วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 8)





บทที่ 8.

ชิกแชฮั้วฮึงเป็นโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดในมหานครจุงกิง มิว่ายามรุ่งอรุณหรือวิกาลดึกดื่นห้องโถงใหญ่ด้านหน้าไม่เคยปราศจากผู้คน จะมากจะน้อยยังต้องมีแขกเหรื่อนั่งทานอาหารดื่มสุราอยู่เป็นนิจ ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าๆออกๆไม่หยุดหย่อน ยิ่งเวลาอาหารเช้าผู้คนยิ่งพลุกพล่านกว่าปกติหลายเท่า เด็กรับใช้ในร้านเหงื่อโทรมกาย ต่างคนต่างวิ่งไปมาไม่ได้หยุด ยิ่งเช้านี้พวกมันต้องทำงานหนักมากขึ้นถึงสามเท่าตัว เพราะวันนี้นอกจากแขกเหรื่อที่เข้าพักตามปกติยังมีแขกกลุ่มใหญ่ซึ่งเดินทางมาถึงเมื่อรุ่งสางอีกเกือบสองร้อยคน คนเหล่านี้จับจองโต๊ะชั้นบนทั้งหมดของห้องโถงใหญ่ ทุกคนล้วนแต่งชุดสีครามเข้มหน้าตาถมึงทึงเคร่งเครียดข้างกายมีห่อผ้าเล็กบ้างใหญ่บ้าง หากผู้ใดมิใช่ทารกย่อมเดาได้ว่านั่นต้องเป็นอาวุธประจำตัวของแต่ละคนอย่างแน่นอน

ห้องโถงชั้นบนมีผู้คนนั่งอยู่เกือบสองร้อยแต่เสียงที่เล็ดลอดลงมายังเบื้องล่างกลับมีเพียงเสียงตะเกียบกระทบจาน เสียงรินสุรา เสียงผู้คนเคี้ยวอาหาร แต่ไม่มีเสียงพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว!

คนชุดครามทั้งร้อยกว่าคนเหล่านี้เป็นคนของหมู่ตึกบูรพา...พวกมันต่างดื่มกินอาหารอย่างรวกๆและรีบเร่ง เนื่องเพราะประสาทของพวกมันต่างตึงเครียดอย่างยิ่ง

ห้าปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าตอแยกับหมู่ตึกบูรพา!

ตั้งแต่ท่านโยชิ แสดงฝีมือสยบสี่หัวหน้าโจรสลัดแห่งลุ่มน้ำแยงซีและห้ากลุ่มค้าเกลือเถื่อนแถบกังหนำ นับจากนั้นกิจการค้าขายทางน้ำภาคใต้ล้วนตกเป็นของหมู่ตึกบูรพาอย่างแท้จริง พร้อมกับฉายามือสังหารไร้รักที่ดังระบือไปทั่วยุทธภพ นับจากครั้งนั้นไม่มีผู้ใดกล้าตอแยกับหมู่ตึกบูรพาอย่างเปิดเผยอีก...

แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้นเรื่องนี้ก็เช่นกัน

นาคามูระ โยชิ ก้าวยาวๆรวดเร็วแต่หนักแน่นเงียบกริบอย่างยิ่ง ร่างไม่สูงใหญ่เดินเข้าประตูใหญ่ด้านหน้ามายังห้องโถงกลางโดยไม่สนใจมองผู้ใด คนชุดครามซึ่งนั่งกินอาหารอยู่ชั้นบนเพียงเหลือบลงมาเห็นมันต่างรีบพากันลุกขึ้นยืนคำนับอย่างนอบน้อม รอจนมันเดินผ่านโถงใหญ่ไปยังตึกด้านหลังแล้วผู้คนเหล่านั้นจึงดื่มกินกันต่อ เสียงกระซิบกระซาบอย่างคึกคะนองเริ่มดังขึ้น...

“ท่านโยชิกลับมาแล้วพวกมันอย่าหมายมีชีวิตรอด!”

นาคามูระ โยชิเดินตัดออกจากห้องโถงไปยังตึกคะนึงหาที่มันและโยชิโอกะ ริวจิเข้าพักเมื่อคืนวาน ตึกคะนึงหาเป็นตึกรับรองที่ใหญ่ที่สุดโอ่งอ่าที่สุดของชิกแชฮั้วฮึง ขณะนี้รอบบริเวณตึกใหญ่สามชั้นเต็มไปด้วยชายชุดครามถืออาวุธครบมือเดินตรวจรักษาการณ์อย่างเข้มงวด พวกมันคำนับโยชิอย่างนอบน้อมยิ่งแต่ไม่ปริปากกล่าววาจาใดสักคำ นาคามูระ โยชิยิ่งไม่แม้แต่จะเอ่ยวาจาสักครึ่งคำกับพวกมัน เพราะมันทราบผู้ที่รอให้มันไต่ถามต่างนั่งรออยู่ที่ชั้นสองของตึกคะนึงหาแล้ว

ปึงเพียวเซาะเดินตามมันมาติดๆ เหล่าคนชุดครามก็มิได้แสดงท่าทีใส่ใจสงสัยหรือประหลาดใจ เพราะพวกมันทราบผู้ที่สามารถเดินตามท่านโยชิได้ ย่อมเป็นท่านโยชิยินยอมให้คนผู้นั้นติดตาม ไม่เช่นนั้นแม้ภูตผีก็อย่าหมายว่าจะติดตามนาคามูระ โยชิได้

เสียงวิพากวิจารณ์พฤติกรรมของหมู่ตึกบูรพาดังเซ็งแซ่ตั้งแต่หน้าประตูโรงเตี๊ยมจนถึงลานหน้าตึกใหญ่

“หมู่ตึกบูรพาวางอำนาจบาตรใหญ่จริงๆทีแรกเพียงเหมาตึกคะนึงหาหลังเดียว แต่เมื่อเช้ากลับขับไล่ผู้อื่นออกไปหมด พวกมันเพียงบอกว่าต้องการจองตึกทุกหลังในชิกแชฮั้วฮึง”

“หมู่ตึกบูรพาให้ค่าชดเชยตั้งห้าเท่าใครจะกล้าเอ่ยปาก”

“ห้องโถงชั้นสองก็ถูกพวกมันถือเป็นบ้านของตนเองไปแล้ว”

“มันจ่ายค่าอาหารเป็นสามเท่าต่อให้ต้องล่วงเกินแขกอื่นไปบ้างแต่เถ้าแก่ไหนเลยละทิ้งลาภก้อนนี้”

“หมู่ตึกบูรพาร่ำรวยสมคำร่ำลือจริงๆ”

“ไม่แน่อาจร่ำรวยกว่าตระกูลใหญ่ทั้งห้าอีก”

“ไม่เพียงร่ำรวยซ้ำยังใจกว้างอย่างยิ่ง”

“พวกมันแม้ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาแต่อย่างน้อยไม่ใช้กำลังข่มขู่ ล้วนชดเชยให้สามสี่เท่าเสมอ”

“เฮอะ...เพียงมันใช้เศษเงินเล็กน้อยก็ชื่นชม ทราบหรือไม่เงินเหล่านี้ได้มายังไง”

“หมู่ตึกบูรพาทำการค้าขายกับเกาะพู้ซึ้งคาดว่าได้กำไรมากเป็นพิเศษ”

“เหลวใหล...ได้ยินว่าพวกนี้เป็นโจรสลัดค้าเกลือเถื่อนต่างหาก” ประโยคหลังพูดด้วยซุ่มเสียงแผ่วเบา กระซิบกระซาบกันเพียงสองคน

ปึงเพียวเซาะได้แต่เกาศรีษะ ปากหาวหวอดๆมันคร้านจะฟังคำซุบซิบนินทาเหล่านี้ หลายปีมานี้เวลาที่คนเก็บค่าเช่าที่ของตึกตระกูลปึงไปเก็บค่าเช่ายังมีคนกล่าวหาว่าพวกมันเป็นพวกอันตพาลคอยขูดรีดค่าคุ้มครองไปฉิบ...ปากคนช่างวิพากวิจารณ์ได้ทุกเรื่องจริงๆ

เมื่อขึ้นไปบนชั้นสองของตึกคะนึงหา ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงพบว่าประตูบานใหญ่เปิดรอรับอยู่ก่อนแล้ว ในห้องโถงใหญ่มีผู้คนรออยู่หกคนต่างมีสีหน้าวิตกกังวลเคร่งเครียด

ห้าคนเป็นบุรุษวัยกลางคน สวมใส่ชุดครามแต่มีขลิบสีทองเด่นสะดุดตาที่ปลายแขนและชายเสื้อคาดว่าคงเป็นชนชั้นหัวหน้า อายุของทั้งห้าต้องไม่น้อยไปกว่านาคามูระ โยชิ พวกมันต่างนั่งนิ่งบนเก้าอี้สีหน้ากระอักกระอ่วน แทบไม่กล้ากระทั่งกระดิกปลายนิ้ว สายตาหลุบต่ำไม่เหลือบมองผู้อื่นสักแวบเดียว

อีกผู้หนึ่งเป็นบุรุษหน้าขาวหล่อเหลาอย่างยิ่ง มันเดินไปมาด้วยความหงุดหงิดกระวนกระวาย คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น เมื่อพบเห็น นาคามูระ โยชิ ดวงตาเปี่ยมประกายความหวังและเชื่อมั่นฉายขึ้นเด่นชัด

“เกิดเรื่องขึ้นเมื่อไหร่” แววเดือดดาลเมื่อแรกที่อ่านจดหมายจางหายไปสิ้นแล้ว สีหน้าทีท่ากลับสงบเยือกเย็นน้ำเสียงราบเรียบหนักแน่นเช่นเดิม

“เมื่อตอนใกล้รุ่ง พวกมันอาศัยขณะยามผลัดกลางคืนเหน็ดเหนื่อยเต็มที่เตรียมเปลี่ยนผลัด ปลุกยามผลัดเช้าที่ยังไม่ตื่นดีเข้าปล้นชิง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านซ้าย

“เรือสินค้าลำใหญ่ที่สุดของเราถูกพวกมันปล้นชิงไป” ชายหน้าตาปุปะด้วยรอยฝีดาษกล่าวขึ้น สีหน้าอีหลักอีเหลื่อไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาโยชิ

บัดนี้ปึงเพียวเซาะจึงทราบว่าเป็นเรื่องใดที่ทำให้บุรุษเหล็กเบื้องหน้าเดือดดาลขึ้นได้ แต่กลับยิ่งงุนงงสงสัยมากขึ้นไปอีก หมู่ตึกบูรพาเป็นผู้ค้าขายรายใหญ่กับเกาะพู้ซึ้งมาตั้งแต่เมื่อเข้ามาตั้งรกรากที่ตงง้วน ตระกูลโยชิโอกะสร้างตัวบนแผ่นดินตงง้วนอย่างยากลำบากมาเกือบสิบปีจนมีรากฐานมั่นคง เรือสินค้านับร้อยลำแล่นร่องลำน้ำแยงซีจรดเกาะพู้ซึ้ง เมื่อห้าปีก่อนหลังจากนาคามูระ โยชิ เดินทางมาจากเกาะพู้ซึ้งได้แสดงฝีมือสงบค่ายแก๊งต่างๆจนระย่อไม่มีใครกล้าตอแยกับกิจการของหมู่ตึกบูรพาอีกเลย

เหตุใดคราวนี้จึงมีโจรร้ายกล้ามาปล้นชิงเรือสินค้าซึ่งหน้าได้?

“จากร่องรอยระบุว่าเป็นพวก....” ชายชุดครามศรีษะล้านชะงักเสียงท้ายลง สายตาเหลือบมองปึงเพียวเซาะด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

นาคามูระ โยชิกลับไม่สนใจสายตาของมัน แววตายังจ้องชายผู้นั้นแน่วนิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“หัวหน้าแชใช่เป็นผู้ควบคุมความปลอดภัยของเรือที่ท่าใช่หรือไม่”

ชายศรีษะล้านพยายามกลืนน้ำเหนียวๆลงคอ ตาหลุบต่ำลงกว่าเดิมกล่าวตอบอย่างตะกุกตะกัก

“เป็นข้าพเจ้า...”

ชายศรีษะล้านเหลือบมองปึงเพียวเซาะอีกแวบหนึ่ง แต่เมื่อตาของมันหันกลับมาประสานกับดวงตากลมโตไร้อารมณ์ของบุรุษเหล็กแห่งหมู่ตึกบูรพาจึงค่อยกล่าว “คาดว่าเป็นการกระทำของพวกแก๊งมังกรวารีดำ”

“พวกมันหากินอยู่ทางชายทะเลเกาะพู้ซึ้งไฉนตอนนี้มาอยู่บริเวณนี้ได้!” บุรุษหนุ่มหน้าขาวตะคอกถามจนชายศรีษะล้านเผลอปัดถ้วยน้ำชาหล่นลงบนพื้น

“นี่...นี่...กลับไม่ทราบได้ แต่เครื่องกายของพวกมันระบุชัดว่าเป็นแก๊งมังกรวารีดำไม่แปลกปลอม”

บุรุษหน้าขาวแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “แฮะ...ถ้าพวกมันแต่งชุดของหมู่ตึกบูรพา ท่านมิคิดว่าพวกมันเป็นคนของเรารึ”

“นี่...นี่...” ชายศรีษะล้านอับจนถ้อยคำไม่อาจกล่าววาจาอีก

“พวกมันมีกำลังมาเท่าไหร่” น้ำเสียงนาคามูระ โยชิ ยิ่งไต่ถามยิ่งจริงจังเคร่งเครียด

“เป็นมือดีทั้งสิ้นจำนวนประมาณห้าสิบคน” ชายหน้าผากกว้างไว้หนวดเครากระจุกเล็กๆใต้คางอ้อมแอ้มตอบ

“...เพียงห้าสิบคนก็สามารถชิงเรือสินค้าของเราได้” รังสีเย็นยะเยียบในดวงตาพุ่งวาบใส่ชายวัยกลางคนทั้งห้า จนทั้งห้าสะดุ้งเฮือกรู้สึกถึงรังสียะเยือกที่ปะทะร่างพวกตน แต่ละคนดั่งถูกพลังไร้สภาพที่แผ่จากร่างโยชิหลอมละลายเรี่ยวแรงคล้ายสูญสลายไปจนสิ้น ต่างยิ่งกระสับกระส่ายหันไปมองหน้ากันสลับไปมา มือไม้ไม่อาจควบคุมได้ วาจาที่คิดกล่าวล้วนกลืนคงลำคอไปสิ้น

“คนเพียงห้าสิบสามารถชิงเรือของเราที่มีเวรยามสองร้อยคนเฝ้าอยู่ได้ยังไง” คำถามนี้เฉพาะเจาะจงไปที่ชายหน้าปุปะ

ชายหน้าปุปะกลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบาก “เมื่อใกล้รุ่งได้รับรายงานว่าท่านโยชิและกงจื้อถูกลอบวางยาสลบ กำลังคนส่วนใหญ่จึงเคลื่อนย้ายกลับมาคุ้มครองกงจื้อที่นี่ ตอนที่เกิดเรื่องเหลือคนคุ้มกันสินค้าที่ท่าเรือเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้น”

ปึงเพียวเซาะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนอีกครั้ง มีคนลอบวางยาท่านโยชิกับกงจื้อ ใครกันที่มีขวัญเทียบฟ้าขนาดนั้น? พลางบอกกับตนเอง...กงจื้อเจ้าสำราญแห่งหมู่ตึกบูรพาคงเป็นบุรุษหน้าขาวเจ้าอารมณ์ผู้นี้แน่

“นี่เป็นคำสั่งผู้ใด” น้ำเสียงราบเรียบ แต่ผู้รับฟังกลับเหงื่อใหลโทรมกาย ด้วยทราบความหมายของคำถามนี้เป็นอย่างดี

“ข้าพเจ้าเห็นว่าความปลอดภัยของกงจื้อ” ชายหน้าปุปะยังพยายามอธิบายยิ่งพูดยิ่งสั่นเครือ

“เหตุการณ์เมื่อเช้าข้าพเจ้าประเมินแล้วว่าคนร้ายที่ลอบเข้ามาควรมีเพียงคนเดียว เพราะไม่พบร่องรอยว่าจะมีพรรคพวกแอบสุ้มอยู่ภายนอก กำลังเวรยามตามปกติที่ดูแลรอบหอย่อมเพียงพอที่จะให้ความปลอดภัยกงจื้อ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงติดตามคนร้ายออกไปอย่างวางใจ”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายหน้าปุปะ “หัวหน้าลี้...ข้าพเจ้ามิใช่ทารกแล้ว!” บุรุษหน้าขาวทั้งขุ่นเคืองทั้งรู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง

โยชิกวาดสายตาไต่ถามหัวหน้าสาขาทั้งห้า “พวกท่านมีข้อเสนออย่างไร”

“รีบออกตามเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามั่นใจต้องไล่ตามพวกมันทันก่อนค่ำวันนี้” ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งนิ่งเงียบมาตลอด กล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก

นาคามูระ โยชิพยักหน้า “หัวหน้าฮวงตระเตรียมเรือเราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” สั่งการกับชายร่างสูงใหญ่ แล้วหันไปกล่าวกับชายร่างอ้วน “หัวหน้าเซียจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หัวหน้าแชกับหัวหน้าลี้ ครั้งนี้ให้มันสองคนเป็นกองสอดแนมส่งเรือเร็วติดตามล่วงหน้าไปก่อน คอยส่งร่องรอยพวกแก๊งมังกรวารีดำให้เราทราบเป็นระยะ...เห็นแก่พวกท่านเป็นห่วงความปลอดภัยของกงจื้อจึงเลินเล่อ หากคราวนี้ได้เรือกับสินค้ากลับคืนเพียงลดตำแหน่งคนละสามชั้น ไม่เช่นนั้นให้ทำงานเป็นเด็กรับใช้ในเรือหัวหน้าเซียตลอดชีวิต”

สีหน้าแววตาของอดีตหัวหน้าแซ่แชและแซ่ลี้มีแววตื้นตันยินดีอย่างยิ่ง มันล้มลงกราบกราน นาคามูระ โยชิ และ โยชิโอกะ ริวจิ ไม่หยุดหย่อนจนหัวหน้าแซ่ฮวงต้องฉุดพวกมันลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากห้อง

บัดนี้ริวจิจึงค่อยเอะใจ หันมาสำรวจชายแปลกหน้าตั้งหัวจรดเท้า ชายกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งทั่วตัวผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงตามท่านโยชิเข้ามาในนี้ได้

นาคามูระ โยชิ แนะนำคนทั้งสองอย่างรวบรัดยิ่ง “กงจื้อของหมู่ตึกเราคุณชายโยชิโอกะ ริวจิ ท่านนี้คือประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง...คุณชายปึงเพียวเซาะ”

ริวจิที่กำลังหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มถึงกับแทบสำลักออกมา ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองชายมอซอไม่วางตา

บรรดาหัวหน้าสาขาของหมู่ตึกบูรพาที่กำลังเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบต่างหันกลับมามองปึงเพียวเซาะเป็นตาเดียว พวกมันไหนเลยจะเชื่อว่านี่คือบุรุษที่อาศัยกำลังเพียงคนเดียวทำลายค่ายกระบี่เจ็ดดาวของบู๊ตึ๊งได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี!

นาคามูระ โยชิดูจะฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ หันไปกล่าวกับปึงเพียวเซาะ “มีคนผู้หนึ่งต้องการให้ท่านพบ” กล่าวจบมันก็ไม่รอให้อีกฝ่ายถามสิ่งใด รีบก้าวยาวๆออกจากห้องไป

ปึงเพียวเซาะรู้สึกยิ่งอยู่ที่นี่นานยิ่งมีเรื่องงุนงงให้ขบคิดไม่หยุดหย่อน สถานที่นี้ยังมีผู้ใดที่ต้องการพบตน เมื่อหันไปคิดจะไถ่ถามริวจิ กลับพบว่าตอนนี้ริวจิยิ่งทำหน้านิ่วหงุดหงิด คล้ายไม่พอใจที่ท่านโยชิจะนำคนผู้นั้นมาพบตน เป็นเช่นนี้วาจาที่คิดกล่าวจึงกลืนลงคอเสีย มันไม่เข้าใจสิ่งใดได้แต่หาวหวอดๆอีกมันง่วงอย่างยิ่งจริงๆ แต่ประสาททุกส่วนก็ต้องตื่นขึ้นโดยพลันเมื่อได้ยินเสียงเล็กแหลมเรียกชื่อมันอย่างตื่นเต้นระคนยินดี

“พี่เพียวเซาะเป็นท่านจริงๆ” ดรุณีนางหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับ นาคามูระ โยชิ เมื่อเห็นหน้าปึงเพียวเซาะชัดถนัดตาก็โผเข้าหาร่ำไห้ไม่หยุด

“น้องเพ็กเหล็ง!” ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงขยี้ตาอย่างไม่เชื่อถือ ตนมิได้ตาฝาดไปแม้ไม่พบหน้ากันสิบปีแต่มันยังจำดรุณีนางนี้ได้แม่นยำ นางคือม่อย้งเพ็กเหล็งศิษย์ผู้น้องของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!

เหตุใดน้องเพ็กเหล็งจึงมาอยู่ที่นี่...เป็นเรื่องราวใดกัน...พี่แป๊ะเฮาะล่ะเวลานี้อยู่ที่ไหน?

ม่อย้งเพ็กเหล็งแอบเข้าไปอยู่ด้านหลังปึงเพียวเซาะร่ำร้องน้ำตาออกมาเต็มเบ้า

ชี้หน้าริวจิอย่างไม่เกรงใจ “พี่เพียวเซาะ ท่านต้องจัดการให้ข้า...มันๆรังแกข้า”

โยชิโอกะ ริวจิ ยิ่งตะลึงลานไม่น้อยกว่าปึงเพียวเซาะ จ้องมองม่อย้งเพ็กเหล็งอย่างเคลิบเคลิ้ม ไม่คาดว่าดรุณีผู้นี้เมื่อพผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งกายเยี่ยงสตรีแล้วจะงดงามถึงเพียงนี้ รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร เส้นผมสีน้ำตาลแดงเป็นประกาย ดวงตาดำสนิท ผิวเนียนสีน้ำตาลผิดแผกจากชาวตงง้วนยิ่งขับให้บุคลิกโดดเด่นสะดุดตา ไม่ว่าผู้ใดหากได้เห็นแม้เพียงชั่วแวบเดียวยังต้องติดตาตรึงใจอดเหลียวหันมามองอีกครั้งมิได้ เวลานี้แม้คิดเอ่ยปากชมความงามของนางก็กลับกลายเป็นพูดไม่ออกแล้ว ตอนนี้มันทราบแล้วนางมีชื่อว่า ‘เพ็กเหล็ง’

“พวกมันคิดใช้ข้าล่อให้ศิษย์พี่ออกมา...พวกมันคิดร้ายต่อศิษย์พี่...พี่เพียวเซาะท่านต้องจัดการพวกมันให้กับข้า”

หลังจากที่โยชิออกติดตามเสียงขลุ่ยของปึงเพียวเซาะไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว นางก็ถูกกักตัวอยู่ในห้องด้านข้างถัดจากห้องของโยชิ ริวจิส่งสาวใช้สองคนมาปรนนิบัติ ทั้งยังเตรียมเสื้อผ้าให้นางพลัดเปลี่ยน นางนั่งอยู่ในห้องด้วยความกระวายไม่รู้ว่ากงจื้อจอมเจ้าชู้จะเข้ามาก่อกวนอีกเมื่อไหร่ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดบุรุษผู้นั้นกลับเงียบหายไปไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลย จนเมื่อครู่ปีศาจหน้าตายจึงเข้าไปบอกนางให้ออกไปพบคนผู้หนึ่ง นางได้แต่เดินตามมาอย่างหงุดหงิดว้าวุ่นใจไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะมีลูกไม้อะไรอีก แต่พอก้าวเข้าห้องมาก็ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะแทบไม่เชื่อสายตาว่าบุรุษที่ยืนอยู่ในห้องจะเป็นพี่เพียวเซาะ

ปึงเพียวเซาะยิ่งมึนงงไปหมดจับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูกจริงๆ คำถามมากมายพรั่งพรูอยู่ในสมอง แต่กลับไม่รู้ควรเริ่มต้นเอ่ยถามเรื่องใดก่อนดี

นาคามูระ โยชิ กล่าวกับทั้งสองคน “พวกท่านไปได้แล้ว ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องสะสาง”

ปึงเพียวเซาะแสร้งทำตาโต “ข้าไม่เคยแล่นเรือท่องทะเลมาก่อนเลย ท่านไม่คิดเชื้อเชิญข้าบ้างหรือ”

“ท่านมีเจตนาอะไรกันแน่” แววตาเคร่งเครียดจ้องปึงเพียวเซาะเขม็ง มือที่ปล่อยตามสบายข้างลำตัวกำขึ้นเล็กน้อย

บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้นจริงจัง “ข้ายังติดค้างท่านเรื่องหนึ่ง”

“ท่านติดค้างข้าพเจ้า?” สีหน้ายังเฉยชาแต่คิ้วหนาขมวดขึ้นเล็กน้อย

“เมื่อครู่ท่านช่วยพี่น้องของข้า”

“นั่นเพราะข้าพเจ้าแพ้พนันท่าน”

“ข้าความจริงเพียงคิดขอร้องท่านไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เท่านั้น แต่ท่านกลับเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยพี่น้องของข้า”

นาคามูระ โยชิกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านย่อมดูออกถึงอย่างไรพวกนางก็ต้องทำลายวงล้อมได้อย่างแน่นอนจะช้าหรือเร็วเท่านั้น”

ปึงเพียวเซาะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง คล้ายยังสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย “ท่านหมายความว่าเรื่องนี้ข้าไม่ติดค้างท่าน”

บุรุษเหล็กตอบอย่างหนักแน่น “ใช่”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงนิ่งไปครู่ใหญ่ หันไปมองม่อย้งเพ็กเหล็งแล้วกล่าวว่า “แต่ตอนนี้ข้ากลับติดค้างท่านอีกเรื่องหนึ่งแล้ว”

“ท่านยังติดค้างข้าพเจ้าเรื่องใดอีก?”

“ท่านสามารถกักตัวน้องเพ็กเหล็งไว้ได้ แต่กลับยินยอมปล่อยตัวนางให้กับข้า”

“ข้าพเจ้ารั้งตัวนางไว้เพียงเพื่อต้องการให้จอมยุทธอี้ปรากฏตัวเท่านั้น”

“ตอนนี้ท่านไม่การพบพี่แป๊ะเฮาะแล้ว”

“ย่อมยังต้องการ”

“เช่นนั้นใยไม่รั้งตัวน้องเพ็กเหล็งไว้กลับปล่อยให้นางกลับไปกับข้า”

“เพราะข้าพเจ้ามีธุระต้องสะสางไม่อาจประลองกับจอมยุทธอี้ในช่วงนี้ได้อีกแล้ว”

ยิ่งพูดคุยกับโยชิ ปึงเพียวเซาะยิ่งรู้สึกคนผู้นี้เปิดเผยจริงใจอย่างยิ่ง ยิ่งรู้สึกนับถือเลื่อมใสถูกชะตาอย่างไรกับคนผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก “หากข้ายังคิดติดตามท่านไปด้วย”

นาคามูระ โยชิ เพ่งลึกลงไปในดวงตาปึงเพียวเซาะราวกับต้องการค้นหาให้ได้คำตอบว่าบุรุษผู้นี้ต้องการสิ่งใดกันแน่ ในแววตาคู่นั้นไม่มีแววเจ้าเล่ห์หรือมีเจตนาร้ายแอบแฝง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า

“ท่านไปกับข้าพเจ้าได้”

“พี่เพียวเซาะ ข้าติดตามท่านไปด้วย หากอยู่ที่นี่ต้องมีคนรังแกข้าอีกแน่ๆ” ม่อย้งเพ็กเหล็งรีบกล่าวออกมาอย่างรีบร้อน บัดนี้นางมีเพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้นที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวได้

วาจาอ่อนโยนปลอบดรุณีขึ้นเบาๆ “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่จะเหมาะกว่า ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครทำร้ายเจ้าอีกแล้วข้ารับประกันได้” เมื่อประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงเอ่ยปากเช่นนี้ หากยังมีใครคิดล่วงเกินนางเท่ากับจงใจเป็นศัตรูกับหมู่ตึกตระกูลปึงแล้ว

“ไม่ๆ ข้าจะไปกับท่าน” นางยังร่ำที่จะไปด้วยอย่างไม่ลดละ

“พี่แป๊ะเฮาะจะว่าอย่างไรล่ะ”

“ข้าอยู่กับท่าน ศิษย์พี่ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นห่วงหรอก พี่เพียวเซาะไม่ปล่อยให้ใครรังแกข้าแน่นอน” ดวงตาคมกริบเปี่ยมแววแค้นขึงถลึงจ้องไปที่ริวจิ

คนทั้งสองยิ่งกล่าววาจาสนิทสนม คำก็พี่เพียวเซาะ สองคำก็พี่เพียวเซาะ ริวจิหงุดหงิดงุ่นง่านมันไม่พอใจอย่างยิ่ง ดรุณีน้อยที่มันให้ความสนใจกลับแสดงท่าทีสนิทสนมกับปึงเพียวเซาะถึงเพียงนี้

หัวหน้าแซ่ฮวงที่ออกไปตระเตรียมเรือกลับเข้ามารายงานว่าเรือที่เหลืออยู่สามลำพร้อมออกเดินทางแล้ว

นาคามูระ โยชิ เพียงพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยขึ้นกับริวจิ “ท่านรออยู่ที่นี่จะเหมาะกว่า”

ริวจิรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอน “ให้ข้าพเจ้าไปกับท่านด้วย” แววตาทั้งคู่จ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่งคล้ายต้องการยืนยันความตั้งใจของตนเอง

นาคามูระ โยชินิ่งยืนครุ่นคิดอยู่เป็นเนิ่นนาน ดวงตาสีเหล็กจ้องริวจิกลับ ใบหน้าเฉยชามีแววอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ท่านไปกับข้าพเจ้าด้วย”

ริวจิยิ้มกว้างด้วยอาการลิงโลด มองโยชิด้วยแววตาสำนึกขอบคุณ แล้วเดินนำลิ่วออกจากห้องไป โยชิหันมาพยักหน้ากับปึงเพียวเซาะแล้วทั้งหมดจึงเดินออกไปพร้อมกัน

เรือขนาดใหญ่สามลำแล่นเด่นเป็นสง่าอยู่กลางมหานทีแยงซี กินลมแล่นฉิวออกจากท่ามาครึ่งค่อนวันแล้ว ด้วยความสามารถของนายท้ายเรือของหมู่ตึกบูรพาเวลากว่าครึ่งวันกลับยังไม่สามารถตามพวกโจรที่ขโมยเรือสินค้าทัน แสดงว่าพวกมันต้องเชี่ยวชาญทางน้ำอย่างยิ่งเช่นกัน

แต่ขณะนี้ผู้คนบนเรือดูจะปลอดโปร่งหมดความกังวล อาการตึงเครียดคลายลงไปเกือบสิ้น เพราะทุกคนล้วนเชื่อมั่นในตัว นาคามูระ โยชิและขุมกำลังของพวกตน ตอนนี้เหลือเพียงเวลาเท่านั้น ต่างตนต่างเปี่ยมความมั่นใจ กระเหี้ยนกระหือรือต้องการสร้างผลงาน ยามว่างนั่งตระเตรียมอาวุธของตนให้พร้อมมือ

นอกจากบุคคลชั้นหัวหน้าที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว กำลังคนทั้งหมดของหมู่ตึกบูรพาล้วนเป็นชาวยุทธตงง้วน คนเหล่านี้ท่าทางจงรักภักดีกับหมู่ตึกบูรพายิ่ง...

โยชิโอกะ ริวจิ ยืนมองจ้องปึงเพียวเซาะเขม็งนับตั้งแต่ขึ้นมาบนเรือ

“หน้าข้ามีอะไรผิดปกติหรือ”

ริวจิแค่นหัวเราะในลำคอ “เฮอะ...ท่านเก็บตัวอยู่ภายในหมู่ตึกตระกูลปึงมาสิบปี เหตุใดจู่ๆจึงออกเดินทางมาถึงที่นี่ ท่านคิดเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรใช่หรือไม่? หรือท่านก็ต้องการคัมภีร์พันอักษร?”

ปึงเพียวเซาะยิ้มแย้มยิ่ง บุรุษหนุ่มผู้นี้กล้าถามคำถามนี้กับตนโดยตรงทั้งที่ตนดูออกว่ากงจื้อคนนี้ครั่นคร้ามในชื่อเสียงของตนอยู่ไม่น้อย โยชิโอกะ ริวจิแม้มีท่าทีเป็นบุรุษสำราญแต่กลับตรงไปตรงมาเปิดเผยอย่างยิ่งไม่ต่างจากท่านโยชิเลย

“ข้าแค่แวะมาเยี่ยมเยียนสหายเก่า”

ม่อย้งเพ็กเหล็งซึ่งยืนไม่ห่างปึงเพียวเซาะเอ่ยขึ้น “แล้วพี่เพียวเซาะไม่สนใจหรือ หากชนะการประลองย่อมได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ทั้งยังได้คัมภีร์อันดับหนึ่งไว้ครอบครอง”

ปึงเพียวเซาะหัวเราะทำท่าคล้ายยกไหสุราขนาดใหญ่ขึ้นดื่ม “ข้าชอบเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งมากกว่า”

แววตาเคลือบแคลงไม่เชื่อถือฉายจากดวงตาริวจิ “คุณชายปึงต้องไม่ใช่ขี้เมาอันดับหนึ่งแน่ๆ เพราะขี้เมาอันดับหนึ่งย่อมต้องไม่สนิทสนมกับท่านโยชิขนาดนี้” น้ำเสียงมีแววประชดประชันเล็กน้อย “ทั้งยังไม่สามารถเดินในเรือของหมู่ตึกบูรพาได้เหมือนเดินในบ้านตนเองเช่นนี้”

ม่อย้งเพ็กเหล็งกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นางทั้งตื่นเต้นทั้งยินดีอย่างยิ่งที่พี่เพียวเซาะยอมออกจากบ้านมาพบปะผู้คน ยามอยู่กับพี่ชายคนนี้นางไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว

“ที่แท้พี่ต้องการเป็นขี้เมาอันดับหนึ่ง ข้าเองความจริงก็ต้องการเป็นเจ้าของหมู่ตึกอันดับหนึ่ง”

ริวจิยิ้มเยาะ กล่าวเหน็บแนม “จอมยุทธอี้ย่อมต้องการเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้วยแน่นอน”

“นั่นเป็นเรื่องของศิษย์พี่ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย” นางหงุดหงิดยิ่งเมื่อได้ยินเสียงคนผู้นี้ นางรบเร้าให้ปึงเพียวเซาะจัดการสั่งสอนริวจิให้กับนางหลายครั้ง แต่ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงพอรู้ว่าชายหลังค่อมที่ตนเห็นเมื่อคืนเป็นน้องจอมซนผู้นี้ถึงกับหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด

ปึงเพียวเซาะจึงเข้าใจเหตุการณ์วิ่งไล่กันไปมาเมื่อคืนกระจ่าง น้องเพ็กเหล็งมีขวัญกล้าจริงๆ ถึงกับลอบวางยาท่านโยชิและพวกพี่พู้ย้งในคืนเดียวกัน...

พอมันถามไถ่เหตุผล “เจ้าทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร...พี่แป๊ะเฮาะรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

นางได้แต่อึกอักตอบเลี่ยงๆ “พี่แป๊ะเฮาะย่อมไม่ทราบเรื่อง...”

ซักไซ้ไล่เลียงอย่างไรนางก็อึกอักอ้ำอึ้งตอบไม่เต็มปากสักคำถาม ในเมื่อนางไม่อยากตอบ ประมุขตึกตระกูลปึงก็คร้านที่จะถามต่อไปเช่นกัน

ม่อย้งเพ็กเหล็งทุ่มเถียงกับริวจิโดยไม่ยอมอ่อนข้อ “ข้าจะทำให้หมู่ตึกตระกูลม่อย้งของข้าเป็นหมู่ตึกอันดับหนึ่งต่างหาก ใครจะอยากได้หมู่ตึกพันอักษรกัน...” นางไม่เข้าใจไฉนพี่เพียวเซาะจึงต้องการเดินทางมากับคนพวกนี้...แต่คิดอีกที...นี่กลับเป็นโอกาสดียิ่งแผนวางยาไม่สำเร็จนางคิดฉวยโอกาสนี้ดำเนินแผนอื่นอีก

ริวจิหูผึ่งอีกครั้งมันเพิ่งทราบดรุณีน้อยนางนี้แซ่ ‘ม่อย้ง’ ขณะคิดจะหยอกเย้านางต่ออีก ก็เห็นหัวหน้าแซ่ฮวงเดินเข้ามาคาดว่าคงมีข่าวคราวส่งมา จึงรีบยุติการสนทนากับนางไว้ก่อน

หัวหน้าแซ่ฮวงก้าวจากกราบเรืออีกด้านเข้ามาคำนับริวจิด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ แล้วขออนุญาติเข้าไปรายงานความคืบหน้ากับโยชิที่อยู่ในห้องท้องเรือด้านใน หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่นาคามูระ โยชิ จึงเดินออกมา

“หน่วยเรือเร็วกลับมารายงานว่า พบเรือที่ถูกปล้นไปจอดอยู่ที่ฝั่งทางคุ้งน้ำข้างหน้า คาดว่าพวกมันกำลังขนถ่ายสินค้าเพื่อเดินทางต่อทางบก”

“พวกมันคงคิดถ่ายสินค้าแล้วแล่นเรือเปล่าให้เราไล่ตาม...เฮอะ...พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าเราจะติดตามมารวดเร็วขนาดนี้” ริวจิกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

นาคามูระ โยชิยังหันไปไต่ถามหัวหน้าแซ่ฮวงอีก “เจ้าเห็นพวกมันขนถ่ายสินค้ากับตาหรือไม่”

“ใช่! ถึงจะเฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่ก็เห็นอย่างถนัดชัดเจน”

“ท่านโยชิหากเรารีบลงเรือเล็ก อาศัยจังหวะที่พวกมันยังขนถ่ายสินค้าไม่ทันเสร็จ จู่โจมไม่ให้มันตั้งตัวกวาดล้างพวกมันให้หมดในคราวเดียว”

“ฉวยโอกาสตอนคนอื่นไม่ทันตั้งตัว หมู่ตึกบูรพาช่างเป็นผู้กล้าน่านับถือจริงๆ” ม่อย้งเพ็กเหล็งฉวยโอกาสเหน็บแนมซึ่งหน้า

ริวจิไม่เพียงไม่มีโทสะยังอธิบายอย่างยิ้มแย้ม “แก๊งมังกรวารีดำเป็นโจรสลัดเที่ยวปล้นสะดมชาวเรือไปทั่ว กับคนพวกนี้ไม่ว่าวิธีไหนล้วนใช้ได้ทั้งนั้น” เวลานี้ไม่ว่าแม่นางผู้นี้เอ่ยสิ่งใดมันไม่อาจมีโทสะได้จริงๆ

ม่อย้งเพ็กเหล็งท่าทางตื่นตกใจหน้าซีดพึมพำเบาๆอยู่คนเดียว “แก๊งมังกรวารีดำ...หรือเป็นพวกมัน!”

“เจ้ารู้จักพวกมันหรือ...” ปึงเพียวเซาะยืนอยู่ข้างนางจึงได้ยินที่นางพึมพำถนัด ทั้งยังอดสงสัยท่าทีตื่นตระหนกของนางไม่ได้

ดุรณีเจ้าของเสียงเหมือนกำลังชั่งใจควรกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมาดีหรือไม่ แต่ในที่สุดคำพูดเหล่านั้นก็ถูกหลุบหายลงคอไป พลางกล่าวกลบเกลื่อน “เปล่าๆ...ข้าเพียงแค่รู้สึกคุ้นๆชื่อ”

นาคามูระ โยชิมองไปยังโค้งน้ำเบื้องหน้า มีภูเขาสูงตั้งอยู่สองฟากตรงโค้งน้ำพอดี ทำให้ไม่สามารถเห็นลำน้ำที่อยู่หลังโค้งน้ำได้ จึงไต่ถามด้วยความสุขุมยิ่ง “เรือของเจ้าไปถึงโค้งน้ำเบื้องหน้าหรือไม่”

“ท่านยังติดใจอะไรหรือ รีบนำเรือเล็กออกติดตามพวกมันเถอะ” ริวจิเร่งเร้าให้โยชิ ด้วยกระตือรือร้นต้องการปะทะกับพวกมันโดยไว

“โค้งน้ำเบื้องหน้าสภาพไม่น่าไว้วางใจ...พวกเจ้าตรวจตราดูแถวนั้นแล้วหรือไม่”

“พวกเราตรวจดูแน่แล้ว ไม่มีพวกมันสุ่มกำลังอยู่แน่นอน”

“ท่านโยชิวิตกเกินไปแล้ว เราอย่าเสียเวลาเลยหากไม่รีบติดตาม พอพวกมันขนถ่ายสินค้าเสร็จเราจะคลาดได้ตัวพวกมัน อย่ารีรออยู่เลย” ครั้งนี้ริวจิคิดใช้เป็นโอกาสแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ประจัก ผู้อื่นรับทราบแต่มันมีฝีมือในเชิงสุรา นารี ไม่เคยมีผู้ใดทราบความร้ายกาจของดาบยาวข้างเอวของมัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงมันจะเป็นกงจื้อผู้สืบทอดหมู่ตึกบูรพาแต่ทั้งท่านพ่อและท่านโยชิ ต่างถนอมมันยิ่งกว่ากงจู้ผู้สูงศักดิ์ มิเคยให้มันปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตรายสมฐานะของมันเลยสักครั้ง

งานส่วนมากที่มันได้รับหากไม่เป็นการต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อ ขุนนางคนสำคัญก็เป็นการคุมเรือสินค้าที่มีเรือคุ้มกันอย่างหนาแน่น นั่นนับว่าน่าตื่นเต้นเร้าใจตรงไหน

มันย่อมทราบถึงความห่วงใยของเหล่าผู้อาวุโส ทั้งไม่เคยโกรธเคืองพวกท่าน...มันทราบถึงเหตุผลที่พวกท่านกระทำเช่นนี้กระจ่างยิ่ง...นี่เป็นเรื่องของตัวมันเองมันย่อมทราบดียิ่งกว่าผู้ใด...

แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นกงจื้อมิใช่กงจู้มันต้องการหลั่งโลหิตอาบเหงื่อบ้างไม่เช่นนั้นต้องเสียทีที่เกิดเป็นลูกผู้ชายแล้ว!

นาคามูระ โยชิยังยืนจ้องโค้งน้ำเบื้องหน้าเขม็ง อีกเนิ่นนานจึงสั่งการเสียงหนักแน่น

“นำเรือเล็กมาเทียบ”

ไม่มีความคิดเห็น: