วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 6)



: บทที่ 6.

โดยปกติเส้นทางเดินเท้าระหว่างหมู่บ้านชนบทไปยังตัวเมืองอันคับคั่งล้วนมีศาลาเล็กๆสำหรับให้ผู้เดินทางสัญจรพักผ่อนเป็นระยะๆ ความโอ่โถงสวยงามของศาลาแต่ละแห่งย่อมขึ้นกับทำเลที่ตั้ง ภูมิประเทศ รวมถึงความสำคัญของเส้นทางที่ศาลาหลังนั้นตั้งอยู่

เส้นทางระหว่างหมู่บ้านเทียนเกี๊ยกับนครจุงกิงก็เช่นกัน

ศาลาพักร้อนแต่ละหลังล้วนโอ่โถงกว้างขวาง เนื่องเพราะนี่เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าที่สำคัญ พ่อค้าใหญ่ คหบดีมั่งคั่ง ขุนนางตำแหน่งใหญ่โตต่างผ่านไปมาเป็นประจำ คนเหล่านั้นย่อมยินดีที่จะจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างที่พักอันสุขสบายให้ขบวนของพวกตน อีกทั้งการกระทำเช่นนี้ยังได้หน้าได้ตามากมายอย่างยิ่ง จึงมีศาลาพักร้อนใหม่ๆผุดขึ้นเป็นประจำ ทั้งกว้างขวางโอ่โถง ทั้งวิจิตรสวยงาม ยิ่งหลังที่สร้างใหม่ๆ ยิ่งวิจิตรพิสดาร โอ่โถงกว้างขวาง

เช่นศาลาหกเหลี่ยมหลังนี้...ศาลาหินรูปหกเหลี่ยม เสาทุกต้นล้วนใช้หินเนื้อละเอียดอย่างดี ทั้งแข็งแรงทั้งสวยงาม หลังคามุมกระเบื้องสีแดงที่แม้ซีดจางไปบ้างแต่ยังคงประกอบกันแน่นสนิทอย่างยิ่งไร้ซึ่งช่องโหว่รอยรั่ว มุมทั้งสี่ประดับประดาด้วยโคมกระดาษหลากสี บนโคมแต่ละอันยังติดกระพรวนลูกเล็กๆยามเมื่อกระทบสายลมพลันบังเกิดเสียงกรุ้งกริ่งกังวานทั่วบริเวณ

ใต้แสงโคมสว่างไสวมองเห็นภายในศาลากระจ่างชัด ประกอบไปด้วยโต๊ะหินขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง รอบๆยังมีเก้าอี้หินอีกหกตัว หากเป็นฤดูชุนเทียนไม่ทราบมีจอมยุทธมากมายเพียงใดใช้โต๊ะตัวนี้หาความสำราญจากการร่ำสุรา อาจบางคราวยังมีหลวงจีนอาวุโสมาที่โต๊ะตัวนี้เพื่อเดินหมากล้อม และบางครั้งคาดว่ายังมีกงจื้อเลอเลิศกับโกวเนี้ยสูงศักดิ์มานั่งหยอกเย้ากัน ณ สถานที่นี้

ผิวโต๊ะเป็นหินขัดมันขีดเป็นกระดานหมากล้อมขนาดใหญ่

เวลานี้บนกระดานเต็มไปด้วยเบี้ยสีขาวและสีดำมากมาย...หมากกระดานนี้ยังเล่นไม่จบ

หิมะซึ่งโปรยปรายตลอดคืนได้หยุดลงแล้ว

แสงอาทิตย์สีเหลืองจางๆส่องกระทบกลุ่มหมอกขาวซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ ผสานแสงจากโคมหลากสีตกทาบลงบนกิ่งก้านสาขาของต้นหลิวที่ขึ้นเรียงรายอยู่ตลอดแนวด้านหลังศาลา พลันบังเกิดเงาสะท้อนวูบวาบแทรกสอดสลับเลื่อมละลานตาดั่งอาภรณ์สวรรค์ ไหววาบลู่เอนท่ามกลางท่วงทำนองของสายลมในฤดูตงเทียน อ่อนช้อยงดงามคล้ายดรุณีอ้อนแอ้นอรชรนับสิบร่ายรำหยอกล้อ ชวนเชิญให้เคลิบเคลิ้มหลงไหล

นี่เป็นยามเช้าที่งดงามอย่างยิ่ง...

บุรุษหนุ่มร่างสันทัดผู้หนึ่งวางขลุ่ยไม้ไผ่ในมือลงข้างกาย ดวงตาทั้งคู่แทบจะปิดลง ยังไม่สร่างจากฤทธิ์สุราแรงแต่ยังพยายามถ่างตาขึ้นมองกระดานหมากบนโต๊ะ นิ้วมือเรียวยาวบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีอารมณ์สุนทรียิ่ง นัยน์ตาแดงกล่ำใบหน้าซีดเซียวราวอดหลับอดนอนมาหลายคืน

หลายวันมานี้บุรุษหนุ่มแทบไม่ได้หลับนอนเลยจริงๆ...

หลายวันนี้มันได้แต่ครุ่นคิด...

มันได้แต่คิดด่าว่าตนเองซ้ำๆซากๆอยู่หลายครั้ง...

ตอนนี้มันเริ่มคิดด่าว่าตนเองอีกแล้ว...ปึงเพียวเซาะหนอ...ปึงเพียวเซาะ เจ้ามันหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ชีวิตในหมู่ตึกตลอดสิบปีนี้มีสิ่งใดไม่ดี สุรานับร้อยไหในหมู่ตึกตระกูลปึงล้วนหมักเก็บไว้นานปี ยิ่งดื่มยิ่งคึกคัก สดชื่นแจ่มใส ดื่มมากเท่าใดต้องไม่ปวดหัวแทบตายเหมือนสุราฉุนเฉียวหกไหที่ไหลเวียนอยู่ในกระเพาะตอนนี้เเน่

ปึงเพียวเซาะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกตนเองโง่งมอย่างยิ่ง ไฉนวันนั้นจึงด่วนตัดสินใจออกจากบ้านมา...เจ้าออกมาเพื่อให้ผู้อื่นใช้สายตาเช่นนั้นว่ากล่าวด่าทออีกทำไม...หรือสิบปีนี้เจ้ายังกล่าวโทษตนเองไม่พอ...ถึงได้เสนอหน้าออกมาให้ผู้อื่นกล่าวโทษเจ้าอีก...ฮ่าๆๆๆ...เจ้ามันหาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ...

ปึงเพียวเซาะใช้มือถูใต้คางตนเองไปมาเบาๆ หนวดเคราแข็งสากมือทิ่มตำจนรู้สึกเจ็บ

เช้านี้มันจึงได้คิด นี่ควรเป็นเวลาที่จะต้องจัดการกับใบหน้าตนเองเสียที...

...นั่นเพราะอีกไม่กี่อึดใจมันต้องต้อนรับแขกหลายคนอย่างยิ่ง ความจริงมันคาดว่าจะได้พบปะหลายคนนี้เมื่อถึงหมู่ตึกพันอักษรแต่เมื่อคืนระหว่างที่มันนอนเมามายครึ่งหลับครึ่งตื่นกลับสังเกตเห็นเรื่องแปลกประหลาดหลายประการ ผู้คนหลายคนทั้งที่ตนคิดว่ารู้จักและไม่รู้จัก วิ่งผ่านไปผ่านมาระหว่างหมู่บ้านเทียนเกี๊ยกับนครจุงกิงไม่หยุดหย่อน...

ศาลาหลังนี้ตั้งใจหลบฝุ่นทรายจากทางใหญ่จึงตั้งลึกเข้ามาพอสมควร ปกติยามค่ำคืนมันไม่เคยจุดโคมขึ้นแม้แต่ดวงเดียวบริเวณนี้จึงมืดสนิท ยิ่งเมื่อมันนอนนิ่งราวไม่มีชีวิตอยู่ภายในยิ่งไม่มีผู้ใดคาดได้ว่าจะมีผู้คนอยู่ในศาลาหลังนี้ เมื่อคืนเป็นคืนที่แปลกประหลาดจริงๆ

แท้จริงแล้วมันสังเกตเห็นเรื่องแปลกประหลาดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน...

หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนักอยู่หลายวัน เส้นทางสายนี้ไม่มีผู้คนหรือรถม้าผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่เมื่อเย็นวานกลับมีรถม้าสองคันควบขับเร็วอย่างยิ่งมุ่งออกจากหมู่บ้านเทียนเกี๊ยไปยังนครจุงกิง

เป็นกงจื้อร่ำรวยคนไหนรีบเร่งเดินทางถึงเพียงนี้...ต้องเป็นกงจื้อที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลอย่างยิ่งแน่ๆ...

เพราะมีเพียงคนหนุ่มจึงเลือดร้อนใจเร็วถึงขนาดรีบเร่งเดินทางยามอากาศเยี่ยงนี้ มันต้องร่ำรวยไม่น้อยอย่างแน่นอน เพราะหากต้องการจ้างวานรถม้าให้เดินทางยามนี้คงต้องทุ่มเงินไปไม่น้อยเป็นแน่ และหากมันไม่ใช่กงจื้อของตระกูลที่ทรงอิทธิพลไหนเลยสามารถขบคิดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้...

ปึงเพียวเซาะรู้สึกกงจื้อผู้นี้มีส่วนคล้ายตนเองเมื่อสิบปีก่อนอยู่ไม่น้อย...

เนื่องเพราะหากเป็นเมื่อสิบปีก่อนตนเองก็ต้องกระทำเช่นนี้!

กลางดึกมันจึงเผลองีบหลับไป จนใกล้รุ่งจึงตื่นขึ้นเพราะแว่วเสียงฝีเท้าคนวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านมาทางนี้ ถึงบริเวณนี้จะมืดไปบ้างแต่มันยังมองเห็นสิ่งต่างๆได้

ชายหลังค่อมผู้หนึ่งวิ่งอย่างรวดเร็ว ออกจากหมู่บ้านเทียนเกี๊ยไปยังนครจุงกิง อีกครู่ใหญ่สตรีอีกคนก็วิ่งออกจากหมู่บ้าน นางมองซ้ายมองขวาทั่วบริเวณราวกำลังสำรวจหาสิ่งของบางอย่างบนพื้นหิมะ อีกครึ่งชั่วยามชายหลังค่อมจึงวิ่งกลับหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่หนึ่งสตรีอีกคนซึ่งมาทำลับๆล่อราวกับสำรวจหาสิ่งของบางอย่างก็วิ่งกระหืดกระหอบราวหนีอะไรบางอย่างกลับไปยังหมู่บ้านเทียนเกี๊ยเช่นกัน อีกเกือบชั่วยามชายหลังค่อมคนเดิมก็กระหืดกระหอบออกมาจากหมู่บ้านอีก แล้วจากนั้นชายผู้หนึ่งกับหญิงสาวอีกสามคนก็ตามออกมา...

ปึงเพียวเซาะจดจำได้หนึ่งในสตรีสามคนนั้นคือพี่พู้ย้ง อีกสองคนดูจากวิชาตัวเบาคลับคล้ายจะเป็นน้องปวยฮวยกับน้องเอ็งฮวย ส่วนชายคนนั้นเป็นบัณฑิตเจ้าเล่ห์ที่ติดตามตนราวกับภูตผีปีศาจตั้งแต่ออกจากหมู่ตึกตระกูลปึงนั่นเอง

พอหวนคิดถึงบัณฑิตไร้ร่องรอยขึ้นมา ปึงเพียวเซาะอดที่จะหัวเราะอย่างขบขันขึ้นมาไม่ได้ มันไม่เข้าใจตนเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพมาสิบปีแล้ว ยังมีสิ่งใดเกี่ยวกับมันที่พี่เอี้ยต้องการทราบอีก

พี่เอี้ยเอ๋ย...ตลอดสี่วันที่ท่านต้องหงุดหงิดนี้ หากท่านคิดจะกล่าวโทษก็ต้องโทษคุณหนูรองกับคุณหนูสามต่างหาก...

หลายวันนี้ปึงเพียวเซาะหงุดหงิดอย่างยิ่ง...

ดังนั้นมันจึงตั้งใจทำให้ผู้อื่นหงุดหงิดบ้าง...

สี่คืนมาแล้วมันเดินวนเวียน เปลี่ยนศาลาดื่มเหล้าหลังแล้วหลังเล่า นึกอยากเป่าขลุ่ยก็เป่านึกอยากหยุดก็หยุด เดี๋ยวเดินไปใกล้หมู่บ้าน เดี๋ยวถอยห่างออกมาหลายลี้ แต่มันกลับไม่ได้วนเวียนไปใกลจากศาลาหลังนี้ เนื่องเพราะศาลาหลังนี้เป็นแห่งเดียวที่มีโต๊ะซึ่งขีดเป็นกระดาษหมากล้อม

มันเริ่มเดินหมากกระดาษนี้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว...จนเวลานี้มันยังไม่สามารถจบกระดานแรกได้

จนเมื่อใกล้รุ่งเห็นผู้คนคล้ายวิ่งไล่จับกันไปมามันจึงคิด...

เดินหมากล้อมคนเดียวสนุกสนานตรงไหน...มันได้คิดหลังจากครุ่นคิดหมากกระดานนี้จนสมองโป่งพองแทบปริออกถึงสามวันแล้ว!

บุรุษหนุ่มไม่ทราบพวกเขากำลังเล่นอะไรกัน...มันตัดสินใจเดินไปใกล้นครจุงกิงอีกระยะหนึ่ง...เป่าขลุ่ยในมือดังขึ้นอีกเล็กน้อย น่าฟังขึ้นอีกเล็กน้อยจากนั้นจึงเดินกลับมายังศาลาหลังนี้...และโคมสี่ดวงซึ่งแขวนไว้บนศาลาก็ถูกจุดสว่างไสวไปทั่วบริเวณ...เนื่องเพราะมันยังเกรงว่าผู้คนจะไม่สังเกตเห็นศาลาน้อยหลังนี้!

ครุ่นคิดไปพลางมืออีกข้างล้วงไปในอกเสื้อของตน ควานหาสิ่งของที่จะใช้จัดการกับหนวดเคราตนเอง ในที่สุดมันก็ควานพบมีดขนาดเล็กคมกริบเล่มหนึ่ง...

ขณะที่กำลังจรดใบมีดลงบนเคราครึ้มใต้คาง สายตาแดงกล่ำยังเหลือบมามองกระดานหมากล้อมแวบหนึ่ง บุรุษหนุ่มโยกศรีษะไปมามืออีกข้างนวดถูต้นคอแรงๆ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบเบี้ยดำเม็ดหนึ่งจากกองเบี้ยตรงหน้า แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่อาจตัดใจวางเบี้ยเม็ดนั้นลงบนกระดานได้ เมื่อขบคิดไม่ตกบุรุษหนุ่มเคราครึ้มจึงโยนเบี้ยเม็ดนั้นเล่นขึ้นๆลงๆบนฝ่ามือ ครู่หนึ่งจึงคร้านที่จะคิดต่อ พลางบรรจงจ่อใบมีดลงใต้คางอีกครั้ง

มันโกนเคราได้เพียงครึ่งเดียวคนผู้หนึ่งก็เดินตรงมายังศาลาหกเหลี่ยมหลังนี้

เป็นสตรีร่างท้วมผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา...

“ฮือ...ที่มาถึงคนแรกเป็นพี่พู้ย้งจริงๆ” บุรุษหนุ่มไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจ ใบมีดในมือยังเคลื่อนไหวช้าๆ มันยังมีเคราติดอยู่บนใบหน้าอีกครึ่งหนึ่ง

“ย่อมต้องเป็นข้าแน่นอน” เต็งพู้ย้งเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้หินด้านข้างของบุรุษหนุ่ม มือข้างซ้ายเผอิญสัมผัสขอบโต๊ะ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วกระทบกับเบี้ยบนกระดาน

ซินแสลิขิตฟ้าใช้ฝ่ามือสัมผัสเบี้ยแต่ละเม็ดบนกระดานแผ่วเบาจนทั่ว เบี้ยแต่ละเม็ดล้วนเป็นหินผิวเรียบซึ่งมีอยู่มากมายในบริเวณนั้น บุรุษเคราครึ้มผู้นี้ใช้หินขนาดใหญ่กว่าแทนเบี้ยขาว ส่วนเม็ดที่เล็กกว่าใช้แทนเบี้ยดำ เต็งพู้ย้งย่อมไม่ทราบหินเม็ดเล็กหรือใหญ่อันใดใช้แทนเบี้ยขาวหรือเบี้ยดำกันแน่ แต่ไม่ว่าหินชนิดใดจะแทนสิ่งใดนั่นไม่สำคัญเนื่องเพราะเมื่อมีหินสองชนิด ชนิดหนึ่งย่อมต้องใช้แทนของสิ่งหนึ่งส่วนอีกชนิดย่อมต้องแทนสิ่งที่เหลืออย่างแน่นอน

ลักยิ้มบนใบหน้าปรากฏเด่นชัด นางหยิบหินเม็ดใหญ่ในถ้วยมาก้อนหนึ่ง วางมันลงไปที่ตำแหน่งหนึ่งบนกระดาน “เจ้าชอบเดินหมากคนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“คำร่ำลือที่ว่าในสิบปีนี้บัณฑิตเจ้าเล่ห์มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศที่สุดในยุทธภพต้องเป็นเรื่องเหลวไหลแน่ๆ”

เคราครึ้มถูกโกนออกจนเกลี้ยงแล้ว มันกำลังจะโกนหนวดเหนือริมฝีปากต่อ

“ข้าไม่ชอบถ่อมตัวมากนัก แต่ยังยอมรับว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยมีวิชาตัวเบาเหนือกว่าข้าจริงๆ”

“อ้อ...”

“แต่ที่ข้ามาถึงที่นี่เป็นคนแรกเนื่องเพราะบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นผู้ที่มีสายตาปราดเปรียวอย่างยิ่ง”

“อ้อ...”

“มีเพียงคนประเภทนี้จึงถูกเสียงขลุ่ยของเจ้าหลอกลวงได้โดยง่าย แต่คนตาบอดเช่นข้ากลับผิดแผกแตกต่างออกไป” นางไม่เคยถือว่าเรื่องนี้เป็นปมด้อยของตนเอง ตรงกันข้ามเพราะนางเป็นคนตาบอดดังนั้นจึงมาถึงสถานที่แห่งนี้ก่อนคนอื่นๆ!

เทือกเขาสูงรายล้อมเป็นฉากหลังของศาลาหลังน้อย ยิ่งสามวันที่ผ่านมาสภาพอากาศแปรปวน สายลมเปลี่ยนแปลงทิศทางตลอดเวลา ด้วยสิ่งแวดล้อมที่เป็นใจบวกกับพลังฝีมือที่จงใจหยอกล้อผู้คน เดินวนเวียนเดี๋ยวไปศาลาหลังนั้น เดี๋ยวอยู่ศาลาหลังนี้เกือบตลอดคืน บัณฑิตไร้ร่องรอยจึงต้องกระสับกระส่ายอยู่ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อถึงสามวัน แม้เวลานี้บุรุษหนุ่มจะเลิกก่อกวน แต่การเสาะหาต้นกำเนิดของเสียงขลุ่ยโดยอาศัยการฟังเพียงชั่วครู่จากสถานที่ไม่ใกล้ย่อมไม่ง่ายดายนัก

“เฮ้ย...ข้ามิได้คาดคิดเช่นนั้น” บุรุษหนุ่มสะบัดใบมีดสลัดเศษหนวดเคราที่ติดอยู่ออกจนหมด แล้วเช็ดใบมีดกับแขนเสื้อของตน

บุรุษหนุ่มผู้นี้เมื่อใบหน้าเกลี้ยงเกลาแล้ว กลับมองดูหล่อเหลาคมสันไม่น้อย สิบปีก่อนปึงเพียวเซาะเป็นกงจื้อน้อยที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง มันเป็นบุรุษในฝันของดรุณีน้อยใหญ่ แต่สารรูปของมันในวันนี้ต้องไม่มีดรุณีใดชำเลืองมองมันอย่างแน่นอน หลายปีนี้มันมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายเกินไป ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินไป ทั้งยังดื่มสุราจัดเกินไป ร่างกายภายนอกดูอ้วนท้วนขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ถึงกับมีไขมันส่วนเกินอยู่หลายแห่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมสันหมองซูบซีดดวงตาหมดประกายเหลือเพียงแววขุ่นมัวเมามาย

หากผู้อื่นมาพบมันในตอนนี้ ใครจะเชื่อว่าบุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบเจ็ดปี แต่งกายมอซอดวงตาไร้ประกาย กลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวผู้นี้คือประมุขคนปัจจุบันของหมู่ตึกตระกูลปึงหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของยุทธภพ!

บรรพบุรุษตระกูลปึงเป็นอดีตขุนนางตำแหน่งสำคัญติดต่อกันหลายชั่วคน แต่ทายาทรุ่นหลังๆล้วนมุ่งสร้างชื่อในยุทธภพจนในที่สุดไม่มีผู้ใดสนใจรับราชการอีก เนื่องจากเป็นตระกูลขุนนางสำคัญหลายชั่วคนสมบัติพัสถานที่สะสมต่อเนื่องกันมานับว่ามีมากมายยิ่ง โดยเฉพาะที่ดินยิ่งมีไม่น้อยทั้งยังเป็นย่านค้าขายสำคัญในหลายเมืองใหญ่ แต่ละปีแค่เก็บค่าเช่าก็เพียงพออย่างเหลือเฟือกับการใช้สอยแล้ว



..........................................................................................................................


: นัยน์ตาหรี่ปรือพยายามเบิ่งมองกระดานหมากพลางโยกศรีษะไปด้วยความเคยชิน “พี่พู้ย้ง...จากกันสิบปี...ดูเหมือนมีเพียงท่านที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากคิดได้ชัย...มีเพียงหมากนี้จริงๆที่สามารถวางได้”

“นั่นเพราะเจ้ายังคงเป็นปึงเพียวเซาะเหมือนเมื่อสิบปีก่อน...ไม่เช่นนั้น...มีหรือที่คนตาบอดอย่างข้าจะสามารถคิดถึงหมากตานี้ได้” เต็งพู้ย้งถอนหายใจราวกับตนเองได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงไว้ “ความจริงข้าสมควรเสาะหาเจ้าพบตั้งแต่เมื่อวาน”

“หลายวันนี้หิมะตกหนักการเดินทางย่อมล้าช้าไปบ้าง”

“ข้ามิได้มาหาเจ้าตั้งแต่เมื่อคืนเพราะ...ข้าบังเอิญพบบัณฑิตไร้ร่องรอย...”

“โอ...พี่เอี้ยมีความสามารถจริงๆที่รั้งตัวท่านไว้ได้” ปึงเพียวเซาะแกล้งทำเสียงประหลาดใจดังลั่น มันยังคงไม่ทราบว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดถือเป็นจริงเป็นจัง ซ้ำยังแสร้งยั่วโทสะนางอีก

นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยเคยชินเสียแล้วกับนิสัยยียวนของน้องชายผู้นี้ ซ้ำยังนึกโทษตัวเอง ปกติไม่ว่าในสถานการณ์เช่นไรตนเองมักไม่ยึดถือเป็นอารมณ์ หน้าตาจึงแจ่มใสสดชื่นปรากฏรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ในยามนี้เมื่อคิดจะพูดจาจริงจังผู้อื่นกลับไม่นำพาเสียนี่ “...จนเมื่อคืนได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้า...มิได้ผิดแผกไปจาก...จากวันนั้น...ข้าจึงได้คิด...ข้าควรมาพบเจ้าตั้งแต่เมื่อคืนจริงๆ...” ถ้อยคำเหล่านี้เปี่ยมด้วยความห่วงใยอย่างยิ่ง

“อ้อ...” ปึงเพียวเซาะเริ่มสำเหนียกถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของนางแล้ว

เต็งพู้ย้งนิ่งไปครู่ใหญ่จึงตัดสินใจเอ่ยประโยคนี้ออกมาได้ “...ข้าได้ไปสถานที่นั้นมาเช่นกัน...”

“ฮือ...พี่พู้ย้งกลับคล้ายพี่เอี้ยขึ้นทุกวัน...”

“ข้าไม่ได้คิดสะกดรอยเจ้า...หลังจากได้เทียบเชิญของท่านผู้เฒ่า ข้าไปหาเจ้าที่บ้านคิดชักชวนไปงานคัดเลือกประมุขหมู่ตึกพันอักษรด้วยกัน แต่เด็กรับใช้กลับบอกว่าเจ้าออกเดินทางล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว”

ใบหน้าที่ปกติมีรอยยิ้มอ่อนโยนถึงกับสลดลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ข้าย่อมคาดคิดได้...เมื่อเจ้ายินยอมออกจากบ้านสถานที่ใดที่เจ้าควรไปเป็นแห่งแรก...แต่ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเจอพวกนางที่นั่น”

“ไฉนท่านจึงทราบว่าข้าพบพวกนางที่นั่น?”

“หากเจ้ากับพวกนางไม่พบกัน เสียงขลุ่ยของเจ้าคงไม่เป็นเช่นเมื่อคืนหรอก...”

ผู้ที่อยู่ในวันนั้นที่หมู่ตึกพันอักษรเมื่อสิบปีก่อนล้วนจดจำเสียงขลุ่ยโหยหวนเช่นนั้นได้ไม่มีลืมเลือน...แม้ทุกคนจะได้ยินกระแสเสียงนั้นเพียงครั้งเดียวในวันนั้น...

วันจัดงานศพของคุณชายใหญ่กงซุนซาเทียนและคุณหนูใหญ่เซี่ยงกัวเซียนนึ้ง!

“ข้าเดินทางเสาะหาเจ้าอยู่หลายวัน...จนวานนี้จึงได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้า...”

“โชคดีที่ท่านยังไม่ได้พบปะพวกนาง...” ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงรู้สึกอารมณ์ภายในพลุ่งพล่านด้วยความตื้นตันอย่างยิ่ง สิบปีแล้วที่ตนปฏิเสธไม่ยอมพบผู้คนภายนอก แม้กระทั้งพี่สาวผู้สนิทสนมราวกับพี่น้องคลานตามกันมาผู้นี้ ถึงอย่างนั้นในวันนี้นางยังคงห่วงใยเกรงว่าตนจะกระทบกระเทือนใจอย่างยิ่งเมื่อเจอะเจอสองพี่น้องตระกูลเซี่ยงกัว ทั้งที่นางเองย่อมต้องเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตนหากต้องเผชิญหน้ากับพี่น้องคู่นั้น

“...ข้าเพิ่งพบพวกนางเมื่อคืนนี้...”

“...ข้าแยกกับพวกนางมาสามวันแล้ว...เหตุใดพวกนางเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่” บุรุษหนุ่มทอดถอนใจ คำพูดเหล่านั้นคล้ายกล่าวกับตนเอง “ท่านพบพวกนางเมื่อคืน?”

“ใช่...”

“เป็นเช่นนี้ท่านยังจะพยายามปลอบโยนข้าอีก...ตอนนี้ควรเป็นข้ามากกว่าที่ต้องปลอบโยนท่าน”

“...เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...”

“ข้าพบนางมาสี่วันแล้ว จะมากจะน้อย ข้าก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ถึงสี่วันแล้ว...แต่ท่านสิเพิ่งพบนางเมื่อคืนที่ผ่านมา...” ปึงเพียวเซาะสูดหายใจยาวลึก “เรื่องก็ผ่านมาถึงสิบปีแล้ว ถึงตอนนี้พวกนางพี่น้องจะยังแค้นเคืองพวกเราเช่นไรแต่...”

เต็งพู้ย้งแทรกขึ้น “หรือสี่วันก่อนคุณหนูรองยอมให้เจ้าเคารพสุสานของคุณชายกับคุณหนูใหญ่ ...”

“ข้าเคารพสุสานของพี่ทั้งสองก่อนที่พวกนางจะเดินทางมาถึง...” ปึงเพียวเซาะตอบอย่างไม่เต็มปาก พี่พู้ย้งคาดการถูกจริงๆ หากไม่ใช่เพราะตนไปเคารพสุสานก่อน พวกนางสองพี่น้องต้องไม่ยอมให้ตนเหยียบเข้าไปบริเวณสุสานแน่

“จากนั้น...”

“พวกนางไม่เอ่ยวาจาใดกับข้าสักคำเพียงมอง...มองด้วยสายตาที่นางเคยมองพวกเราในงานศพของพี่ซาเทียนกับคุณหนูใหญ่...”

“เจ้าจึงมานั่งอยู่ที่นี่ถึงสามวัน”

“นั่นเป็นเรื่องของสามวันก่อน”

“ตอนนี้...เวลาสิบปีทำให้เจ้าตัดใจจากเรื่องนี้ได้แล้ว?”

“หากข้าบอกใช่ ท่านต้องไม่เชื่อข้าแน่นอน”

“หากใช่...เช่นนั้นเมื่อครู่เหตุใดเจ้าไม่ยอมวางเบี้ยเม็ดนั้นลงไป...”

นัยน์ตาขุ่นมัวจากฤทธิ์สุรา เหลือบไปยังกระดานหมากล้อมอีกครั้ง ทั้งที่เตรียมตัวเผชิญเหตุการณ์เช่นวันนั้นมาหลายปีแล้วแต่เมื่อสี่วันที่แล้วมันจึงตระหนัก ประกายตาคมกริบดุจคมกระบี่ของเซี่ยงกัวเม้งจูที่จ้องมองตนช่างทิ่มแทงเชือดเฉือนกัดกร่อนจิตใจของตนไม่ได้ต่างไปจากสิบปีที่แล้วแม้แต่น้อย!

จากวันนั้นมันก็เริ่มดื่ม อีกหลายชั่วยามจึงคิดเดินหมากกระดานนี้ มันพยายามจนแล้วจนรอดแต่ก็ไม่สามารถเดินให้จบกระดานได้ หลังจากนอนให้สุรากรอกตนเองอยู่สี่วัน เมื่อคืนมันจึงคิดถึงหมากตาที่เต็งพู้ย้งพึ่งวางลงไปได้ ด้วยอาการลิงโลดมันหยิบเบี้ยเม็ดนั้นจ่อลง ณ ตำแหน่งนั้นทันที แต่ไม่ทราบทำไมมันกลับไม่อาจตัดใจปล่อยมือจากเบี้ยนั้นได้...มันกลับเกิดความคิด ‘จำเป็นด้วยหรือที่ต้องวางเบี้ยเม็ดนั้นลงไป’

เวลานั้นปึงเพียวเซาะได้แต่หัวเราะ พลางบอกกับตนเอง เมื่อคิดหมากตานี้ได้ใยต้องรีบร้อนวางลงไป มือเรียวยาวหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นจรดริมฝีปากอย่างนิ่มนวล มันรู้สึกกระแสเสียงที่เปล่งออกไปคล้ายแตกต่างจากสามวันที่แล้วอยู่บ้าง

“พี่พู้ย้งห่วงใยข้าจนเกินไป...ท่านใยไม่คิดถึงตัวเองบ้าง...”

รอยเคร่งเครียดจางหายไป “เมื่อคืนได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้า ข้ายอมรับว่าวิตกกังวลอย่างยิ่งจริงๆ แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าตนเองกังวลจนเกินไปแล้ว”

“อ้อ...”

“ที่แท้เจ้ากลับไม่ได้กลายเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจอย่างที่ร่ำลือกัน”

“ข้าตายไปจากยุทธภพนานแล้วจริงๆ แต่มิได้ตายไปจากชีวิตตนเอง”

“เช่นนั้นเจ้าคิดมีชีวิตอยู่เพียงผู้เดียวถึงเมื่อไหร่ หากเจ้าคิดมีชีวิตอยู่ เจ้ามิอาจกระทำตนให้ตายไปจากความทรงจำของผู้อื่น เนื่องเพราะไม่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ เจ้าไม่สามารถตายจากความทรงจำของบุคคลผู้เป็นห่วงกังวลในตัวเจ้า อย่างนั้นเจ้ายังคิดตายไปจากชีวิตผู้อื่นทำไม”

“ข้าทราบ...” ปึงเพียวเซาะเข้าใจจริงๆ มันพยายามทำตนให้สาบสูญไปจากยุทธภพ แต่กลับยังมีเรื่องร่ำลือเกี่ยวกับตัวเองให้ได้ยินจนคร้านจะรับฟัง ระยะแรกมันคิดว่านานไปเสียงเหล่านั้นจะเงียบหายไป แต่สิบปีแล้วเสียงเหล่านั้นยังไม่มีวี่แววว่าจะเบาลงแม้แต่น้อย

“เวลานี้เจ้ายังเชื่อคำทำนายของข้าหรือไม่” นางหยิบหินเม็ดใหญ่และเล็กจากกองหมากเบื้องหน้ามาอย่างละเม็ดส่งให้ปึงเพียวเซาะ

บุรุษหนุ่มรับและโยนเบี้ยทั้งสองลงบนโต๊ะ

เต็งพู้ย้งวาดมือแผ่วเบาเก็บเบี้ยทั้งสองเม็ดขึ้นมา ครุ่นคิดนิดนึง

“พี่พู้ย้งหรือคราวนี้ข้ายังจะโชคร้ายกว่าเดิม”

“เมื่อสิบปีก่อน คำทำนายที่เจ้าได้คือลมใต้ฟ้า...การพบปะโดยบังเอิญจะนำโชคร้ายมาให้...”

ซินแสลิขิตฟ้าถอนหายใจเบาๆ “...แต่คราวนี้คำทำนายของเจ้าคือใต้ฟ้ามีเสียงฟ้าร้องคำรณ ความหมายของคำๆนี้คือความไร้เดียงสา...หากเจ้าไม่คิดไขว้ขว้ายินยอมปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินผ่านไปตามวิถีของมัน...ทุกสิ่งย่อมไม่ส่งผลดีต่อเจ้า...”

นางนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยถาม “ที่แท้ครั้งนี้เจ้าเดินทางออกจากบ้านมาทำไม?”

“ข้า...ข้าเพียงคิดไปเคารพสุสานของท่านพี่ทั้งสอง” ทั้งที่เต็งพู้ย้งไม่สามารถเห็นสีหน้าและแววตาของบุรุษหนุ่มได้แต่ปึงเพียวเซาะยังต้องเบือนหน้าไปอีกทางคล้ายต้องการหลบสายตาของนาง “พี่ไม่ใช่ต้องการให้ข้าออกมาจากบ้านมาใช้ชีวิตเยี่ยงคนทั่วไปหรือ”

“ข้าย่อมต้องการเช่นนั้น หากเป็นช่วงเวลาอื่นแล้วเจ้ายินยอมออกมาพบปะผู้คนเช่นนี้ข้าย่อมดีใจจนแทบคิดกระโดดโลดเต้น แต่ครั้งนี้เจ้าตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านหลังจากได้รับเทียบเชิญของท่านผู้เฒ่า ข้าสงสัยเจตนาของเจ้าจริงๆ”

“พี่พู้ย้งสงสัยแต่มิได้ประหลาดใจ?”

“ข้ามิได้ประหลาดใจเนื่องเพราะคาดคิดไว้เช่นกันว่าหากถึงงานชุมนุมที่หมู่ตึกพันอักษรเจ้าอาจต้องการเดินทางไปที่นั่นด้วย ดังนั้นเมื่อข้าได้รับเทียบเชิญของท่านผู้เฒ่าจึงคิดไปชักชวนเจ้าที่หมู่ตึกตระกูลปึงแต่ข้าไปถึงไม่ทันเจ้าออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว”

“เช่นนั้นพี่ย่อมคาดการณ์ได้แล้วว่าเหตุใดครั้งนี้ข้าจึงเดินทางออกจากบ้านมา พี่ยังสงสัยเรื่องอะไรอีก”

“ที่ข้าสงสัยเพราะยังไม่แน่ใจ?”

“พี่ยังไม่แน่ใจเรื่องใด?”

“ครั้งนี้เจ้าเดินทางออกจากบ้านเพื่อมาพบผู้ใดกันแน่?”

“...มีหลายคนที่ข้าต้องการพบ”

“เป็นหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น?”

“พี่คิดว่าที่ข้ายินยอมออกจากบ้านเพราะต้องการรื้อฟื้นเรื่องราวในครั้งนั้นขึ้นมาอีก?” ปึงเพียวเซาะทอดถอนใจอย่างหดหู่ เอ่ยขึ้นแผ่วเบาจนแทบจะกลายเป็นรำพึงรำพันกับตนเอง “...ที่แท้สิบปีนี้ท่านยังคิดรื้อฟื้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เหตุใดพี่ไม่เอ่ยถามข้าตรงๆ ผู้ที่ทราบว่าเหตุใดจึงตัดสินว่าพี่แป๊ะเฮาะเป็นผู้บริสุทธิ์ เหตุใดจึงยุติการสืบสวนทั้งที่ยังหาตัวผู้วางยาพิษไม่ได้ เรื่องราวเหล่านี้นอกจากท่านผู้เฒ่าทั้งสี่ก็มีเพียงข้ากับพี่แป๊ะเฮาะอีกคนเท่านั้นที่ทราบ ความจริงข้าสมควรเป็นคนที่ท่านจะไต่ถามมากที่สุด”

เต็งพู้ย้งนิ่งอึ้งจำนนต่อทุกถ้อยคำของน้องชายผู้ไม่ได้พบปะกันมาถึงสิบปี “เพราะผู้ที่ทราบถึงเหตุผลเหล่านั้นเป็นเจ้าข้าจึงไม่เคยคิดไต่ถาม”

บุรุษหนุ่มพึมพำเบาๆในคำคอ หางเสียงมีแววสำนึกตื้นตันอยู่เต็มเปี่ยม “ข้าย่อมทราบดี...พี่พู้ย้งไม่เคยคิดสร้างความลำบากใจให้กับข้า...ครั้งนี้ข้าเดินทางมาเพราะต้องการพบหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นจริงๆ แต่ข้าไม่ได้ต้องการที่จะรื้อฟื้นเรื่องราวนั้นขึ้นมาอีก ข้าเพียงต้องการ...”

การสนทนาของทั้งสองต้องหยุดชะงักลง เนื่องเพราะเสียงฝีเท้าที่รวดเร็วยิ่งสามคู่พุ่งตรงใกล้เข้ามาขึ้นทุกขณะ เงาร่างปรากฏอยู่ลิบๆสามร่างต่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตรงรี่มายังศาลาหกเหลี่ยมหลังนี้

ลิ้มปวยฮวย ลิ้มเอ็งฮวย เอี้ยป้อฮู้มาถึงศาลาหลังนี้แล้ว...

ลิ้มเอ็งฮวยแทบจะโผเข้าไปกอดบุรุษหนุ่มทันทีที่เห็นหน้า แต่แล้วต้องชะงักท่าทีไว้เพราะคิดได้ว่าตนมิใช่เด็กน้อยเช่นเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว “เป็นพี่จริงๆ...” น้ำตาเอ่อคลอเบ้าถ้อยคำมากมายล้วนตีบตันอยู่ในลำคอ

ลิ้มปวยฮวยเอ่ยออกมาได้เพียงคำเดียว “ท่านสบาย...” สายตาอ่อนโยนนุ่มนวลจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซูบซีดของปึงเพียวเซาะ ผู้ที่พบเห็นใบหน้าของนางขณะนี้ไหนเลยจะเชื่อว่านางคือเซียนแพทย์ไร้ใจผู้เย็นชา!

สิบปี...คุณชายปึงดูอ้วนท้วนขึ้น คล้ายคนไม่ได้ใส่ใจตนเอง ดั่งมิได้สนใจฝึกปรือวิชาฝีมือมาเป็นเวลานาน บนใบหน้าปรากฏรอยหนวดเคราที่พึ่งโกน ทิ้งร่อยรอยเป็นแถบสีเขียวยาวลงมาตามใบหน้าเรียว ดวงตาหรี่ปรือไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อก่อน เสื้อผ้ายิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง สารรูปเช่นนี้ไม่เหลือเค้า กงจื้อเจ้าสำราญผู้รุ่มรวยในอดีตแม้แต่น้อย...สิบปีกลับเปลี่ยนแปลงคนผู้หนึ่งได้ถึงขนาดนี้...

เวลามิได้กัดกร่อนผู้คน...ที่กัดกร่อนผู้คนคือความปวดร้าวรันทด...

บ่อยครั้งที่นางเฝ้าถามตนเอง สิบปีนี้มีผู้ใดบ้างที่ถูกความรู้สึกนี้กัดกร่อน

ผู้เป็นเช่นนี้มีไม่น้อยจริงๆ ตัวนางเองย่อมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย!

ปึงเพียวเซาะยิ้มให้ดรุณีทั้งสอง “ข้าสบาย...” ความปิติยินดีที่ได้พบน้องสาวทั้งสองทำให้ไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมาได้มากไปกว่านี้ หลังนิ่งอึ้งด้วยความยินดีไปครู่ใหญ่ จึงหันไปเอ่ยทักทายบัณฑิตไร้ร่องรอย “สิบปีมานี้ท่านสบาย...”

“สิบปีมานี้ข้าสบาย...มีเพียงสี่วันนี้เท่านั้นที่ข้ารู้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง” วาจาที่กล่าวแม้จงใจแดกดันผู้คน แต่น้ำเสียงยังปกติไม่กระแทกกระทั้นหงุดหงิด หน้าตายิ่งแจ่มใสสดชื่นยิ่ง

ปึงเพียวเซาะยังทำไม่รู้ไม่ชี้ “คาดว่าท่านยังดื่มมากอย่างยิ่ง ข้าเคยบอกท่านตั้งแต่สิบปีที่แล้วว่า สุราไหนเลยจะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ตอนนี้ท่านต้องติดตามเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งจึงดื่มมากมายเช่นนี้”

“ช่วงนี้ข้าดื่มมากไปจริงๆ แต่ยังดีที่ได้เรื่องราวไม่น้อยเช่นกัน”

“หวังแต่ว่าคงมิใช่เรื่องที่ท่านคาดคิดขึ้นมาเองอีกล่ะ” ลิ้มเอ็งฮวยอดเหน็บแนมใส่ไม่ได้

“หากเจ้าไม่พอใจสามารถไปอาละวาดที่ร้านหนังสือข้าได้...แค่ร้านเล็กๆไม่พอมือเจ้าอยู่แล้ว....” เอี้ยป้อฮู้นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เมื่อไหร่ตัวยุ่งนี่จะเลิกก่อกวนผู้อื่นเสียที

“ข้าไม่วุ่นวายกับร้านของท่านหรอก แต่ข้าจะไม่อนุญาติให้ขายยาของตระกูลลิ้มให้ทุกๆร้านที่มีหนังสือของท่านวางอยู่ ดูสิจะยังมีที่ไหนกล้าขายหนังสือของท่านอีก”

เอี้ยป้อฮู้ตาลุกวาว “หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีที่ไหนกล้าแน่นอน แต่ข้ากลับจะได้เรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งเขียนอีกเรื่องหนึ่ง กำไรจากการขายเรื่องนี้คงทำให้ร้านค้าพวกนั้นมีเงินจ้างซินแสแทนที่จะซื้อยาของตระกูลเจ้าแน่ๆ เรื่องราวความไม่ลงรอยกันของบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นข้ากับตระกูลลิ้มของเจ้าย่อมต้องมีผู้สนใจมากมาย”

“นี่เจ้า...” ลิ้มเอ็งฮวยแผดเสียงลั่น นางไหนเลยคาดว่า บัณฑิตเจ้าเล่ห์จะมีลวดลายเช่นนี้

“หากเจ้าทำเช่นนั้นจริงข้ายินดีแบ่งกำไรส่วนหนึ่ง ให้กับตระกูลลิ้มของเจ้า คาดว่าต้องมากกว่าส่วนที่ขาดไปเพราะไม่ขายยาให้ร้านเหล่านั้นแน่นอน” มันป้องปากพูดอย่างแผ่วเบาดั่งกำลังตกลงสัญญาเป็นจริงเป็นจัง

“เจ้า!” นางไม่ทราบจะทำเช่นไรกับคนผู้นี้จริงๆ

ปึงเพียวเซาะหัวเราะร่วน “ที่แท้มีการค้าขายเช่นนี้ด้วย”

ยามนี้มันรู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่ายิ่ง อาการมึนงงเมามายสลายไปหลายส่วน เนื่องเพราะเมื่อมีมิตรสหายไม่กลัวความลำบากเสาะหาตนจนพบ ไหนเลยยังสามารถหงุดหงิด ซึมเศร้าอยู่ได้

เมื่อตัดสินใจพบปะกับผู้คน มันยังเกรงกลัวอยู่บ้าง ถึงแม้ตนเองกับผู้คนเหล่านี้ล้วนยึดเป็นพี่น้อง มิตรสหาย แต่สิบปีนี้ต่างล้วนไม่เคยพบปะกันอีกเลย...

ตนเพียงทราบข่าวแต่ละคนได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในยุทธภพปัจจุบัน...

มันจึงไม่แน่ใจ เวลานี้ทุกคนจะยังรับตนเป็นพี่น้อง มิตรสหายเหมือนเช่นเดิมหรือไม่...

แต่ตอนนี้มันทราบแล้ว...มันจึงหัวเราะได้เต็มที่อย่างยิ่ง

ยิ่งมันหัวเราะยิ่งดัง สายตาของลิ้มปวยฮวยที่มองมันยิ่งทอประกายแจ่มใส เมื่อคืนนางกังวลอย่างยิ่งเกรงว่าคุณชายปึงจะกลายคนอมทุกข์ไร้ชีวิตจิตใจเช่นเสียงร่ำลือที่เกิดขึ้นในยุทธภพไปแล้วจริงๆ ตอนนี้นางจึงยินดีอย่างยิ่งที่แท้เสียงร่ำลือยังคงเป็นแค่เสียงร่ำลือเท่านั้น

“ข้าไหนเลยจะกล้าทำข้อตกลงกับตระกูลลิ้ม....อีกทั้งคาดว่าตระกูลลิ้มคงร่ำรวยเพียงพอแล้ว ความจริงการผลิตยาขายต้องร่ำรวยอย่างมหาศาล...เมื่อเป็นเช่นนั้นไหนเลยยังต้องตรากตรำรักษาผู้คนอีก ผู้ใดป่วยไข้ก็ใช้ยาของตระกูลลิ้ม บุคคลผู้ที่ผู้ควรให้เซียนแพทย์รักษาเยียวยาอย่างน้อยต้องมีฐานะเป็นเจ้าสำนักผู้มีชื่อเสียงแล้ว”

“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว มิใช่ต้องเป็นเจ้าสำนักที่มีชื่อเสียง ท่านพี่จึงยอมรักษาให้ ครั้งก่อนอาจารย์อาของท่านเจ้าอาวาสวัดเสียวลิ้มอาพาธ ท่านพี่ยังยินยอมเดินทางจากบ้านไปรักษาถึงเชิงเขาเสียวซิก”

ปึงเพียวเซาะได้ยินคำพูดแดกดัน ประโคมโหมของดรุณีเจ้าเล่ห์ต่อล้อต่อเถียงกับบัณฑิตไร้ร่องรอยอย่างไม่ยอมลดราวาศอกถึงกับไม่อาจหยุดหัวเราะได้

แต่มันยังต้องหยุดหัวเราะเมื่อเห็นสายตาของทุกคนจ้องเขม็งไปยังบุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินตรงมายังศาลาหลังนี้อย่างไม่รีบร้อน...

นาคามูระ โยชิ ก็มาถึงแล้ว...

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น: