วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 12)




: บทที่ 12.

ปึงเพียวเซาะวิ่งประดุจเหาะเหิน มุ่งหน้ากลับอารามบ้อเมี่ยอย่างรีบเร่ง ในใจครุ่นคิดอย่าให้มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้น

เมื่อกลับมาถึงยังหน้ากุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือ ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงถึงกับชะงักร่างยืนตะลึง

เนื่องเพราะกุฏิหลังนั้นแทบไม่เหลือเค้าเดิมให้จดจำได้!

ผนังสองด้านพังทลายลงมา หลังคาปริแตกหล่นมายังเบื้องล่าง เหล่าหลวงจีนน้อยใหญ่กำลังวุ่นวาย ส่งเสียงตะโกนไต่ถามดังเซ็งแซ่ทั่วบริเวณ

ปึงเพียวเซาะไม่อาจคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ต้องมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน มองไปรอบบริเวณไม่พบบ้อเอี้ยไต้ซือ ท่านโยชิ หรือม่อย้งเพ็กเหล็งสักคนเดียว ในใจยิ่งวิตกกังวล แม้บ้อเอี้ยไต้ซือจะมีวิทยายุทธเยี่ยมยอด แต่ขณะที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านโยชิ ไหนเลยสามารถแบ่งแยกสมาธิมาจัดการกับศัตรูได้

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงรี่เข้าไปไต่ถามเหล่าหลวงจีน ซึ่งยืนวิพากวิจารณ์เหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างร้อนรน แต่กลับไม่ได้ความใด เหล่าหลวงจีนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือเกิดเรื่องใดขึ้น ขณะเกิดเรื่องทุกคนต่างได้ยินแต่ดังโครมคราม แต่ไม่มีใครกล้าออกจากกุฏิของตน เนื่องเพราะบ้อเอี้ยไต้ซือได้สั่งกำชับไว้ ต่างรอจนเสียงอึกทึกเงียบหายจึงเร่งรุดออกมาดู ก็พบกุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือมีสภาพอย่างที่เห็น

เมื่อไม่ได้ข้อมูลจากเหล่าหลวงจีน ปึงเพียวเซาะจึงรีบรุดออกสำรวจหาร่องรอยด้วยตนเองทันที ครั้นวิ่งมาถึงกุฏิด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของริวจิ ก็ต้องพบกับความตื่นตระหนกอีกครั้ง!

เนื่องเพราะร่างของกงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพากำลังล้มฟุบอยู่บนพื้นดินหน้ากุฏิ!

ตรงหน้านั้น! ชายชุดดำผู้หนึ่งกำลังเงื้อดาบจะฟันลงบนคอของริวจิที่กำลังมึนงงอยู่กับพื้น!

ปึงเพียวเซาะเห็นไม่ทันการเสียแล้ว ตนอยู่ห่างอย่างยิ่ง อาวุธซัดติดตัวสักชิ้นเดียวก็ไม่มี ยามนั้นฉุกคิดถึงขลุ่ยไม่ไผ่ที่คาดอยู่ข้างเอว ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองความคิดอย่างรวดเร็ว ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงซัดขลุ่ยในมือออกไปทันที

ขลุ่ยลำนั้นแล่นฉิวแหวกอากาศราวกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง!

พุ่งตรงปานประกายวิชชุทะลุทรวงอกของชายชุดดำออกไป ปักติดแน่นกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง!

ดาบในมือชายชุดดำค้างอยู่กลางอากาศร่างล้มตึงลงในทันที!

ปึงเพียวเซาะรีบเข้าไปพยุงริวจิขึ้นมา “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ที่นี่เกิดเรื่องราวใดขึ้น?”

ริวจิสะบัดศรีษะด้วยความมึนงง “ข้าพเจ้าไม่เป็นไร...ไม่ทราบใครบุกเข้ามา...ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งออกมาดู แล้วถูกคนลอบทำร้ายข้างหลัง...”

ปึงเพียวเซาะเห็นบุรุษหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงตรงไปค้นร่างชายชุดดำผู้นั้น แต่กลับไม่ได้ร่องรอยใดที่ใช้ระบุที่มาของมัน...

ริวจิกล่าวอย่างร้อนรน “พวกมันเป็นใคร ท่านโยชิเป็นอย่างไรบ้าง”

ปึงเพียวเซาะกล่าวด้วยความสำนึกเสียใจ “ข้าพเจ้าไม่ทราบ...”

ริวจิตื่นตระหนกยิ่ง “ท่านหมายความว่ายังไง!”

ปึงเพียวเซาะกล่าวกระอักกระอ่วน “กุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือถูกทำลาย...ไต้ซือ ท่านโยชิ น้องเพ็กเหล็งไม่ทราบหายตัวไปที่ใด”

“ท่านไฉนไม่ทราบ! ท่านเป็นคนเฝ้ากุฏิของท่านไต้ซือไม่ใช่หรือ”

“...เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงผิดปกติในป่าจึงวิ่งออกไปดู”

ริวจินิ่งเงียบชั่วครู่จึงกล่าว “ใช่เสียงผิวใบไม้เมื่อครู่หรือไม่”

“ใช่”

ริวจิขมวดคิ้วเคร่งเครียด “ท่านออกไปพบเซี่ยงกัวเม้งจู!”

ปึงเพียวเซาะมองบุรุษหนุ่มอย่างสงสัย “ท่านทราบ...”

ริวจิกระชากเสียงตอบ “ทำไมข้าพเจ้าจะไม่ทราบ พวกนางสองพี่น้องไปอยู่ที่เกาะพู้ซึ้งตั้งหลายปี!”

ปึงเพียวเซาะจึงได้คิด “จริงสิ...ข้าพเจ้าลืมไป”

ริวจิรี่เข้ามากระชากอกเสื้อปึงเพียวเซาะ “หมายความว่าท่านออกไปพบนาง ไม่ได้อยู่คุ้มครองไต้ซือ!”

ปึงเพียวเซาะนิ่งอึ้ง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดพลาดของตนจริงๆ

“ท่าน!” ริวจิระดมชกปึงเพียวเซาะไม่ยั้งมือ ปึงเพียวเซาะไม่ได้หลบเลี่ยง คงยืนนิ่งปล่อยให้บุรุษหนุ่มระบายโทสะอย่างเต็มที่ “ไฉนท่านกลับเห็นการออกไปพบนางสำคัญกว่าการคุ้มครองบ้อเอี้ยไต้ซือ!”

ริวจิรัวหมัดใส่หน้าปึงเพียวเซาะจนเหนื่อยหอบ ดวงตาแดงกล้ำถลึงมองประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงด้วยความโกรธ “ถ้าท่านโยชิเป็นอันตรายท่านจะต้องชดใช้!” พลันสำนึกเสียใจขึ้นมา ตนไม่ควรไว้ใจคนที่พึ่งรู้จักกันเพียงหนึ่งวันให้เฝ้าคุ้มครองท่านโยชิเลย

หากท่านโยชิเป็นอันตราย มันจะไม่มีวันให้อภัยตนเองตลอดชีวิต!

กงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาพยายามระงับความโกรธ คำสั่งสอนของท่านโยชิผุดขึ้นในหัวสมอง ในเวลาคับขันที่สุดผู้เป็นหัวหน้าจะต้องคงความเยือกเย็นให้ถึงที่สุด กรณีนี้ยิ่งต้องขบคิดอย่างรอบคอบ หากพลาดพลั้งเพียงนิด อาจส่งผลถึงความปลอดภัยของท่านโยชิ ริวจิจ้องหน้าปึงเพียวเซาะอย่างแค้นเคือง ใบหน้าของประมุขตึกตระกูลปึงบอบช้ำไปด้วยรอยหมัด ริมฝีปากมีเลือดไหลรินไม่หยุด

แต่โทสะของริวจิมิได้ลดลงแม้แต่น้อย “เฮอะ...ท่านคิดชดใช้ความผิดด้วยวิธีนี้?”

ปึงเพียวเซาะจ้องบุรุษหนุ่มแน่วนิ่ง “มิใช่”

“อย่างนั้นไฉนท่านไม่ตอบโต้!”

“หากข้าพเจ้าตอบโต้ท่านไหนเลยจะชกข้าพเจ้าได้”

ริวจิถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่ว่าอย่างไรมันยังรู้จักประมาณตน มันทราบดีฝีมือของตนไม่มีทางเทียบกับบุรุษผู้นี้ได้ หากไม่เป็นเพราะปึงเพียวเซาะยินยอมให้ชกต่อย ไหนเลยจะสร้างความบอบช้ำให้มันได้ขนาดนี้ แต่การกระทำเพียงแค่นี้จะชดใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างเชื่อมั่น “ข้าพเจ้าจะต้องติดตามท่านโยชิกลับมาอย่างปลอดภัย”

“ไม่จำเป็น! เรื่องนี้หมู่ตึกบูรพาจะจัดการด้วยวิธีของเราเอง!”

“แต่เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าพเจ้า...”

“ใช่!เรื่องนี้เป็นความผิดของท่าน! ข้าพเจ้าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ดังนั้นท่านไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของเรา!...หากท่านโยชิเป็นอันตรายท่านและหมู่ตึกตระกูลปึงจะต้องชดใช้!”

ริวจิจ้องปึงเพียวเซาะเขม็ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แต่บุรุษหนุ่มเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็หันหลังเดินตรงกลับมาหาปึงเพียวเซาะอีกครั้ง ราวฉุกคิดเรื่องบางประการได้

ปึงเพียวเซาะกล่าว “ท่านยังสงสัยเรื่องใด?”

ริวจิไม่ตอบคำสีหน้ายิ่งขมึงทึง เดินรี่ตรงเข้าไปหาปึงเพียวเซาะอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้ราวหนึ่งช่วงตัว ริวจิก็ชักดาบยาวข้างเอวฟันใส่ปึงเพียวเซาะอย่างรวดเร็ว!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงพลิ้วกายกระโดดถอยหลัง โพล่งอย่างแตกตื่น “ท่านจะทำอะไร!”

ริวจิไม่ฟังเสียง ฟาดดาบรุกไล่ต่อเนื่อง คำรามก้อง “ท่านเอาตัวท่านโยชิไปไว้ที่ไหน!”

“ท่านว่าอะไร!”

“ไม่ต้องทำไขสือ ท่านย่อมต้องรู้จักคุณหนูรองเซี่ยวกัวเม้งจูตั้งแต่การประลองคราวก่อน ในครั้งนั้นท่านได้ประลองกับคุณหนูใหญ่ด้วย แต่จากอายุของท่านในขณะนั้น ต้องไม่หมายปองคุณหนูใหญ่ซึ่งอายุมากกว่าหลายปีแน่นอน...ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยข้อนี้มาตั้งแต่ได้ทราบจากแม่นางเพ็กเหล็ง”

ริวจิเปลี่ยนมาจับดาบสองมือชี้ปลายตรงไปที่ปึงเพียวเซาะ “แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ครั้งก่อนที่ท่านประลองกับคุณหนูใหญ่ เพียงเพื่อทดสอบกระบี่เงาจันทร์ของตระกูลเซี่ยงกัว! ท่านคงหวังจะหาวิธีแก้ลำเพื่อประลองกับคุณหนูรอง...เฮอะ...ปึงเพียวเซาะที่แท้ท่านหลงรักคุณหนูรองใช่หรือไม่!”

ปึงเพียวเซาะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ด้วยคิดไม่ถึง เรื่องที่ตนเก็บซ่อนไว้ในจิตใจ จะถูกเด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันเพียงวันเดียวอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “ใช่หรือไม่ เกี่ยวข้องอะไรกับการหายตัวของท่านโยชิ”

“ย่อมต้องเกี่ยว...เนื่องเพราะท่านกับนางร่วมมือกันจับตัวท่านโยชิไป!”

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างแตกตื่น “ท่านว่าอะไร!”

“ข้าพเจ้าครุ่นคิดอยู่นาน ใครกันที่ชำนาญทางน้ำ รู้เวลาเปลี่ยนเวรยามของหมู่ตึกเรา ทั้งมีกำลังคนเข้มแข็งจำนวนมากอยู่ในมือ ครั้งแรกข้าพเจ้าไม่ได้เฉลียวใจคิดถึงตระกูลเซี่ยงกัว เนื่องเพราะพวกเขาถอนตัวจากตงง้วนไปถึงสิบปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าพึ่งนึกออกว่าตอนนี้ถึงกำหนดนัดหมายประลองยุทธที่หมู่ตึกพันอักษร ดังนั้นตระกูลเซี่ยงกัวย่อมต้องนำกำลังกลับสู่ตงง้วนแน่! และเป้าหมายของตระกูลเซี่ยงกัวย่อมเป็นคัมภีร์พันอักษร! หากกำจัดท่านโยชิไป ตระกูลเซี่ยงกัวย่อมชิงคัมภีร์ได้อย่างไม่ยากเย็น!”

ทั้งสองพูดจากันตอบโต้กัน แต่ดาบในมือริวจิมิได้เชื่องช้าลง ยิ่งพูดจายิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ!

ปึงเพียวเซาะได้แต่เบี่ยงตัวหลบ ดาบแล้วดาบเล่าดูเหมือนเฉียดตัวบุรุษหนุ่มไปเพียงเส้นยาแดง แต่นั่นหมายความว่า ดาบไวของริวจิยังไม่มีโอกาสสัมผัสถูกกระทั่งชายเสื้อของประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง!

“ท่านสงสัยตระกูลเซี่ยงกัวแล้วเกี่ยวข้องอันใดกับข้าพเจ้า!”

“พอท่านโยชิถูกทำร้าย ท่านเป็นคนแนะนำให้มารักษาตัวที่นี่”

“ท่านก็เห็นบ้อเอี้ยไต้ซือสามารถรักษาท่านโยชิได้จริงๆ”

ริวจิไม่ยอมฟังเหตุผลใดทั้งสิ้น “บ้อเอี้ยไต้ซือกับแม่นางเพ็กเหล็งคงถูกท่านหลอกใช้เช่นกัน...เสียงผิวใบไม้เมื่อครู่เป็นสัญญาณให้เริ่มลงมือใช่หรือไม่”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อครู่ข้าพเจ้าจะกลับมาช่วยท่านทำไม”

ริวจิหัวเราะเย้ยหยัน “ละครฉากเมื่อครู่ท่านสร้างขึ้นได้สมจริงมาก ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเชื่อใจ มิคิดระแวงท่าน จากนั้นท่านก็จะยืนยันว่าคุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะท่านอยู่กับนางตลอดเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น...ใช่แล้ว!...เสียงผิวใบไม้นั่นเป็นเอกลักษณ์ของนาง ที่นางผิวเป็นการจงใจให้ข้าพเจ้ารู้ว่านางอยู่ที่นี่ เป็นการยืนยันที่อยู่ของนางอีกทางหนึ่ง พวกท่านวางแผนได้รัดกุมยิ่งจริงๆ!”

ปึงเพียวเซาะทอดถอนใจ ร่างกายยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งประสานสอดคล้องกับวิถีดาบของริวจิขึ้นทุกที

“ท่านไตร่ตรองเรื่องราวได้ละเอียดรอบคอบจริงๆ...แต่ท่านยังผิดอยู่เรื่องหนึ่ง”

ริวจิจับดาบมั่นหมายฟันใส่ช่วงไหล่ของปึงเพียวเซาะสุดกำลัง “ข้าพเจ้าผิดอะไร!”

ปึงเพียวเซาะเบี่ยงตัวเพียงเล็กน้อย ฟาดสันมือใส่ข้อมือทั้งสองข้างของริวจิอย่างฉับไว “ข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”

ดาบยาวที่ยึดกุมมั่นทั้งสองมือร่วงหล่นลงพื้นในทันที!

ริวจิไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ข้อมือทั้งสองข้างล้วนปราศจากความรู้สึก คล้ายตั้งแต่ข้อมือลงไปได้หลุดหายไปจากร่าง ดวงตาทอประกายแค้นเคือง มองปึงเพียวเซาะด้วยความเจ็บใจ

“ข้าพเจ้าสู้ท่านไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าหมู่ตึกบูรพาจะแพ้ท่าน! ปึงเพียวเซาะท่านระวังตัวไว้ คนของหมู่ตึกบูรพาต้องตามล่าให้ส่งมอบตัวท่านโยชิออกมาให้ได้...หากท่านโยชิเป็นอันตรายแม้เพียงปลายเล็บ ท่านและคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคนจะต้องชดใช้หนี้เลือดให้กับท่านโยชิ!”

ริวจิพยายามจะหยิบดาบที่หล่นอยู่กับพื้นขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดมันกลับไม่สามารถ แม้แต่จะกุมดาบได้ยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มทวีความแค้นเคืองมากขึ้น

ปึงเพียวเซาะเดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่ม ก้มลงหยิบดาบยาวขึ้นมา หันด้านปลายสอดเข้ายังฝักดาบของริวจิอย่างรวดเร็ว

ริวจิยิ่งโกรธเกรี้ยว มันคิดกล่าว ‘ปึงเพียวเซาะบัญชีทั้งหมดในวันนี้ ข้าพเจ้าจะให้ท่านชดใช้อย่างสาสม!’

แต่ประโยคนี้กลับมิได้กล่าวออกไป มันรู้สึกยิ่งตนเองแสดงความโกรธเกรี้ยวเท่าไหร่ ยิ่งเท่ากับเผยจุดอ่อนของตน ให้ผู้อื่นฉวยมาใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย “ท่านคงไม่โง่ฆ่าข้าพเจ้าทิ้ง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถยืนยันที่อยู่ของท่านกับเซี่ยงกัวเม้งจูตอนที่เกิดเรื่องได้”

กล่าวจบมันก็หันหลังเดินจากไป...

คราวนี้มันจากไปจริงๆ โยชิโอกะ ริวจิ ออกจากอารามบ้อเมี่ยมุ่งสู่ท่าเรือพร้อมกับเพลิงโทสะ!
ปึงเพียวเซาะได้แต่ทอดถอนใจ ‘กงจื้อผู้นี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งจริงๆ น่าเสียดายคนยิ่งเฉลียวฉลาดมักยิ่งคิดมากเกินความเป็นจริง กลับเชื่อความคิดของตนมากกว่าสิ่งที่ตนเห็น ยิ่งไม่คิดฟังคำอธิบายของผู้ใดทั้งสิ้น’

ปึงเพียวเซาะปล่อยให้ริวจิกลับไปเพียงคนเดียว มันไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของริวจิ เพราะมันก็คิดเช่นเดียวกับบุรุษหนุ่ม ตอนนี้มีเพียงริวจิที่สามารถกล่าวโทษตนได้ ซ้ำยังแค้นเคืองตนอย่างยิ่ง ผู้คนที่คิดแผนการนี้ย่อมต้องถือริวจิเป็นของล้ำค่า จะต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้กับมันด้วยซ้ำ!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงคิดด่าว่าตนเองอีกแล้ว ‘ตอนนี้นับว่าเจ้าแส่หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวจริงๆแล้ว เจ้าดิ้นรนออกมาภายนอกทำไม’ ตอนนี้มันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง เกือบรุ่งสางแล้วมันยังไม่ได้หลับพักผ่อนแม้เพียงครู่ เวลานี้รุ่มร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ บริเวณรอบอารามไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือให้ติดตามแล้ว ยามนี้สิ่งที่มันควรทำที่สุดคือนอนพักสักครู่ เมื่อตื่นขึ้นสมองแจ่มใสย่อมสามารถขบคิดปัญหาต่างๆได้ดีกว่า

เหลียวไปด้านหลังพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สามารถอาศัยเอนหลังพักผ่อนได้ เพียงพิงร่างกับต้นไม้ใหญ่ชั่วครู่ปึงเพียวเซาะก็หลับไหลที่ตรงนั้นเอง

ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่...

โสตประสาทแว่วเสียงนกร้องดังขึ้นรอบทิศทาง ปึงเพียวเซาะค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น แสงอาทิตย์เจิดจ้ายามเช้าพุ่งเข้าทิ่มแทงตา ที่แท้เมื่อคืนมันนอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

แต่ยังมิทันที่บุรุษหนุ่มจะลืมตาดี ประกายกระบี่แหลมคมบาดตาห้าสายก็วูบขึ้นตรงหน้า!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงตะลึงงัน ไม่ทราบควรหลบเลี่ยงกระบี่ทั้งห้าสายอย่างไร เนื่องเพราะประกายทั้งห้าพุ่งมาทั้งทางซ้ายขวา ตรงกลางอก เหนือศรีษะ มีกระทั่งสายหนึ่งพุ่งเลียดมาตามพื้นดิน วาดกระบี่ย้อนจากเบื้องล่างขึ้นสู่ด้านบนนับเป็นกระบี่ที่สุดพิสดารอย่างยิ่ง!

หากตนคิดหลบกระบี่ทั้งสี่ด้วยการไถลไปตามพื้นดิน ยังต้องถูกกระบี่สายที่ห้าผ่าร่างเป็นสองเสี่ยงแน่นอน! ดูเหมือนไม่ว่าจะหลบไปทางใดล้วนต้องถูกกระบี่สายหนึ่งทิ่มแทง ในกายตนยามนี้ก็ไม่มีสิ่งใดพอจะใช้เป็นอาวุธได้สักชิ้นเดียว นี่จะทำประการใดดี?

ชั่วพริบตานั้นปึงเพียวเซาะแนบแผ่นหลังชิดติดกับลำต้นไม้ เบี่ยงกายวกอ้อมไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ โดยที่แผ่นหลังแนบติดดุจเป็นเนื้อเดียวกับผิวเปลือกไม้

กระบี่ซึ่งพุ่งจู่โจมทางด้านขวาเฉียดชายแขนเสื้อมันเพียงเชียะเศษ!

เนื่องเพราะกระบี่ทั้งห้าสาย ทุ่มเทท่าทางจู่โจมอย่างหักโหม แม้ทราบว่าพลาดเป้ายังต้องปล่อยตามสภาวะ กระบี่เมื่อใช้กระบวนท่าจู่โจมจนสิ้นมิอาจพลิกแพลงกลางคันได้

ปึงเพียวเซาะย่อมดูสภาวะเช่นนี้ออกเช่นกัน เมื่อกระบี่ทั้งห้าพึ่งเฉียดร่างตนไป จึงรีบพลิกกายดีดร่างห่างออกมาหลายวา แต่ขณะพลิ้วกายจากวงล้อม ยังซัดฝ่ามือออกไปยังมือกระบี่ซึ่งอยู่ด้านซ้ายและเหนือศรีษะตน

ฝ่ามือนี้ซัดออกไปเต็มแรงหากโดนเป้าหมาย คงมิแคล้วต้องจบชีวิตลงทันที!

มือกระบี่ทั้งห้าก็ทราบจุดอ่อนในการจู่โจมของพวกตน แม้กระบี่ยังจำต้องปล่อยตามสภวะ แต่มือทั้งห้าข้างกลับฟาดออกโดยพร้อมเพรียง!

ฝ่ามือทั้งสองข้างของปึงเพียวเซาะกลับต้องรับการจู่โจมจากห้าฝ่ามือพร้อมกัน!

ร่างประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงโดนแรงกระแทก ลอยละลิ้วดุจว่าวสายป่านขาด ปึงเพียวเซาะหมุนร่างตีลังกากลางอากาศหลายรอบ เพื่อลดทอนแรงกระแทกที่ได้รับ จนสามารถพลิ้วกายลงยืนได้อย่างมั่นคง มันทั้งตื่นตระหนกทั้งประหลาดใจ ไม่ทราบว่ากระบวนเพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นของค่ายสำนักใด เหตุใดมันไม่คุ้นตามาก่อนเลย

เจ้าของกระบี่ที่ร้ายกาจทั้งห้าเล่มเป็นบุรุษท่าร่างปราดเปรียว แต่งชุดดำ โพกหน้าด้วยผ้าสีดำ แววตาทั้งห้าคู่ทอประกายดุดัน ทั้งชุดทั้งกระบี่ที่ใช้ ไม่มีสัญลักษณ์ใดที่ให้บ่งบอกแหล่งที่มาของพวกมัน

มือกระบี่ทั้งห้าเมื่อทราบว่าพลังฝ่ามือของพวกตนไม่ได้ผล ก็รีบปรับเปลี่ยนกระบวนท่าจู่โจมกระบี่ต่อเนื่อง ทั้งห้ากระจายเป็นวงกลมโอบล้อม สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันมิได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ประกายจุดแต้มนับไม่ถ้วนอันเกิดจากปลายกระบี่สั่นพลิ้วระยิบระยับ ครอบคลุมจุดสำคัญทั่วร่างปึงเพียวเซาะ!

ฉับพลันประกายเหล่านั้นก็พุ่งวาบจู่โจมเข้าใส่ปึงเพียวเซาะดุจดาวตก!

การประสานกระบี่ของคนทั้งห้าร้ายกาจอย่างยิ่ง เพลงกระบี่มีแต่กระบวนท่ารุกอย่างดุดัน ทุกกระบี่ทุ่มเทใช้จนสุดกำลัง ไม่เหลือทางถอยให้กับตนเอง ทั้งยังปรับเปลี่ยนตำแหน่งสลับกันเข้าจู่โจมอย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ลำพังฝีมือของแต่ละคนก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ทั้งห้าสามารถนับเป็นมือกระบี่แนวหน้าของยุทธภพได้อย่างแน่นอน

ฉายากงจื้ออัจฉริยะของปึงเพียวเซาะย่อมมิได้มาอย่างโชคช่วย เพียงครู่เดียวมันก็มองออก ที่แท้ในช่วงเวลาพริบตาที่พุ่งจู่โจม จะมีเพียงสี่กระบี่ที่พุ่งใส่เป้าหมาย ที่เหลืออีกหนึ่งเป็นคนคอยคุ้มกันหากศัตรูสามารถตีโต้ได้ สลับสับเปลี่ยนกันเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้เองมือกระบี่ที่ทำหน้าที่จู่โจมทั้งสี่จึงสามารถรุกอย่างเต็มที่ มิต้องคอยพะวงป้องกันตัว

เพียงครุ่นคิดที่มาที่ไปของคนทั้งห้า ปึงเพียวเซาะจึงเสียสมาธิไปชั่วครู่ เปิดโอกาสให้กระบี่สายหนึ่งเรียกเลือดจากมันได้!

มือกระบี่อีกสี่คนเห็นดังนั้น ยิ่งเพิ่มความฮึกเหิมลำพอง ไม่รีรอให้เสียโอกาสพุ่งทั้งร่างทั้งกระบี่ผ่าอากาศใส่ปึงเพียวเซาะโดยพร้อมเพรียง!

ปึงเพียวเซาะจนใจได้แต่ใช้วิธีการสุดท้าย ‘เมื่อไม่อาจเอาชัยก็ถอยหนีดีกว่า’ คิดดังนั้นปึงเพียวเซาะจึงรีบพลิ้วกายกลับหลังกระโดดหนี เข้าไปในป่าหลังอารามทันที

บุรุษชุดดำทั้งห้ายังไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ ปึงเพียวเซาะทุ่มเทใช้วิชาตัวเบา หลบหนีเข้าไปในแนวป่าสนทึบติดเทือกเขาอีกลูก แม้มันจะเร่งวิ่งอย่างรวดเร็ว แต่โสตประสาททุกส่วนยังจับความเคลื่อนไหวของบุรุษชุดดำทั้งห้า มิปล่อยให้คลาดจากกัน

แต่เมื่อวิ่งไปได้อีกระยะมันก็ต้องขมวดคิ้ว หยุดร่างลงเหลียวหน้ากลับไปด้านหลัง...บุรุษชุดดำทั้งห้าหายไปแล้ว...พวกมันอันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอย มิแตกต่างกับตอนที่พวกมันปรากฏตัว!

ที่ซึ่งคนชุดดำทั้งห้าสลายตัวไปเป็นชายป่าโปร่ง เกือบติดเทือกเขาอีกลูก ได้ยินเสียงน้ำจากลำธารไหลเรื่อยอยู่เบื้องหน้า ปึงเพียวเซาะตัดสินใจเดินต่อไปจนถึงลำธารแห่งนั้น มันก้มลงล้างหน้าป้วนปาก มองดูปลาตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในลำธารที่ใสดุจกระจก ท้องร้องดังโครกคราก ใช้แรงตั้งแต่เช้าเยี่ยงนี้รู้สึกหิวโหยยิ่งจริงๆ บุรุษหนุ่มคิดจับปลามากินสักหลายตัว แต่ความคิดของมันก็ต้องชะงักลงอีก เพราะมันรู้สึกถึงประกายตาคมกล้าสี่สายซึ่งพุ่งมาที่ตน!

เมื่อหันกลับไปมองจึงพบว่ามีบุรุษวัยกลางคนสี่คน สีหน้าเคร่งเครียด แต่งกายด้วยชุดเช่นเดียวริวจิและท่านโยชิ ที่เอวคาดดาบยาวคนละเล่มยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของลำธาร

บรุษหนุ่มฉุกคิดขึ้น ‘ที่มือกระบี่ทั้งห้าจากไปเพราะมีคนจัดการแทนพวกมันนี่เอง’

หนึ่งในบุรุษทั้งสี่กล่าวว่า “พวกเราคือรองหัวหน้าตึกทั้งสี่ของหมู่ตึกบูรพา ท่านต้องการให้เรารอท่านทานอาหารเสร็จก่อนหรือไม่”

ปึงเพียวเซาะฝืนยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจปานนั้น” เวลาเช่นนี้ใครจะไปกินอะไรได้

บุรุษอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ท่านไม่มีอาวุธ?”

ปึงเพียวเซาะแบมือทั้งสองข้างออก “ดูเหมือนข้าพเจ้าจะไม่มี”

บุรุษคนที่สามกล่าวว่า “ขอให้ท่านเข้าใจ พวกเราปกติมิเคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่คราวนี้เกี่ยวกับความปลอดภัยของท่านโยชิ จึงมิอาจยึดถือกฏเกณฑ์ใดๆได้ ต้องขออภัยท่านจริงๆ”

พวกมันเกรงอกเกรงใจปานนี้ ปึงเพียวเซาะได้แต่ฝืนยิ้มอย่างยากยิ่ง “ข้าพเจ้าเข้าใจ”

บุรุษอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอดกล่าวว่า “แต่ขอเพียงท่านยอมส่งท่านโยชิคืนให้พวกเรา พวกเรารับรองจะไม่ถือสาหาความใดกับท่านอีก ข้อเสนอนี้ท่านว่าดีหรือไม่”

ปึงเพียวเซาะผงกศรีษะ “ย่อมดีแน่นอน”

หนึ่งในบุรุษทั้งสี่กล่าวอย่างยินดี “ท่านตกลง?”

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างจริงจัง “หากข้าพเจ้าทราบว่าท่านโยชิอยู่ที่ไหน ต้องรีบนำส่งพวกท่านแน่”

“ท่านไม่ทราบ?”

“ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

บุรุษทั้งสี่มองหน้ากันวูบ ต่างพยักหน้าพร้อมทั้งชักดาบยาว วิ่งข้ามลำธารตรงเข้าหาปึงเพียวเซาะโดยพร้อมเพรียง!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงมิได้คิดหลบหนีอีก คนทั้งสี่เพียงต้องการจับตัวตนเท่านั้น การจับตัวย่อมไม่อาจลงมืออำมหิตจนเกินไปดังนั้นตนจึงได้เปรียบอยู่มาก

เพียงไม่กี่ก้าวหลังจากที่คนทั้งสี่วิ่งข้ามลำน้ำ ด้านหลังของพวกมันพลันบังเกิดเงากระบี่วูบขึ้นอีกห้าสาย!

คนทั้งสี่มิได้เฉลียวใจแม้แต่น้อย ปึงเพียวเซาะคิดจะร้องเตือน พร้อมทั้งรีบสะอึกตัวเข้าไปช่วย แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว!

กระบี่ห้าสายวูบขึ้นเพียงครั้งเดียวราวสายวิชชุ พริบตาเดียวโลหิตห้าสายก็พุ่งออกจากลำคอของรองหัวหน้าตึกทั้งสี่!

เพียงคนละหนึ่งกระบี่ก็สามารถฆ่าสี่รองหัวหน้าตึกพร้อมกันอย่างเลือดเย็น!

เจ้าของกระบี่ทั้งห้าสายก็คือบุรษชุดดำที่จู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นเอง!

รองตัวหน้าตึกมีเพียงสี่ บุรษชุดดำมีถึงห้าคน มันใช้หนึ่งคนสังหารหนึ่งชีวิต

ยังเหลือกระบี่อีกหนึ่งเล่ม!

กระบี่เล่มนั้นถูกขว้างตรงมายังปึงเพียวเซาะอย่างเร่งร้อน!

ปึงเพียวเซาะตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โทสะพลันประดังขึ้นเลือดในกายเดือดพล่าน!

สิบปีแล้วที่ปึงเพียวเซาะไม่เคยบันดาลโทสะรุนแรงเช่นนี้!

รองหัวหน้าตึกทั้งสี่ที่คิดจับกุมตน นับเป็นเพียงความเข้าใจผิด คนทั้งสี่ต่างพุ่งสมาธิมาที่ตนจึงไม่ทันระวังตัว นี่เท่ากับตนให้ร้ายคนทั้งสี่ทางอ้อมแท้ๆ

แววตาของปึงเพียวเซาะพลันแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!

นี่เป็นประกายตาของบุรุษหนุ่มในวันที่มันบุกขึ้นสำนักบู๊ตึ้ง เพื่อท้าประลองกับค่ายกระบี่เจ็ดดาวอย่างอาจหาญเมื่อสิบปีก่อน!

กงจื้ออัจฉริยะแห่งตระกูลปึงตื่นจากการหลับไหลตลอดสิบปีแล้ว!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงพุ่งร่างเข้าใส่กระบี่ที่ขว้างมายังตน สองนิ้วคีบจับลำกระบี่แล้วเหวี่ยงไปด้านข้างอย่างไม่แยแส ท่าร่างไม่เพียงไม่ชะงังลงกลับคล้ายรวดเร็วขึ้นอีก!

เป็นความเร็วที่น่าตื่นตระหนก! ระดับความเร็วของมันแตกต่างกับที่แล้วๆมาอย่างสิ้นเชิง บุรุษชุดดำทั้งห้าเคยเห็นปึงเพียวเซาะยามวิ่งหลบหนี จึงคาดคิดว่านั้นเป็นระดับความเร็วสูงสุดของมัน

แต่พวกมันกลับคาดการณ์ผิดอย่างสิ้นเชิง!

พริบตาเดียวก่อนที่ทั้งห้าจะทันตั้งตัว ปึงเพียวเซาะก็บรรลุถึงร่างของหนึ่งในพวกมันแล้ว!

บุรุษชุดดำที่เป็นเป้าหมายของปึงเพียวเซาะคือผู้ที่ขว้างกระบี่ เนื่องเพราะในเวลานี้มือของมันไม่มีอาวุธ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเป้าหมายแรก!

บุรุษชุดดำผู้นั้นไม่คาดว่าฝ่ายตรงข้ามจะจู่โจมรวดเร็วปานนี้ มันจึงถูกฝ่ามือของปึงเพียวเซาะกระแทกเต็มแรง เสียงซี่โครงหักสะบั้นดังเกรียวกราว!

อารามตกใจปนเจ็บปวด มันรีบทิ้งตัวลงกับพื้นทันที แต่มันมิต้องทนเจ็บปวดนานนัก เพียงครู่บุรุษชุดดำผู้นั้นก็ขาดใจตาย!

กระบี่อีกสี่สายต่างฟันลงที่ข้อมือของปึงเพียวเซาะในจังหวะเวลาเดียวกัน ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงไม่รั้งฝ่ามือกลับ เพียงวกข้อมือเป็นวงกลม เล็งเป้าหมายที่ข้อมือของมือกระบี่ทั้งสี่ แล้วกรีดสันฝ่ามือออกอย่างรวดเร็ว!

ละอองโลหิตกระเซ็นแดงฉานลงบนผิวน้ำ!

นั่นมิใช่เลือดของประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง!

โลหิตที่สาดกระเซ็นกลับหลั่งไหลออกมาจากง่ามนิ้วของบุรุษชุดดำทั้งสี่!

พลังฝ่ามือของปึงเพียวเซาะยามใช้ออกกลับคมกริบยิ่งกว่ากระบี่!

บุรุษชุดดำทั้งสี่หน้าถอดสี ไม่คิดว่าจะมีวิชาพิสดารเช่นนี้อยู่ในโลก ทั้งหมดฉุกใจคิดขึ้นพร้อมกัน

นี่คือวิชา ‘ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่’ ของตระกูลปึง!

ลมปราณจากฝ่ามือคมกริบมีอานุภาพประดุจกระบี่วิเศษ!

พวกมันรีบกระโดดถอยห่าง พุ่งร่างหลบหนีเข้าไปยังป่าไผ่อย่างรวดเร็ว ปึงเพียวเซาะคิดพุ่งร่างติดตามไป แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นเบื้องหลังตน

“ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว ‘ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่’ ช่างยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ เพียงกระทวนท่าเดียวก็คุกคามพวกมันจนล่าถอย แต่พวกมันก็นับว่ามีฝีมือไม่เลวจริงๆ ถึงกับปลุกผู้ที่หลับไปเป็นเวลานานอย่างท่านได้”

เจ้าของเสียงนี้คือบุรุษไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้!

ปึงเพียวเซาะไม่ได้ประหลาดใจกับการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของมัน บุรุษผู้นี้ได้รับฉายาว่าไร้ร่องรอยจะมาจะไปล้วนอยู่นอกเหนือการคาดดำนวนของผู้คน “ท่านทราบว่าพวกมันเป็นใคร”

“ไม่ทราบ”

ปึงเพียวเซาะไม่ไต่ถามต่อ บัณฑิตไร้ร่องรอยทรนงตนนัก น้อยครั้งที่มันจะบอกว่าไม่ทราบ เรื่องที่มันยังไม่ทราบในยุทธภพยังจะหาใครรู้อีก คาดว่าบัญชีของรองหัวหน้าตึกทั้งสี่คนนี้คงต้องใส่ที่ตนอีกแน่นอน

บัณฑิตไร้ร่องรอยเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน “ท่านกำลังคิดว่าบัญชีรายนี้ต้องสุมลงที่ตัวท่านใช่หรือไม่”

“ท่านทราบเรื่องท่านโยชิแล้ว?”

“ความขัดแย้งครั้งนี้มิใช่เรื่องเล็ก ข้าพเจ้าจะพลาดได้อย่างไร”

“หน่วยข่าวของท่านยังฉับไวอย่างยิ่งจริงๆ”

“นั่นย่อมแน่นอน เหตุการณ์หลังจากที่แยกกับท่านเมื่อเช้า ข้าพเจ้าทราบโดยตลอดแล้ว”

ปึงเพียวเซาะมองเอี้ยป้อฮู้อย่างเย็นชา “ท่านมาอยู่ที่นี่นานแล้ว?”

“นานพอที่จะเห็นเรื่องทั้งหมด”

“ท่านเห็นตอนที่มือกระบี่ทั้งห้าอ้อมไปฆ่าคน?”

“ข้าพเจ้าเห็นโดยตลอด”

“ท่านไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ?”

“คนเหล่านั้นดูเหมือนมิใช่ญาติพี่น้องของข้าพเจ้า ยิ่งมิใช่มิตรสหายของข้าพเจ้า”

ปึงเพียวเซาะแค่นหัวเราะ “ความขัดแย้งระหว่างข้าพเจ้ากับหมู่ตึกบูรพา คงช่วยให้ท่านเขียนหนังสือได้อีกหลายเล่ม”

เอี้ยป้อฮู้ยอมรับราวไร้เรื่องราวใด “ย่อมใช่...ข้าพเจ้าคิดชื่อเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว...เมื่อสืบทราบว่าใครเป็นผู้ใส่ร้ายท่าน ข้าพเจ้าจะรีบรวมเล่มทันที”

“ใส่ร้าย?...ท่านหมายความว่าจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้า?”

“ถูกต้อง”

ปึงเพียวเซาะแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “เหตุใดท่านต้องช่วยเหลือข้าพเจ้าถึงเพียงนั้น”

เอี้ยป้อฮู้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เพราะข้าพเจ้าเขียนหนังสืออีกเล่มทิ้งไว้ ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะเขียนจบเมื่อไร”

“เรื่องใด?” ปึงเพียวเซาะถามทั้งที่ทราบดีว่าเป็นเรื่องใด

“กรณีเหตุฆาตกรรมที่หมู่ตึกพันอักษร!”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงหน้าตาเคร่งเครียด “ท่านต้องการแลกเปลี่ยนเรื่องนี้ กับการให้ข้าพเจ้าเล่าว่าเหตุใดท่านผู้เฒ่าทั้งสี่และข้าพเจ้าจึงยืนยันว่าพี่แป๊ะเฮาะเป็นผู้บริสุทธิ์?”

“ท่านกับสามผู้เฒ่าต่างหากที่คิดเช่นนั้น ประมุขตระกูลเซี่ยงกัวไม่ได้คิดเช่นนั้นแน่ๆ”

“อาจจะ...”

“ท่านไม่รับข้อเสนอของข้าพเจ้า?”

“ย่อมไม่”

“ข้าพเจ้าคิดแต่แรกแล้วว่าท่านต้องไม่ตกลง โดนป้ายหน้าดำย่อมดีกว่าทรยศมิตรสหาย เรื่องเช่นนี้ต่อให้ฆ่าให้ตายท่านก็ไม่ยอมกระทำแน่”

ปึงเพียวเซาะขมวดคิ้วสงสัย “ท่านก็ทราบ แต่กลับยังยื่นข้อเสนอเช่นนั้นให้ข้าพเจ้า?”

เอี้ยป้อฮู้ยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินไปหยิบกระบี่เล่มที่บุรุษชุดดำขว้างใส่ปึงเพียวเซาะ “ท่านจำได้ไหมนี่เป็นกระบี่ของผู้ใด”

ที่ลำกระบี่เล่มนั้นสลักคำ ‘ลิ้ม’

“น้องปวยฮวย! น้องเอ็งฮวย!”

“ถูกต้องนี่เป็นกระบี่ของสองเซียนตระกูลลิ้ม หากใกล้ศพของรองหัวหน้าตึกทั้งห้ามีกระบี่ของสองเซียนตระกูลลิ้มตกอยู่ ไม่ทราบหมู่ตึกบูรพาจะว่าอย่างไร...พวกมันย่อมทราบท่านและพี่น้องตระกูลลิ้มสนิทสนมกันอย่างยิ่ง”

“นี่!”

“ดูเหมือนคราวนี้ที่พวกมันต้องการป้ายความผิด ไม่ใช่เพียงท่าน พวกมันยังต้องการให้ตระกูลลิ้มผิดใจกับหมู่ตึกบูรพาอีกด้วย”

ปึงเพียวเซาะยิ่งมึนงงสับสน ‘กระบี่ของพี่น้องตระกูลลิ้มจริงๆ เหตุใดจึงมาอยู่กับมือกระบี่ลึกลับทั้งห้าได้...หรือน้องทั้งสองก็ถูกพวกมันจับตัวไป!’

บัณฑิตไร้ร่อยรอยกล่าวต่อ “ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปจะเป็นอย่างไร ตระกูลเต็งต้องเข้าข้างท่านกับตระกูลลิ้มแน่นอน หรือท่านอยากจะให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องการต่อสู้ระหว่างห้าตระกูลใหญ่กับหมู่ตึกบูรพา”

“ท่านพูดเรื่องอะไร!”

“อ้อ...ท่านอาจยังไม่ทราบ...เมื่อใกล้รุ่งหมู่ตึกบูรพารวบรวมกำลังทั้งหมด ออกเดินทางไปยังหมู่ตึกพันอักษรแล้ว พวกมันคิดไปดักรอพวกท่านทั้งห้าตระกูลที่นั้น มันคิดยึดหมู่ตึกพันอักษรก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ปึงเพียวเซาะโพล่งอย่างลืมตัว “ริวจิท่านคิดจะทำอะไร!”

“ตอนนี้กงจื้อน้อยกำลังเดือดดาล มันคิดว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือคัมภีร์พันอักษร มันจึงคิดชิงคัมภีร์เพื่อใช้ต่อรองกับผู้ที่จับตัวท่านโยชิไป”

“สี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือกับจอมยุทธทั้งแผ่นดิน ไหนเลยยอมให้มันทำเช่นนั้น!”

“โยชิโอกะ ริวจิมิใช่คนโง่ คราวนี้มันเรียกระดมมือดีเกือบทั้งหมดของหมู่ตึกบรูพา เพื่อรับมือคนของห้าตระกูลใหญ่และเหล่าชาวยุทธตงง้วน”

“เช่นนั้นยุทธภพต้องนองเลือดแน่!”

“ข้าพเจ้าจะหาตัวผู้ที่จับท่านโยชิ และร่องรอยของพี่น้องตระกูลลิ้มให้กับท่าน ทั้งยังจะหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังแผนใส่ร้ายท่านและยุยงให้อีกสี่ตระกูลใหญ่ผิดใจกับหมู่ตึกบูรพา แลกกับการที่ท่านต้องบอกเรื่องในคราวนั้นทั้งหมดที่ท่านรู้ให้ข้าพเจ้าฟัง”

หน่วยงานข่าวที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุทธภพ คือหน่วยข่าวของบัณฑิตไร้ร่องรอย เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปากจะช่วยเหลือ การตามหาท่านโยชิ บ้อเอี้ยไต้ซือ และพี่น้องตระกูลลิ้มย่อมง่ายดายขึ้นอีกมาก

ปึงเพียวเซาะครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างแช่มช้า “หากต้องการคลี่คลายสถานการณ์ครั้งนี้ ดูเหมือนข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรับข้อเสนอของท่าน ”

“ใช่จริงๆ...หากท่านมั่นใจจริงๆว่า อี้แป๊ะเฮาะ เป็นผู้บริสุทธิ์ไฉนต้องลังเลใจด้วย”

ปึงเพียวเซาะนิ่งไปอีกเนิ่นนาน “ข้าพเจ้าตกลง แต่ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังหลังจากการประลองที่หมู่ตึกพันอักษรในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว ท่านยอมรับเงื่อนไขนี้หรือไม่”

เอี้ยป้อฮู้มีสีหน้าลิงโลดอย่างยิ่ง “นั่นย่อมไม่มีปัญหา”

“อย่างนั้นข้าพเจ้ามีอีกเรื่องหนึ่งต้องไหว้วานท่านก่อน”

“ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าจะส่งร่างของรองหัวหน้าตึกทั้งสี่คืนให้หมู่ตึกบูรพาเอง”

“ต้องรบกวนท่านแล้ว” ปึงเพียวเซาะกล่าวจบก็พุ่งร่างจากไปอย่างเร่งรีบ

เอี้ยป้อฮู้ตะโกนถามไล่หลัง “ท่านจะไปไหน”

“หมู่ตึกพันอักษร!”

เอี้ยป้อฮู้พึมพำกับตนเอง “วิชาตัวเบาของมันเกือบไม่ด้อยกว่าเราจริงๆ สิบปีนี้พลังฝีมือของมันมิเพียงไม่ถดถอย ซ้ำยังต้องก้าวหน้ากว่าเดิมอีกไม่น้อย...กงจื้ออัจฉริยะไหนเลยจะกลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งได้!” มันหันไปมองร่างไร้ชีวิตของหนึ่งในมือกระบี่ชุดดำ “พวกเจ้าต้องสำนึกเสียใจ ที่ปลุกให้บุรุษผู้นี้ตื่นขึ้นมา!”


: บทที่ 12.

ปึงเพียวเซาะวิ่งประดุจเหาะเหิน มุ่งหน้ากลับอารามบ้อเมี่ยอย่างรีบเร่ง ในใจครุ่นคิดอย่าให้มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้น

เมื่อกลับมาถึงยังหน้ากุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือ ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงถึงกับชะงักร่างยืนตะลึง

เนื่องเพราะกุฏิหลังนั้นแทบไม่เหลือเค้าเดิมให้จดจำได้!

ผนังสองด้านพังทลายลงมา หลังคาปริแตกหล่นมายังเบื้องล่าง เหล่าหลวงจีนน้อยใหญ่กำลังวุ่นวาย ส่งเสียงตะโกนไต่ถามดังเซ็งแซ่ทั่วบริเวณ

ปึงเพียวเซาะไม่อาจคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ต้องมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน มองไปรอบบริเวณไม่พบบ้อเอี้ยไต้ซือ ท่านโยชิ หรือม่อย้งเพ็กเหล็งสักคนเดียว ในใจยิ่งวิตกกังวล แม้บ้อเอี้ยไต้ซือจะมีวิทยายุทธเยี่ยมยอด แต่ขณะที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านโยชิ ไหนเลยสามารถแบ่งแยกสมาธิมาจัดการกับศัตรูได้

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงรี่เข้าไปไต่ถามเหล่าหลวงจีน ซึ่งยืนวิพากวิจารณ์เหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างร้อนรน แต่กลับไม่ได้ความใด เหล่าหลวงจีนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือเกิดเรื่องใดขึ้น ขณะเกิดเรื่องทุกคนต่างได้ยินแต่ดังโครมคราม แต่ไม่มีใครกล้าออกจากกุฏิของตน เนื่องเพราะบ้อเอี้ยไต้ซือได้สั่งกำชับไว้ ต่างรอจนเสียงอึกทึกเงียบหายจึงเร่งรุดออกมาดู ก็พบกุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือมีสภาพอย่างที่เห็น

เมื่อไม่ได้ข้อมูลจากเหล่าหลวงจีน ปึงเพียวเซาะจึงรีบรุดออกสำรวจหาร่องรอยด้วยตนเองทันที ครั้นวิ่งมาถึงกุฏิด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของริวจิ ก็ต้องพบกับความตื่นตระหนกอีกครั้ง!

เนื่องเพราะร่างของกงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพากำลังล้มฟุบอยู่บนพื้นดินหน้ากุฏิ!

ตรงหน้านั้น! ชายชุดดำผู้หนึ่งกำลังเงื้อดาบจะฟันลงบนคอของริวจิที่กำลังมึนงงอยู่กับพื้น!

ปึงเพียวเซาะเห็นไม่ทันการเสียแล้ว ตนอยู่ห่างอย่างยิ่ง อาวุธซัดติดตัวสักชิ้นเดียวก็ไม่มี ยามนั้นฉุกคิดถึงขลุ่ยไม่ไผ่ที่คาดอยู่ข้างเอว ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองความคิดอย่างรวดเร็ว ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงซัดขลุ่ยในมือออกไปทันที

ขลุ่ยลำนั้นแล่นฉิวแหวกอากาศราวกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง!

พุ่งตรงปานประกายวิชชุทะลุทรวงอกของชายชุดดำออกไป ปักติดแน่นกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง!

ดาบในมือชายชุดดำค้างอยู่กลางอากาศร่างล้มตึงลงในทันที!

ปึงเพียวเซาะรีบเข้าไปพยุงริวจิขึ้นมา “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ที่นี่เกิดเรื่องราวใดขึ้น?”

ริวจิสะบัดศรีษะด้วยความมึนงง “ข้าพเจ้าไม่เป็นไร...ไม่ทราบใครบุกเข้ามา...ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งออกมาดู แล้วถูกคนลอบทำร้ายข้างหลัง...”

ปึงเพียวเซาะเห็นบุรุษหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงตรงไปค้นร่างชายชุดดำผู้นั้น แต่กลับไม่ได้ร่องรอยใดที่ใช้ระบุที่มาของมัน...

ริวจิกล่าวอย่างร้อนรน “พวกมันเป็นใคร ท่านโยชิเป็นอย่างไรบ้าง”

ปึงเพียวเซาะกล่าวด้วยความสำนึกเสียใจ “ข้าพเจ้าไม่ทราบ...”

ริวจิตื่นตระหนกยิ่ง “ท่านหมายความว่ายังไง!”

ปึงเพียวเซาะกล่าวกระอักกระอ่วน “กุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือถูกทำลาย...ไต้ซือ ท่านโยชิ น้องเพ็กเหล็งไม่ทราบหายตัวไปที่ใด”

“ท่านไฉนไม่ทราบ! ท่านเป็นคนเฝ้ากุฏิของท่านไต้ซือไม่ใช่หรือ”

“...เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงผิดปกติในป่าจึงวิ่งออกไปดู”

ริวจินิ่งเงียบชั่วครู่จึงกล่าว “ใช่เสียงผิวใบไม้เมื่อครู่หรือไม่”

“ใช่”

ริวจิขมวดคิ้วเคร่งเครียด “ท่านออกไปพบเซี่ยงกัวเม้งจู!”

ปึงเพียวเซาะมองบุรุษหนุ่มอย่างสงสัย “ท่านทราบ...”

ริวจิกระชากเสียงตอบ “ทำไมข้าพเจ้าจะไม่ทราบ พวกนางสองพี่น้องไปอยู่ที่เกาะพู้ซึ้งตั้งหลายปี!”

ปึงเพียวเซาะจึงได้คิด “จริงสิ...ข้าพเจ้าลืมไป”

ริวจิรี่เข้ามากระชากอกเสื้อปึงเพียวเซาะ “หมายความว่าท่านออกไปพบนาง ไม่ได้อยู่คุ้มครองไต้ซือ!”

ปึงเพียวเซาะนิ่งอึ้ง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดพลาดของตนจริงๆ

“ท่าน!” ริวจิระดมชกปึงเพียวเซาะไม่ยั้งมือ ปึงเพียวเซาะไม่ได้หลบเลี่ยง คงยืนนิ่งปล่อยให้บุรุษหนุ่มระบายโทสะอย่างเต็มที่ “ไฉนท่านกลับเห็นการออกไปพบนางสำคัญกว่าการคุ้มครองบ้อเอี้ยไต้ซือ!”

ริวจิรัวหมัดใส่หน้าปึงเพียวเซาะจนเหนื่อยหอบ ดวงตาแดงกล้ำถลึงมองประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงด้วยความโกรธ “ถ้าท่านโยชิเป็นอันตรายท่านจะต้องชดใช้!” พลันสำนึกเสียใจขึ้นมา ตนไม่ควรไว้ใจคนที่พึ่งรู้จักกันเพียงหนึ่งวันให้เฝ้าคุ้มครองท่านโยชิเลย

หากท่านโยชิเป็นอันตราย มันจะไม่มีวันให้อภัยตนเองตลอดชีวิต!

กงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาพยายามระงับความโกรธ คำสั่งสอนของท่านโยชิผุดขึ้นในหัวสมอง ในเวลาคับขันที่สุดผู้เป็นหัวหน้าจะต้องคงความเยือกเย็นให้ถึงที่สุด กรณีนี้ยิ่งต้องขบคิดอย่างรอบคอบ หากพลาดพลั้งเพียงนิด อาจส่งผลถึงความปลอดภัยของท่านโยชิ ริวจิจ้องหน้าปึงเพียวเซาะอย่างแค้นเคือง ใบหน้าของประมุขตึกตระกูลปึงบอบช้ำไปด้วยรอยหมัด ริมฝีปากมีเลือดไหลรินไม่หยุด

แต่โทสะของริวจิมิได้ลดลงแม้แต่น้อย “เฮอะ...ท่านคิดชดใช้ความผิดด้วยวิธีนี้?”

ปึงเพียวเซาะจ้องบุรุษหนุ่มแน่วนิ่ง “มิใช่”

“อย่างนั้นไฉนท่านไม่ตอบโต้!”

“หากข้าพเจ้าตอบโต้ท่านไหนเลยจะชกข้าพเจ้าได้”

ริวจิถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่ว่าอย่างไรมันยังรู้จักประมาณตน มันทราบดีฝีมือของตนไม่มีทางเทียบกับบุรุษผู้นี้ได้ หากไม่เป็นเพราะปึงเพียวเซาะยินยอมให้ชกต่อย ไหนเลยจะสร้างความบอบช้ำให้มันได้ขนาดนี้ แต่การกระทำเพียงแค่นี้จะชดใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างเชื่อมั่น “ข้าพเจ้าจะต้องติดตามท่านโยชิกลับมาอย่างปลอดภัย”

“ไม่จำเป็น! เรื่องนี้หมู่ตึกบูรพาจะจัดการด้วยวิธีของเราเอง!”

“แต่เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าพเจ้า...”

“ใช่!เรื่องนี้เป็นความผิดของท่าน! ข้าพเจ้าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ดังนั้นท่านไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของเรา!...หากท่านโยชิเป็นอันตรายท่านและหมู่ตึกตระกูลปึงจะต้องชดใช้!”

ริวจิจ้องปึงเพียวเซาะเขม็ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แต่บุรุษหนุ่มเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็หันหลังเดินตรงกลับมาหาปึงเพียวเซาะอีกครั้ง ราวฉุกคิดเรื่องบางประการได้

ปึงเพียวเซาะกล่าว “ท่านยังสงสัยเรื่องใด?”

ริวจิไม่ตอบคำสีหน้ายิ่งขมึงทึง เดินรี่ตรงเข้าไปหาปึงเพียวเซาะอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้ราวหนึ่งช่วงตัว ริวจิก็ชักดาบยาวข้างเอวฟันใส่ปึงเพียวเซาะอย่างรวดเร็ว!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงพลิ้วกายกระโดดถอยหลัง โพล่งอย่างแตกตื่น “ท่านจะทำอะไร!”

ริวจิไม่ฟังเสียง ฟาดดาบรุกไล่ต่อเนื่อง คำรามก้อง “ท่านเอาตัวท่านโยชิไปไว้ที่ไหน!”

“ท่านว่าอะไร!”

“ไม่ต้องทำไขสือ ท่านย่อมต้องรู้จักคุณหนูรองเซี่ยวกัวเม้งจูตั้งแต่การประลองคราวก่อน ในครั้งนั้นท่านได้ประลองกับคุณหนูใหญ่ด้วย แต่จากอายุของท่านในขณะนั้น ต้องไม่หมายปองคุณหนูใหญ่ซึ่งอายุมากกว่าหลายปีแน่นอน...ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยข้อนี้มาตั้งแต่ได้ทราบจากแม่นางเพ็กเหล็ง”

ริวจิเปลี่ยนมาจับดาบสองมือชี้ปลายตรงไปที่ปึงเพียวเซาะ “แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ครั้งก่อนที่ท่านประลองกับคุณหนูใหญ่ เพียงเพื่อทดสอบกระบี่เงาจันทร์ของตระกูลเซี่ยงกัว! ท่านคงหวังจะหาวิธีแก้ลำเพื่อประลองกับคุณหนูรอง...เฮอะ...ปึงเพียวเซาะที่แท้ท่านหลงรักคุณหนูรองใช่หรือไม่!”

ปึงเพียวเซาะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ด้วยคิดไม่ถึง เรื่องที่ตนเก็บซ่อนไว้ในจิตใจ จะถูกเด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันเพียงวันเดียวอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “ใช่หรือไม่ เกี่ยวข้องอะไรกับการหายตัวของท่านโยชิ”

“ย่อมต้องเกี่ยว...เนื่องเพราะท่านกับนางร่วมมือกันจับตัวท่านโยชิไป!”

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างแตกตื่น “ท่านว่าอะไร!”

“ข้าพเจ้าครุ่นคิดอยู่นาน ใครกันที่ชำนาญทางน้ำ รู้เวลาเปลี่ยนเวรยามของหมู่ตึกเรา ทั้งมีกำลังคนเข้มแข็งจำนวนมากอยู่ในมือ ครั้งแรกข้าพเจ้าไม่ได้เฉลียวใจคิดถึงตระกูลเซี่ยงกัว เนื่องเพราะพวกเขาถอนตัวจากตงง้วนไปถึงสิบปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าพึ่งนึกออกว่าตอนนี้ถึงกำหนดนัดหมายประลองยุทธที่หมู่ตึกพันอักษร ดังนั้นตระกูลเซี่ยงกัวย่อมต้องนำกำลังกลับสู่ตงง้วนแน่! และเป้าหมายของตระกูลเซี่ยงกัวย่อมเป็นคัมภีร์พันอักษร! หากกำจัดท่านโยชิไป ตระกูลเซี่ยงกัวย่อมชิงคัมภีร์ได้อย่างไม่ยากเย็น!”

ทั้งสองพูดจากันตอบโต้กัน แต่ดาบในมือริวจิมิได้เชื่องช้าลง ยิ่งพูดจายิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ!

ปึงเพียวเซาะได้แต่เบี่ยงตัวหลบ ดาบแล้วดาบเล่าดูเหมือนเฉียดตัวบุรุษหนุ่มไปเพียงเส้นยาแดง แต่นั่นหมายความว่า ดาบไวของริวจิยังไม่มีโอกาสสัมผัสถูกกระทั่งชายเสื้อของประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง!

“ท่านสงสัยตระกูลเซี่ยงกัวแล้วเกี่ยวข้องอันใดกับข้าพเจ้า!”

“พอท่านโยชิถูกทำร้าย ท่านเป็นคนแนะนำให้มารักษาตัวที่นี่”

“ท่านก็เห็นบ้อเอี้ยไต้ซือสามารถรักษาท่านโยชิได้จริงๆ”

ริวจิไม่ยอมฟังเหตุผลใดทั้งสิ้น “บ้อเอี้ยไต้ซือกับแม่นางเพ็กเหล็งคงถูกท่านหลอกใช้เช่นกัน...เสียงผิวใบไม้เมื่อครู่เป็นสัญญาณให้เริ่มลงมือใช่หรือไม่”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อครู่ข้าพเจ้าจะกลับมาช่วยท่านทำไม”

ริวจิหัวเราะเย้ยหยัน “ละครฉากเมื่อครู่ท่านสร้างขึ้นได้สมจริงมาก ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเชื่อใจ มิคิดระแวงท่าน จากนั้นท่านก็จะยืนยันว่าคุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะท่านอยู่กับนางตลอดเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น...ใช่แล้ว!...เสียงผิวใบไม้นั่นเป็นเอกลักษณ์ของนาง ที่นางผิวเป็นการจงใจให้ข้าพเจ้ารู้ว่านางอยู่ที่นี่ เป็นการยืนยันที่อยู่ของนางอีกทางหนึ่ง พวกท่านวางแผนได้รัดกุมยิ่งจริงๆ!”

ปึงเพียวเซาะทอดถอนใจ ร่างกายยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งประสานสอดคล้องกับวิถีดาบของริวจิขึ้นทุกที

“ท่านไตร่ตรองเรื่องราวได้ละเอียดรอบคอบจริงๆ...แต่ท่านยังผิดอยู่เรื่องหนึ่ง”

ริวจิจับดาบมั่นหมายฟันใส่ช่วงไหล่ของปึงเพียวเซาะสุดกำลัง “ข้าพเจ้าผิดอะไร!”

ปึงเพียวเซาะเบี่ยงตัวเพียงเล็กน้อย ฟาดสันมือใส่ข้อมือทั้งสองข้างของริวจิอย่างฉับไว “ข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”

ดาบยาวที่ยึดกุมมั่นทั้งสองมือร่วงหล่นลงพื้นในทันที!

ริวจิไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ข้อมือทั้งสองข้างล้วนปราศจากความรู้สึก คล้ายตั้งแต่ข้อมือลงไปได้หลุดหายไปจากร่าง ดวงตาทอประกายแค้นเคือง มองปึงเพียวเซาะด้วยความเจ็บใจ

“ข้าพเจ้าสู้ท่านไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าหมู่ตึกบูรพาจะแพ้ท่าน! ปึงเพียวเซาะท่านระวังตัวไว้ คนของหมู่ตึกบูรพาต้องตามล่าให้ส่งมอบตัวท่านโยชิออกมาให้ได้...หากท่านโยชิเป็นอันตรายแม้เพียงปลายเล็บ ท่านและคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคนจะต้องชดใช้หนี้เลือดให้กับท่านโยชิ!”

ริวจิพยายามจะหยิบดาบที่หล่นอยู่กับพื้นขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดมันกลับไม่สามารถ แม้แต่จะกุมดาบได้ยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มทวีความแค้นเคืองมากขึ้น

ปึงเพียวเซาะเดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่ม ก้มลงหยิบดาบยาวขึ้นมา หันด้านปลายสอดเข้ายังฝักดาบของริวจิอย่างรวดเร็ว

ริวจิยิ่งโกรธเกรี้ยว มันคิดกล่าว ‘ปึงเพียวเซาะบัญชีทั้งหมดในวันนี้ ข้าพเจ้าจะให้ท่านชดใช้อย่างสาสม!’

แต่ประโยคนี้กลับมิได้กล่าวออกไป มันรู้สึกยิ่งตนเองแสดงความโกรธเกรี้ยวเท่าไหร่ ยิ่งเท่ากับเผยจุดอ่อนของตน ให้ผู้อื่นฉวยมาใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย “ท่านคงไม่โง่ฆ่าข้าพเจ้าทิ้ง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถยืนยันที่อยู่ของท่านกับเซี่ยงกัวเม้งจูตอนที่เกิดเรื่องได้”

กล่าวจบมันก็หันหลังเดินจากไป...

คราวนี้มันจากไปจริงๆ โยชิโอกะ ริวจิ ออกจากอารามบ้อเมี่ยมุ่งสู่ท่าเรือพร้อมกับเพลิงโทสะ!
ปึงเพียวเซาะได้แต่ทอดถอนใจ ‘กงจื้อผู้นี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งจริงๆ น่าเสียดายคนยิ่งเฉลียวฉลาดมักยิ่งคิดมากเกินความเป็นจริง กลับเชื่อความคิดของตนมากกว่าสิ่งที่ตนเห็น ยิ่งไม่คิดฟังคำอธิบายของผู้ใดทั้งสิ้น’

ปึงเพียวเซาะปล่อยให้ริวจิกลับไปเพียงคนเดียว มันไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของริวจิ เพราะมันก็คิดเช่นเดียวกับบุรุษหนุ่ม ตอนนี้มีเพียงริวจิที่สามารถกล่าวโทษตนได้ ซ้ำยังแค้นเคืองตนอย่างยิ่ง ผู้คนที่คิดแผนการนี้ย่อมต้องถือริวจิเป็นของล้ำค่า จะต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้กับมันด้วยซ้ำ!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงคิดด่าว่าตนเองอีกแล้ว ‘ตอนนี้นับว่าเจ้าแส่หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวจริงๆแล้ว เจ้าดิ้นรนออกมาภายนอกทำไม’ ตอนนี้มันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง เกือบรุ่งสางแล้วมันยังไม่ได้หลับพักผ่อนแม้เพียงครู่ เวลานี้รุ่มร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ บริเวณรอบอารามไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือให้ติดตามแล้ว ยามนี้สิ่งที่มันควรทำที่สุดคือนอนพักสักครู่ เมื่อตื่นขึ้นสมองแจ่มใสย่อมสามารถขบคิดปัญหาต่างๆได้ดีกว่า

เหลียวไปด้านหลังพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สามารถอาศัยเอนหลังพักผ่อนได้ เพียงพิงร่างกับต้นไม้ใหญ่ชั่วครู่ปึงเพียวเซาะก็หลับไหลที่ตรงนั้นเอง

ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่...

โสตประสาทแว่วเสียงนกร้องดังขึ้นรอบทิศทาง ปึงเพียวเซาะค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น แสงอาทิตย์เจิดจ้ายามเช้าพุ่งเข้าทิ่มแทงตา ที่แท้เมื่อคืนมันนอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

แต่ยังมิทันที่บุรุษหนุ่มจะลืมตาดี ประกายกระบี่แหลมคมบาดตาห้าสายก็วูบขึ้นตรงหน้า!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงตะลึงงัน ไม่ทราบควรหลบเลี่ยงกระบี่ทั้งห้าสายอย่างไร เนื่องเพราะประกายทั้งห้าพุ่งมาทั้งทางซ้ายขวา ตรงกลางอก เหนือศรีษะ มีกระทั่งสายหนึ่งพุ่งเลียดมาตามพื้นดิน วาดกระบี่ย้อนจากเบื้องล่างขึ้นสู่ด้านบนนับเป็นกระบี่ที่สุดพิสดารอย่างยิ่ง!

หากตนคิดหลบกระบี่ทั้งสี่ด้วยการไถลไปตามพื้นดิน ยังต้องถูกกระบี่สายที่ห้าผ่าร่างเป็นสองเสี่ยงแน่นอน! ดูเหมือนไม่ว่าจะหลบไปทางใดล้วนต้องถูกกระบี่สายหนึ่งทิ่มแทง ในกายตนยามนี้ก็ไม่มีสิ่งใดพอจะใช้เป็นอาวุธได้สักชิ้นเดียว นี่จะทำประการใดดี?

ชั่วพริบตานั้นปึงเพียวเซาะแนบแผ่นหลังชิดติดกับลำต้นไม้ เบี่ยงกายวกอ้อมไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ โดยที่แผ่นหลังแนบติดดุจเป็นเนื้อเดียวกับผิวเปลือกไม้

กระบี่ซึ่งพุ่งจู่โจมทางด้านขวาเฉียดชายแขนเสื้อมันเพียงเชียะเศษ!

เนื่องเพราะกระบี่ทั้งห้าสาย ทุ่มเทท่าทางจู่โจมอย่างหักโหม แม้ทราบว่าพลาดเป้ายังต้องปล่อยตามสภาวะ กระบี่เมื่อใช้กระบวนท่าจู่โจมจนสิ้นมิอาจพลิกแพลงกลางคันได้

ปึงเพียวเซาะย่อมดูสภาวะเช่นนี้ออกเช่นกัน เมื่อกระบี่ทั้งห้าพึ่งเฉียดร่างตนไป จึงรีบพลิกกายดีดร่างห่างออกมาหลายวา แต่ขณะพลิ้วกายจากวงล้อม ยังซัดฝ่ามือออกไปยังมือกระบี่ซึ่งอยู่ด้านซ้ายและเหนือศรีษะตน

ฝ่ามือนี้ซัดออกไปเต็มแรงหากโดนเป้าหมาย คงมิแคล้วต้องจบชีวิตลงทันที!

มือกระบี่ทั้งห้าก็ทราบจุดอ่อนในการจู่โจมของพวกตน แม้กระบี่ยังจำต้องปล่อยตามสภวะ แต่มือทั้งห้าข้างกลับฟาดออกโดยพร้อมเพรียง!

ฝ่ามือทั้งสองข้างของปึงเพียวเซาะกลับต้องรับการจู่โจมจากห้าฝ่ามือพร้อมกัน!

ร่างประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงโดนแรงกระแทก ลอยละลิ้วดุจว่าวสายป่านขาด ปึงเพียวเซาะหมุนร่างตีลังกากลางอากาศหลายรอบ เพื่อลดทอนแรงกระแทกที่ได้รับ จนสามารถพลิ้วกายลงยืนได้อย่างมั่นคง มันทั้งตื่นตระหนกทั้งประหลาดใจ ไม่ทราบว่ากระบวนเพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นของค่ายสำนักใด เหตุใดมันไม่คุ้นตามาก่อนเลย

เจ้าของกระบี่ที่ร้ายกาจทั้งห้าเล่มเป็นบุรุษท่าร่างปราดเปรียว แต่งชุดดำ โพกหน้าด้วยผ้าสีดำ แววตาทั้งห้าคู่ทอประกายดุดัน ทั้งชุดทั้งกระบี่ที่ใช้ ไม่มีสัญลักษณ์ใดที่ให้บ่งบอกแหล่งที่มาของพวกมัน

มือกระบี่ทั้งห้าเมื่อทราบว่าพลังฝ่ามือของพวกตนไม่ได้ผล ก็รีบปรับเปลี่ยนกระบวนท่าจู่โจมกระบี่ต่อเนื่อง ทั้งห้ากระจายเป็นวงกลมโอบล้อม สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันมิได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ประกายจุดแต้มนับไม่ถ้วนอันเกิดจากปลายกระบี่สั่นพลิ้วระยิบระยับ ครอบคลุมจุดสำคัญทั่วร่างปึงเพียวเซาะ!

ฉับพลันประกายเหล่านั้นก็พุ่งวาบจู่โจมเข้าใส่ปึงเพียวเซาะดุจดาวตก!

การประสานกระบี่ของคนทั้งห้าร้ายกาจอย่างยิ่ง เพลงกระบี่มีแต่กระบวนท่ารุกอย่างดุดัน ทุกกระบี่ทุ่มเทใช้จนสุดกำลัง ไม่เหลือทางถอยให้กับตนเอง ทั้งยังปรับเปลี่ยนตำแหน่งสลับกันเข้าจู่โจมอย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ลำพังฝีมือของแต่ละคนก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ทั้งห้าสามารถนับเป็นมือกระบี่แนวหน้าของยุทธภพได้อย่างแน่นอน

ฉายากงจื้ออัจฉริยะของปึงเพียวเซาะย่อมมิได้มาอย่างโชคช่วย เพียงครู่เดียวมันก็มองออก ที่แท้ในช่วงเวลาพริบตาที่พุ่งจู่โจม จะมีเพียงสี่กระบี่ที่พุ่งใส่เป้าหมาย ที่เหลืออีกหนึ่งเป็นคนคอยคุ้มกันหากศัตรูสามารถตีโต้ได้ สลับสับเปลี่ยนกันเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้เองมือกระบี่ที่ทำหน้าที่จู่โจมทั้งสี่จึงสามารถรุกอย่างเต็มที่ มิต้องคอยพะวงป้องกันตัว

เพียงครุ่นคิดที่มาที่ไปของคนทั้งห้า ปึงเพียวเซาะจึงเสียสมาธิไปชั่วครู่ เปิดโอกาสให้กระบี่สายหนึ่งเรียกเลือดจากมันได้!

มือกระบี่อีกสี่คนเห็นดังนั้น ยิ่งเพิ่มความฮึกเหิมลำพอง ไม่รีรอให้เสียโอกาสพุ่งทั้งร่างทั้งกระบี่ผ่าอากาศใส่ปึงเพียวเซาะโดยพร้อมเพรียง!

ปึงเพียวเซาะจนใจได้แต่ใช้วิธีการสุดท้าย ‘เมื่อไม่อาจเอาชัยก็ถอยหนีดีกว่า’ คิดดังนั้นปึงเพียวเซาะจึงรีบพลิ้วกายกลับหลังกระโดดหนี เข้าไปในป่าหลังอารามทันที

บุรุษชุดดำทั้งห้ายังไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ ปึงเพียวเซาะทุ่มเทใช้วิชาตัวเบา หลบหนีเข้าไปในแนวป่าสนทึบติดเทือกเขาอีกลูก แม้มันจะเร่งวิ่งอย่างรวดเร็ว แต่โสตประสาททุกส่วนยังจับความเคลื่อนไหวของบุรุษชุดดำทั้งห้า มิปล่อยให้คลาดจากกัน

แต่เมื่อวิ่งไปได้อีกระยะมันก็ต้องขมวดคิ้ว หยุดร่างลงเหลียวหน้ากลับไปด้านหลัง...บุรุษชุดดำทั้งห้าหายไปแล้ว...พวกมันอันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอย มิแตกต่างกับตอนที่พวกมันปรากฏตัว!

ที่ซึ่งคนชุดดำทั้งห้าสลายตัวไปเป็นชายป่าโปร่ง เกือบติดเทือกเขาอีกลูก ได้ยินเสียงน้ำจากลำธารไหลเรื่อยอยู่เบื้องหน้า ปึงเพียวเซาะตัดสินใจเดินต่อไปจนถึงลำธารแห่งนั้น มันก้มลงล้างหน้าป้วนปาก มองดูปลาตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในลำธารที่ใสดุจกระจก ท้องร้องดังโครกคราก ใช้แรงตั้งแต่เช้าเยี่ยงนี้รู้สึกหิวโหยยิ่งจริงๆ บุรุษหนุ่มคิดจับปลามากินสักหลายตัว แต่ความคิดของมันก็ต้องชะงักลงอีก เพราะมันรู้สึกถึงประกายตาคมกล้าสี่สายซึ่งพุ่งมาที่ตน!

เมื่อหันกลับไปมองจึงพบว่ามีบุรุษวัยกลางคนสี่คน สีหน้าเคร่งเครียด แต่งกายด้วยชุดเช่นเดียวริวจิและท่านโยชิ ที่เอวคาดดาบยาวคนละเล่มยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของลำธาร

บรุษหนุ่มฉุกคิดขึ้น ‘ที่มือกระบี่ทั้งห้าจากไปเพราะมีคนจัดการแทนพวกมันนี่เอง’

หนึ่งในบุรุษทั้งสี่กล่าวว่า “พวกเราคือรองหัวหน้าตึกทั้งสี่ของหมู่ตึกบูรพา ท่านต้องการให้เรารอท่านทานอาหารเสร็จก่อนหรือไม่”

ปึงเพียวเซาะฝืนยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจปานนั้น” เวลาเช่นนี้ใครจะไปกินอะไรได้

บุรุษอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ท่านไม่มีอาวุธ?”

ปึงเพียวเซาะแบมือทั้งสองข้างออก “ดูเหมือนข้าพเจ้าจะไม่มี”

บุรุษคนที่สามกล่าวว่า “ขอให้ท่านเข้าใจ พวกเราปกติมิเคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่คราวนี้เกี่ยวกับความปลอดภัยของท่านโยชิ จึงมิอาจยึดถือกฏเกณฑ์ใดๆได้ ต้องขออภัยท่านจริงๆ”

พวกมันเกรงอกเกรงใจปานนี้ ปึงเพียวเซาะได้แต่ฝืนยิ้มอย่างยากยิ่ง “ข้าพเจ้าเข้าใจ”

บุรุษอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอดกล่าวว่า “แต่ขอเพียงท่านยอมส่งท่านโยชิคืนให้พวกเรา พวกเรารับรองจะไม่ถือสาหาความใดกับท่านอีก ข้อเสนอนี้ท่านว่าดีหรือไม่”

ปึงเพียวเซาะผงกศรีษะ “ย่อมดีแน่นอน”

หนึ่งในบุรุษทั้งสี่กล่าวอย่างยินดี “ท่านตกลง?”

ปึงเพียวเซาะกล่าวอย่างจริงจัง “หากข้าพเจ้าทราบว่าท่านโยชิอยู่ที่ไหน ต้องรีบนำส่งพวกท่านแน่”

“ท่านไม่ทราบ?”

“ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

บุรุษทั้งสี่มองหน้ากันวูบ ต่างพยักหน้าพร้อมทั้งชักดาบยาว วิ่งข้ามลำธารตรงเข้าหาปึงเพียวเซาะโดยพร้อมเพรียง!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงมิได้คิดหลบหนีอีก คนทั้งสี่เพียงต้องการจับตัวตนเท่านั้น การจับตัวย่อมไม่อาจลงมืออำมหิตจนเกินไปดังนั้นตนจึงได้เปรียบอยู่มาก

เพียงไม่กี่ก้าวหลังจากที่คนทั้งสี่วิ่งข้ามลำน้ำ ด้านหลังของพวกมันพลันบังเกิดเงากระบี่วูบขึ้นอีกห้าสาย!

คนทั้งสี่มิได้เฉลียวใจแม้แต่น้อย ปึงเพียวเซาะคิดจะร้องเตือน พร้อมทั้งรีบสะอึกตัวเข้าไปช่วย แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว!

กระบี่ห้าสายวูบขึ้นเพียงครั้งเดียวราวสายวิชชุ พริบตาเดียวโลหิตห้าสายก็พุ่งออกจากลำคอของรองหัวหน้าตึกทั้งสี่!

เพียงคนละหนึ่งกระบี่ก็สามารถฆ่าสี่รองหัวหน้าตึกพร้อมกันอย่างเลือดเย็น!

เจ้าของกระบี่ทั้งห้าสายก็คือบุรษชุดดำที่จู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นเอง!

รองตัวหน้าตึกมีเพียงสี่ บุรษชุดดำมีถึงห้าคน มันใช้หนึ่งคนสังหารหนึ่งชีวิต

ยังเหลือกระบี่อีกหนึ่งเล่ม!

กระบี่เล่มนั้นถูกขว้างตรงมายังปึงเพียวเซาะอย่างเร่งร้อน!

ปึงเพียวเซาะตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โทสะพลันประดังขึ้นเลือดในกายเดือดพล่าน!

สิบปีแล้วที่ปึงเพียวเซาะไม่เคยบันดาลโทสะรุนแรงเช่นนี้!

รองหัวหน้าตึกทั้งสี่ที่คิดจับกุมตน นับเป็นเพียงความเข้าใจผิด คนทั้งสี่ต่างพุ่งสมาธิมาที่ตนจึงไม่ทันระวังตัว นี่เท่ากับตนให้ร้ายคนทั้งสี่ทางอ้อมแท้ๆ

แววตาของปึงเพียวเซาะพลันแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!

นี่เป็นประกายตาของบุรุษหนุ่มในวันที่มันบุกขึ้นสำนักบู๊ตึ้ง เพื่อท้าประลองกับค่ายกระบี่เจ็ดดาวอย่างอาจหาญเมื่อสิบปีก่อน!

กงจื้ออัจฉริยะแห่งตระกูลปึงตื่นจากการหลับไหลตลอดสิบปีแล้ว!

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงพุ่งร่างเข้าใส่กระบี่ที่ขว้างมายังตน สองนิ้วคีบจับลำกระบี่แล้วเหวี่ยงไปด้านข้างอย่างไม่แยแส ท่าร่างไม่เพียงไม่ชะงังลงกลับคล้ายรวดเร็วขึ้นอีก!

เป็นความเร็วที่น่าตื่นตระหนก! ระดับความเร็วของมันแตกต่างกับที่แล้วๆมาอย่างสิ้นเชิง บุรุษชุดดำทั้งห้าเคยเห็นปึงเพียวเซาะยามวิ่งหลบหนี จึงคาดคิดว่านั้นเป็นระดับความเร็วสูงสุดของมัน

แต่พวกมันกลับคาดการณ์ผิดอย่างสิ้นเชิง!

พริบตาเดียวก่อนที่ทั้งห้าจะทันตั้งตัว ปึงเพียวเซาะก็บรรลุถึงร่างของหนึ่งในพวกมันแล้ว!

บุรุษชุดดำที่เป็นเป้าหมายของปึงเพียวเซาะคือผู้ที่ขว้างกระบี่ เนื่องเพราะในเวลานี้มือของมันไม่มีอาวุธ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเป้าหมายแรก!

บุรุษชุดดำผู้นั้นไม่คาดว่าฝ่ายตรงข้ามจะจู่โจมรวดเร็วปานนี้ มันจึงถูกฝ่ามือของปึงเพียวเซาะกระแทกเต็มแรง เสียงซี่โครงหักสะบั้นดังเกรียวกราว!

อารามตกใจปนเจ็บปวด มันรีบทิ้งตัวลงกับพื้นทันที แต่มันมิต้องทนเจ็บปวดนานนัก เพียงครู่บุรุษชุดดำผู้นั้นก็ขาดใจตาย!

กระบี่อีกสี่สายต่างฟันลงที่ข้อมือของปึงเพียวเซาะในจังหวะเวลาเดียวกัน ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงไม่รั้งฝ่ามือกลับ เพียงวกข้อมือเป็นวงกลม เล็งเป้าหมายที่ข้อมือของมือกระบี่ทั้งสี่ แล้วกรีดสันฝ่ามือออกอย่างรวดเร็ว!

ละอองโลหิตกระเซ็นแดงฉานลงบนผิวน้ำ!

นั่นมิใช่เลือดของประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง!

โลหิตที่สาดกระเซ็นกลับหลั่งไหลออกมาจากง่ามนิ้วของบุรุษชุดดำทั้งสี่!

พลังฝ่ามือของปึงเพียวเซาะยามใช้ออกกลับคมกริบยิ่งกว่ากระบี่!

บุรุษชุดดำทั้งสี่หน้าถอดสี ไม่คิดว่าจะมีวิชาพิสดารเช่นนี้อยู่ในโลก ทั้งหมดฉุกใจคิดขึ้นพร้อมกัน

นี่คือวิชา ‘ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่’ ของตระกูลปึง!

ลมปราณจากฝ่ามือคมกริบมีอานุภาพประดุจกระบี่วิเศษ!

พวกมันรีบกระโดดถอยห่าง พุ่งร่างหลบหนีเข้าไปยังป่าไผ่อย่างรวดเร็ว ปึงเพียวเซาะคิดพุ่งร่างติดตามไป แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นเบื้องหลังตน

“ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว ‘ฝ่ามือลมปราณซ่อนกระบี่’ ช่างยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ เพียงกระทวนท่าเดียวก็คุกคามพวกมันจนล่าถอย แต่พวกมันก็นับว่ามีฝีมือไม่เลวจริงๆ ถึงกับปลุกผู้ที่หลับไปเป็นเวลานานอย่างท่านได้”

เจ้าของเสียงนี้คือบุรุษไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้!

ปึงเพียวเซาะไม่ได้ประหลาดใจกับการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของมัน บุรุษผู้นี้ได้รับฉายาว่าไร้ร่องรอยจะมาจะไปล้วนอยู่นอกเหนือการคาดดำนวนของผู้คน “ท่านทราบว่าพวกมันเป็นใคร”

“ไม่ทราบ”

ปึงเพียวเซาะไม่ไต่ถามต่อ บัณฑิตไร้ร่องรอยทรนงตนนัก น้อยครั้งที่มันจะบอกว่าไม่ทราบ เรื่องที่มันยังไม่ทราบในยุทธภพยังจะหาใครรู้อีก คาดว่าบัญชีของรองหัวหน้าตึกทั้งสี่คนนี้คงต้องใส่ที่ตนอีกแน่นอน

บัณฑิตไร้ร่องรอยเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน “ท่านกำลังคิดว่าบัญชีรายนี้ต้องสุมลงที่ตัวท่านใช่หรือไม่”

“ท่านทราบเรื่องท่านโยชิแล้ว?”

“ความขัดแย้งครั้งนี้มิใช่เรื่องเล็ก ข้าพเจ้าจะพลาดได้อย่างไร”

“หน่วยข่าวของท่านยังฉับไวอย่างยิ่งจริงๆ”

“นั่นย่อมแน่นอน เหตุการณ์หลังจากที่แยกกับท่านเมื่อเช้า ข้าพเจ้าทราบโดยตลอดแล้ว”

ปึงเพียวเซาะมองเอี้ยป้อฮู้อย่างเย็นชา “ท่านมาอยู่ที่นี่นานแล้ว?”

“นานพอที่จะเห็นเรื่องทั้งหมด”

“ท่านเห็นตอนที่มือกระบี่ทั้งห้าอ้อมไปฆ่าคน?”

“ข้าพเจ้าเห็นโดยตลอด”

“ท่านไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ?”

“คนเหล่านั้นดูเหมือนมิใช่ญาติพี่น้องของข้าพเจ้า ยิ่งมิใช่มิตรสหายของข้าพเจ้า”

ปึงเพียวเซาะแค่นหัวเราะ “ความขัดแย้งระหว่างข้าพเจ้ากับหมู่ตึกบูรพา คงช่วยให้ท่านเขียนหนังสือได้อีกหลายเล่ม”

เอี้ยป้อฮู้ยอมรับราวไร้เรื่องราวใด “ย่อมใช่...ข้าพเจ้าคิดชื่อเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว...เมื่อสืบทราบว่าใครเป็นผู้ใส่ร้ายท่าน ข้าพเจ้าจะรีบรวมเล่มทันที”

“ใส่ร้าย?...ท่านหมายความว่าจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้า?”

“ถูกต้อง”

ปึงเพียวเซาะแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “เหตุใดท่านต้องช่วยเหลือข้าพเจ้าถึงเพียงนั้น”

เอี้ยป้อฮู้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เพราะข้าพเจ้าเขียนหนังสืออีกเล่มทิ้งไว้ ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะเขียนจบเมื่อไร”

“เรื่องใด?” ปึงเพียวเซาะถามทั้งที่ทราบดีว่าเป็นเรื่องใด

“กรณีเหตุฆาตกรรมที่หมู่ตึกพันอักษร!”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงหน้าตาเคร่งเครียด “ท่านต้องการแลกเปลี่ยนเรื่องนี้ กับการให้ข้าพเจ้าเล่าว่าเหตุใดท่านผู้เฒ่าทั้งสี่และข้าพเจ้าจึงยืนยันว่าพี่แป๊ะเฮาะเป็นผู้บริสุทธิ์?”

“ท่านกับสามผู้เฒ่าต่างหากที่คิดเช่นนั้น ประมุขตระกูลเซี่ยงกัวไม่ได้คิดเช่นนั้นแน่ๆ”

“อาจจะ...”

“ท่านไม่รับข้อเสนอของข้าพเจ้า?”

“ย่อมไม่”

“ข้าพเจ้าคิดแต่แรกแล้วว่าท่านต้องไม่ตกลง โดนป้ายหน้าดำย่อมดีกว่าทรยศมิตรสหาย เรื่องเช่นนี้ต่อให้ฆ่าให้ตายท่านก็ไม่ยอมกระทำแน่”

ปึงเพียวเซาะขมวดคิ้วสงสัย “ท่านก็ทราบ แต่กลับยังยื่นข้อเสนอเช่นนั้นให้ข้าพเจ้า?”

เอี้ยป้อฮู้ยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินไปหยิบกระบี่เล่มที่บุรุษชุดดำขว้างใส่ปึงเพียวเซาะ “ท่านจำได้ไหมนี่เป็นกระบี่ของผู้ใด”

ที่ลำกระบี่เล่มนั้นสลักคำ ‘ลิ้ม’

“น้องปวยฮวย! น้องเอ็งฮวย!”

“ถูกต้องนี่เป็นกระบี่ของสองเซียนตระกูลลิ้ม หากใกล้ศพของรองหัวหน้าตึกทั้งห้ามีกระบี่ของสองเซียนตระกูลลิ้มตกอยู่ ไม่ทราบหมู่ตึกบูรพาจะว่าอย่างไร...พวกมันย่อมทราบท่านและพี่น้องตระกูลลิ้มสนิทสนมกันอย่างยิ่ง”

“นี่!”

“ดูเหมือนคราวนี้ที่พวกมันต้องการป้ายความผิด ไม่ใช่เพียงท่าน พวกมันยังต้องการให้ตระกูลลิ้มผิดใจกับหมู่ตึกบูรพาอีกด้วย”

ปึงเพียวเซาะยิ่งมึนงงสับสน ‘กระบี่ของพี่น้องตระกูลลิ้มจริงๆ เหตุใดจึงมาอยู่กับมือกระบี่ลึกลับทั้งห้าได้...หรือน้องทั้งสองก็ถูกพวกมันจับตัวไป!’

บัณฑิตไร้ร่อยรอยกล่าวต่อ “ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปจะเป็นอย่างไร ตระกูลเต็งต้องเข้าข้างท่านกับตระกูลลิ้มแน่นอน หรือท่านอยากจะให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องการต่อสู้ระหว่างห้าตระกูลใหญ่กับหมู่ตึกบูรพา”

“ท่านพูดเรื่องอะไร!”

“อ้อ...ท่านอาจยังไม่ทราบ...เมื่อใกล้รุ่งหมู่ตึกบูรพารวบรวมกำลังทั้งหมด ออกเดินทางไปยังหมู่ตึกพันอักษรแล้ว พวกมันคิดไปดักรอพวกท่านทั้งห้าตระกูลที่นั้น มันคิดยึดหมู่ตึกพันอักษรก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ปึงเพียวเซาะโพล่งอย่างลืมตัว “ริวจิท่านคิดจะทำอะไร!”

“ตอนนี้กงจื้อน้อยกำลังเดือดดาล มันคิดว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือคัมภีร์พันอักษร มันจึงคิดชิงคัมภีร์เพื่อใช้ต่อรองกับผู้ที่จับตัวท่านโยชิไป”

“สี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือกับจอมยุทธทั้งแผ่นดิน ไหนเลยยอมให้มันทำเช่นนั้น!”

“โยชิโอกะ ริวจิมิใช่คนโง่ คราวนี้มันเรียกระดมมือดีเกือบทั้งหมดของหมู่ตึกบรูพา เพื่อรับมือคนของห้าตระกูลใหญ่และเหล่าชาวยุทธตงง้วน”

“เช่นนั้นยุทธภพต้องนองเลือดแน่!”

“ข้าพเจ้าจะหาตัวผู้ที่จับท่านโยชิ และร่องรอยของพี่น้องตระกูลลิ้มให้กับท่าน ทั้งยังจะหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังแผนใส่ร้ายท่านและยุยงให้อีกสี่ตระกูลใหญ่ผิดใจกับหมู่ตึกบูรพา แลกกับการที่ท่านต้องบอกเรื่องในคราวนั้นทั้งหมดที่ท่านรู้ให้ข้าพเจ้าฟัง”

หน่วยงานข่าวที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุทธภพ คือหน่วยข่าวของบัณฑิตไร้ร่องรอย เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปากจะช่วยเหลือ การตามหาท่านโยชิ บ้อเอี้ยไต้ซือ และพี่น้องตระกูลลิ้มย่อมง่ายดายขึ้นอีกมาก

ปึงเพียวเซาะครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างแช่มช้า “หากต้องการคลี่คลายสถานการณ์ครั้งนี้ ดูเหมือนข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรับข้อเสนอของท่าน ”

“ใช่จริงๆ...หากท่านมั่นใจจริงๆว่า อี้แป๊ะเฮาะ เป็นผู้บริสุทธิ์ไฉนต้องลังเลใจด้วย”

ปึงเพียวเซาะนิ่งไปอีกเนิ่นนาน “ข้าพเจ้าตกลง แต่ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังหลังจากการประลองที่หมู่ตึกพันอักษรในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว ท่านยอมรับเงื่อนไขนี้หรือไม่”

เอี้ยป้อฮู้มีสีหน้าลิงโลดอย่างยิ่ง “นั่นย่อมไม่มีปัญหา”

“อย่างนั้นข้าพเจ้ามีอีกเรื่องหนึ่งต้องไหว้วานท่านก่อน”

“ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าจะส่งร่างของรองหัวหน้าตึกทั้งสี่คืนให้หมู่ตึกบูรพาเอง”

“ต้องรบกวนท่านแล้ว” ปึงเพียวเซาะกล่าวจบก็พุ่งร่างจากไปอย่างเร่งรีบ

เอี้ยป้อฮู้ตะโกนถามไล่หลัง “ท่านจะไปไหน”

“หมู่ตึกพันอักษร!”

เอี้ยป้อฮู้พึมพำกับตนเอง “วิชาตัวเบาของมันเกือบไม่ด้อยกว่าเราจริงๆ สิบปีนี้พลังฝีมือของมันมิเพียงไม่ถดถอย ซ้ำยังต้องก้าวหน้ากว่าเดิมอีกไม่น้อย...กงจื้ออัจฉริยะไหนเลยจะกลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งได้!” มันหันไปมองร่างไร้ชีวิตของหนึ่งในมือกระบี่ชุดดำ “พวกเจ้าต้องสำนึกเสียใจ ที่ปลุกให้บุรุษผู้นี้ตื่นขึ้นมา!”

ไม่มีความคิดเห็น: