคำพูดของท่านโยชิข้าต้องทำตามเท่านั้น” ริวจิทำหน้าประหลาดใจแต่แล้วกลับยิ้มออกมา “แล้วทำไมข้าต้องตามเสียงขลุ่ยนั้นไป?...ดูท่าสหายของเจ้าจะให้ความสำคัญกับเสียงนั้นมากกว่าตัวเจ้าเสียอีก”

“คนเหล่านั้นไม่ใช่สหายข้า”

“อ้อ...”

“ในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ใช่สหายของเจ้าแล้วมาทำลับๆล่อๆที่นี่ทำไม”

“พวกเขาคล้ายมีจุดประสงค์เดียวกับเจ้า”

“หรือคนเหล่านั้นก็ต้องการพบจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!”

“อืม...”

“ในเมื่อมันต้องการตัวเจ้าเพื่อล่อให้จอมยุทธอี้ออกมา แต่ทำไมพอได้ยินเสียงขลุ่ยนั้นจึงรีบผลุนผลันกันออกไปโดยไม่สนใจใยดีเจ้าอีก แม้แต่ท่านโยชิเอง?”

ดรุณีจ้องหน้าริวจิอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ดูท่าเจ้าจะไม่รู้จักเสียงขลุ่ยนี้สินะ”

“เฮอะ ข้าพึ่งมาอยู่ตงง้วนเพียงปีกว่าๆจะรู้ทุกเรื่องราวได้ยังไงกัน”

“แต่นาคามูระ โยชิ กลับรู้เรื่องนี้”

“นั้นย่อมแตกต่างกัน เพราะท่านโยชิร่วมก่อร่างสร้างหมู่ตึกบูรพากับท่านพ่อที่ตงง้วนมาห้าปีแล้ว...หรือนั่นเป็นเสียงขลุ่ยของอี้แป๊ะเฮาะ!”

“ศิษย์พี่ยังไม่ใช่ผู้มีอารมณ์สุนทรีถึงเพียงนั้น”

“หรือในยุทธภพยังมีบุคคลที่น่าสนใจยิ่งกว่าอี้แป๊ะเฮาะอยู่อีก”

“คาดว่ามีไม่มาก...อาจบางทีมีอยู่เพียงคนเดียว”

“เป็นเจ้าเสียงขลุ่ย?”

“เมื่อสิบปีก่อนในยุทธภพมีกงจื้อที่เลื่องชื่อโดดเด่นทั้งพลังฝีมือ สติปัญญาไหวพริบ ฐานะตระกูล อยู่สี่คน เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือไม่”

ริวจิพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ทั้งสี่คนบ้างเป็นผู้สืบทอดของตระกูลใหญ่ บ้างเป็นศิษย์เอกของจอมยุทธเลื่องชื่อ ทั้งสี่เป็นสหายสนิทกัน สร้างวีรกรรมที่สั่นสะเทือนยุทธภพไว้มากมายจนได้รับการเรียกขานเป็นสี่กงจื้ออัจฉริยะ”

“เจ้ากลับรู้ไม่น้อย”

“จอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นหนึ่งในสี่กงจื้ออัจฉริยะ”

“มิผิด”

“คุณชายกงซุนซาเทียนที่ถูกลอบวางยาพิษเป็นหนึ่งในสี่กงจื้ออัจฉริยะด้วยเช่นกัน”

“ถูกต้อง”

“หรือเจ้าของเสียงขลุ่ยก็คือหนึ่งในสี่กงจื้ออัจฉริยะอีกสองคนที่เหลือ”

“ใช่เป็นคุณชายปึงเพียวเซาะ...”

ริวจินิ่งเงียบไปนานเนื่องเพราะไม่คาด ตนจะได้ทราบร่องรอยบุรุษผู้แปลกประหลาดที่สุดในยุทธภพพร้อมกันถึงสองคน

“ข้าได้ยินเรื่องของคนผู้นี้มามากเช่นกัน...เมื่อสิบปีที่แล้วมันได้เป็นประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงแทนบิดา แต่หลังจากงานแต่งงานของตระกูลกงซุนกับตระกูลเซี่ยงกัวเกิดโศกนาฎกรรมขึ้น ปึงเพียวเซาะก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกไปไหนอีกเลย ทั้งไม่ติดต่อกับผู้ใด ทั่วยุทธภพลือกันว่ามันกลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งไปแล้ว นี่ก็ร่วมสิบปี...เหตุใดคนเช่นนี้จึงยังมีผู้ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้”

“เพราะคนผู้นี้ตายไปแล้ว”

“มันตายไปแล้ว? คนตายไหนเลยยังเป่าขลุ่ยได้ ” ริวจิถามขึ้นด้วยความสงสัย

“คนเราสามารถตายได้หลายประเภท”

“อ้อ...ที่แท้มันเป็นคนตายชนิดไหน” ริวจิร้องออกมาด้วยความสงสัย

“เป็นคนตายที่สามารถก่อกวนบัณฑิตไร้ร่องรอยให้นั่งกระสับกระส่ายอยู่สามวันสามคืนไม่สามารถลุกไปไหนได้แม้แต่ก้าวเดียว”

“ได้ยินว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยไปมาดุจภูตผี วิชาตัวเบาเป็นหนึ่งในยุทธภพ สถานที่ที่คนผู้นี้ต้องการไปต้องไม่มีใครห้ามได้ แต่ที่ๆไม่ต้องการไปต่อให้ขนทรัพย์สินเงินทองมาขอร้องวิงวอนอยู่ตรงหน้ามันก็ไม่แยแส คนตายที่สามารถทำให้มันนั่งกระสับกระส่ายอยู่จึงสามวันนับว่าน่าสนใจยิ่งจริงๆ คาดว่าในยุทธภพต้องมีบุคคลเช่นนี้ไม่มาก”

“ในยุทธภพอาจมีบุคคลเช่นนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

“เพราะเหตุผลนี้จึงมีผู้ให้ความสำคัญกับมันเสมอมา?”

“ความจริงใช่ แต่ยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านี้”

“เป็นเหตุผลใด?”

“เจ้าทราบหรือไม่ สิบปีก่อนผู้ใดที่ได้รับการคาดหมายว่าอีกสิบปีให้หลังจะต้องชนะการประลองได้เป็นเจ้าของหมู่ตึกพันอักษรคนต่อไป”

“เป็นศิษย์พี่ของเจ้าใช่หรือไม่”

“มิใช่...”

“หรือเป็น...”

“เป็นคุณชายปึงจริงๆ!”

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น: