วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

อิสรภาพที่แท้จริง

Autonomy อิสรภาพที่แท้จริง

A = Autonomy ทุกวันนี้เรากำลังแสวงหาและเรียกร้องอิสรภาพกันมาก เราอยากมีอิสรภาพทางความคิด อิสรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน อิสรภาพทางสังคมและอิสรภาพในการใช้ชีวิต เราพยายามเหลือเกินที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการที่ผูกมัดรัดรึงเราอยู่ เราไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นทาส หรือ ขี้ข้าของสิ่งไดๆ เราไม่ต้องการให้ใครมาจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือล้อมกรอบให้เรา เราต่างก็ต้องการที่ประกาศอิสรภาพความเป็นเอกราชในแบบที่เราต้องการ อยากทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ

 

การมีอิสรภาพที่จะทำอะไร ก็ได้ตามที่ใจต้องการ ยังไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง เพราะนั่นยังถือว่าเป็นทาสของความต้องการ ที่จะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด ความอยากและความต้องการ หมายถึงเรากำลังตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว โดยที่เราหลงคิดว่า นั่นคือ อิสรภาพที่แท้จริง หากว่าเราต้องการอิสรภาพที่แท้จริง สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือต้องตื่นอย่างเต็มที่ ตื่นจากความหลงใหล มัวเมาในสิ่งมอมเมาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ที่ชอบใจ การที่พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็น พุทโธ นั่นก็คือ ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระองค์ทรงเป็นผู้ความเป็นรู้ธรรมดาของธรรมชาติ ตามที่มันเป็นอยู่ ทรงเป็นผู้ตื่นจากความหลง ในกิเลส ตัณหา อุปาทาน ความใคร่ ความอยาก และความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง ทรงเป็นผู้เบิกบานด้วยจิตที่ปล่อยวาง เบา โปร่ง โล่ง สบาย มีอิสรภาพที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง

 

พระพุทธองค์ได้ทรงเคยตรัสถึงอิสรภาพและความเป็นทาสที่ถูกจองจำ ซึ่งขอเรียกว่า ตะรางดวงใจ ไว้ว่า "ยังมีคุกตะรางอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่งขังบุคคลไว้โดยคนทั้งหลายไม่ค่อยจะรู้จักกัน นั่นก็คือ ความติดอกติดใจหมกมุ่นพัวพันอยู่ในทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง และในบุตรภรรยา มันเป็นเครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยากเหลือเกิน มันเป็นตะรางดวงใจอย่างแท้จริง

 

คนที่มีอิสรภาพทางกายแต่ขาดอิสรภาพทางใจนั้นดูเหมือนจะน่าเดือดร้อนรำคาญกว่าผู้ขาดอิสรภาพทางกายเสียอีก โลกนี้คือคุกที่กว้างใหญ่ สัตว์ทั้งหลายผู้ที่มีใจเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังเบียดเบียนกัน ยื้อแย่งแข่งดีกันอยู่นั้น จะผิดอะไรกับไก่ในกรงซึ่งเขานำไปสู่ที่ฆ่า แต่ยังจิกตีกันอยู่ เพื่อยื้อแย่งข้าวเปลือกกันอยู่นั่นเอง ..."

 

ท่ามกลางโลกที่เจริญมั่งคั่งด้วยวัตถุและเทคโนโลยี่ อินเตอร์เนตในยุคปัจจุบันที่ดูเหมือนจะทำให้เรามีอิสรภาพที่ไร้พรมแดน ย่อโลกไว้ในฝ่ามือ รู้ข่าวสารทั่วโลกได้ฉับไว ต้องการอะไรที่ไหนเพียงแค่คลิกเข้าไป เราก็ได้ตามต้องการ ... แต่ทำใมความเดือดร้อน วุ่นวาย และปัญหาต่างๆของคนในโลกจึงไม่ยอมหมด นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ? วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ไม่อาจตอบโจทย์ข้อนี้ได้เลย อยากให้ผู้อ่านลองกลับไปทวนย่อหน้าก่อนนี้อีกครั้งที่เกี่ยวกับพุทธพจน์ ...

 

จะเห็นว่าจริงตามนั้นเลยว่า อิสรภาพที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับทางกายหรือโลกภายนอกเลย ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วิทยาศาสตร์ หรือ เทคโนโลยี่ไดๆเลย แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ จิตวิญญาณ อิสรภาพทางกายหรือโลกภายนอกจะหมดไปเมื่อไรก็ได้ การเมืองอาจพลิกผัน เศรษฐกิจอาจพังพินาศ วิทยาศาสตร์อาจตีบตันได้ เช่นเดียวกับน้ำค้างที่ต้องแสงแดดในยามเช้า สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากเรา อะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ใต้การบัญชาของเรา

 

เราไม่อาจเรียกมันว่าเป็นอิสรภาพที่แท้จริง อะไรก็ตามที่เราบังคับควบคุมมันไม่ได้ แล้วเราต้องทำตามมัน นั่นหมายถึงเรากำลังตกเป็นทาสของมัน และมันกำลังเป็นเจ้านายของเรา ที่จะสั่งบังคับบัญชาเราให้ทำอย่างไรก็ได้ตามใจของมัน อย่างเช่น นายคือความ โลภ โกรธ หลง ที่เรียกว่ากิเลสเหตุเศร้าหมองของจิต ซึ่งตามปกติของจิตใจเรา เมื่อไม่มีกิเลสรบกวนหรือครอบงำ ย่อมมีความผ่องใส สะอาด ว่าง สงบอยู่โดยธรรมชาติ เหมือนน้ำในอ่าง ที่ใสสะอาดอยู่ แต่เมื่อถูกความโกรธครอบงำ จิตย่อมกระวนกระวายเราร้อน อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนน้ำที่เต็มด้วยฝุ่นผง

 

เจ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ว่า จึงเป็นอริราชศัตรูต่อความสงบสุขของจิตใจ แทนที่จะให้เจ้าสามตัวนี้ครอบงำเป็นนายเรา เราลองมาเป็นนายครอบงำมันบ้าง เราต้องออกมาประกาศอิสรภาพ เอกราชจากพวกนี้เสียที และทุกครั้งที่เราเป็นนายควบคุมอารณ์เหล่านี้ได้เราจะภูมิใจในตัวเอง เราจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง การเอาชนะตนเองได้ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นชัยชนะที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนที่คิดว่าตนเอาชนะผู้อื่นได้ ด้วยยศ อำนาจ เงินทอง ข้าวของ บริวาร ตัวเลขในบัญชีธนาคาร ตำแหน่งทางการเมือง หรือหน้าตา ความสวยความงามเป็นต้น ที่แท้กลับเป็นผู้แพ้และเป็นทาสผู้น่าสงสารเสียยิ่งกว่า คือตกเป็นทาสของเจ้านายคือกิเลสที่ทารุณโหดร้ายยิ่งนัก

 

มีคำถามว่า เราจะปลดปล่อยความเป็นทาสจากเจ้ากิเลสนี้ได้อย่างไร? แล้วอะไรคือหัวใจของอิสรภาพที่แท้จริง? ผู้รู้ท่านได้บอกไว้ว่า อิสรภาพที่แท้จริง เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระจากอดีต จากอนาคต ปราศจากการผูกมัดกับเรื่องราวในอดีต ไม่ถูกอดีตลากไปข้างหลัง และไม่ถูกอนาคตฉุกกระชากลากถูไปข้างหน้า เป็นอิสระจากจินตนาการ จากความอยาก ความต้องการ อยากโน่น นี่ นั่น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันคือตัวลากให้เข้าไปในอนาคต

 

อดีตและอนาคตนั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วและยังมาไม่ถึง สิ่งที่อยู่กับเราตอนนี้คือปัจจุบัน ผู้ที่อยู่กับปัจจุบันจะไม่ยึดแบกอดีตและอนาคตไว้ เขาจะได้ลิ้มรสของอิสรภาพที่ไม่มีโซ่ตรวน โซ่ตรวนแห่งความทรงจำในอดีต โซ่ตรวนของความต้องการแห่งอนคต มันเป็นโซ่ตรวนที่ผูกชีวิตและจิตวิญญาณไว้ โดยไม่ปล่อยให้ได้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นชีวิตและอิสรภาพที่แท้จริงเลย

 

ปัจจุบันสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งปรากฏในภัทเทกรัตตสูตรว่า

 

"บุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งในปัจจุบันธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ผู้นั้นควรเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ความเพียรควรทำเสียแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะไม่มีใครรู้ความตายในวันพรุ่งนี้"

 

อดีตที่ผ่านมาไม่จะดีหรือไม่ดีก็ไม่ควรหวนคะนึงถึงมัน ปล่อยให้มันผ่านไปไม่ควรคิดให้เปลืองเวลา หรือคิดแก้ไขให้กลับคืนได้ ไม่ต้องบ่นเสียดาย หรือไม่น่าเลย จะทำให้จิตหดหู่ไปซัเปล่า จงเอาจิตมาจับที่ปัจจุบันดีกว่า แม้เรื่องของอนาคต ข้างหน้าก็อย่าไปโน้มน้าวเอามาครุ่นคิด ปรุงแต่งจิตสร้างวิมานในอากาส ฝันกลางวันลมๆแล้งๆ มันยังมาไม่ถึง มันไม่อาจคาดการณ์ได้เลย หากคิดไปก้รังแต่จะว้าวุ่นเปล่าประโยชน์ ให้พยายามตัดสิ่งที่ผ่านไป และอย่าไปคว้าสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จงจับอยู่กับปัจจุบัน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ล่องลอย รู้อยู่กับปัจจุบันขณะ รู้แล้วปล่อย รู้แล้ผละ รู้แล้วละ รู้แล้วาง ... ปล่อย , ผละ, ละ, วาง

 

ปล่อย อดีตที่ผ่านไปทั้งหมดอย่าเก็บมาคิด มาปรุง มาแต่งเติมเสริมต่อให้วุ่นวาย

 

ผละ จากอนาคต สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พรุ่งนี้ไม่มี อย่าไปคาดการณ์อะไรล่วงหน้ามันไม่แน่

 

ละ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นเราเป็นของเราไม่มีอะไรเป็นของเรา

 

วาง ความผูกมัด ยึดติดในอารมณ์สิ่งที่กระทบใจ ให้จิตจับอยู่กับปัจจุบัน เพียงแค่กำหนดรู้ด้วยสติที่สมบูรณ์เพียบพร้อม รู้เฉยๆ รู้แล้วปล่อย อย่าเข้าไปปรุงแต่งมันต่อ

 

เรื่องทั้งหมดทั้งมวลถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นสิ่งที่แยกได้ แต่พอไปยึดมั่นถือมั่นเข้า เริ่มรู้สึกว่าแยกไม่ได้ ขาดไม่ได้ ถึงกับประกาศออกมาว่า ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เพราะจิตคนเราส่วนมากคลุกคลีด้วย โลกียธรรม กามรส ถูกครอบงำด้วย ความสุข ความเพลิดเพลินจากสิ่งใด ก็หมายมั่นผูกพันกับสิ่งนั้น ไม่อยากปล่อยให้หลุดลอยไป คิดว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของมัน แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังเป็นเจ้าของเป็นนายของเรา

 

การจะมีอิสรภาพที่แท้จริง คือการดับเจ้าตัวความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น และการปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งต่างๆได้ ยิ่งยึดมั่นน้อยลงเท่าไร อิสรภาพก็มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอิสรภาพมากขึ้นเท่าไร ความสุขก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่เชื่อลองดูดิ ... .. .

 

HEALTH TODAY CODE

Enlightenment ตื่นรู้อยู่กับความจริง

HEALTH TODAY CODE รหัสแห่งการมีสุขภาพดีตัวที่ ๒ ที่จะได้มาถอดรหัสกันในวันนี้ คือตัว E เป็นอะไรที่มีกุญแจอยู่หลายดอกมาก และกุญแจแต่ละดอกที่ได้มา ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้สูงในการไขรหัสไปสู่การมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ แต่จะมีกุญแจเพียงดอกเดียวเท่านั้นที่เป็น Master Key กุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การเผยความจริงในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ เรามาร่วมกันหากุญแจดอกที่ว่านั้นกันเถอะ

 

E=Eating การกินอยู่

 

ชีวิตที่มีสุขภาพดีเริ่มต้นที่การกินอยู่เป็น การกินอยู่เป็นในชีวิตประจำวัน เช่นการกินอาหาร การใช้สอยและบริโภคสิ่งต่างๆ ตลอดถึงเทคโนโลยี่ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเรา เราต้องรู้และเข้าใจว่าเรากิน เราใช้เพื่ออะไร คุณค่าแท้และสาระมันอยู่ที่ตรงไหน กินอะไร กินทำใม กินอย่างอย่างไร อยู่เพื่ออะไร อยู่ทำใม แลอยู่อย่างไร เมื่อเราคิดถามและคิดตอบได้อย่างนี้ได้ก็จะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจในเป้าหมายชีวิตได้ดีขึ้น พอเรามีการกินอยู่ในชีวิตประจำวันเป็น มันก็คิดเป็นและไม่ตกเป็นทาสของความอยากกิน และอยากอยู่ ทำให้เกิดการอยู่อย่างอยาก กินด้วยความอยาก จะรู้ว่าเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ทุกวันนี้หลายคนต้องตายเพราะการกิน หรือบางคนนั้นก็กินจนตาย ที่คนเราต้องตายเพราะกินกันมาก ไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจนก็เพราะกินไม่เลือก กินไม่เป็น กินไม่ยั้ง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณาก่อนกิน ก่อนใช้ เพราะการกินนั้นทำให้โง่ก็ได้ ทำให้ฉลาดก็ได้ ทำให้สุขภาพแข็งแรงก็ได้ และทำให้ตายก็ได้ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังเรื่องการกินให้มาก กินให้เป็น จะทำให้เรามีการกินอยู่อย่างพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่ตะเกียกตะกายดิ้นรนขวนขวายใล่ตามกระแสความทะยานอยากจนเกินไปจนทำให้ลืมสาระการกินอยู่ที่แท้จริงของชีวิต

 

E= Environment สิ่งแวดล้อม

 

สุขภาพคนเราจะดีหรือจะเสีย จะแข็งแรงหรือจะเสื่อม ชีวิตคนเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ จะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำย่ำแย่ สิ่งแวดล้อมและสังคมนับว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่เหมาะที่ควร มีอากาศที่ดีสะอาดปลอดโปร่ง บรรยากาศที่ร่มรื่น ร่มเย็น ผู้คนในสังคมมีน้ำใจไมตรี มีมิตรภาพเอื้อาทรแบ่งปัน มีรักมีเมตตาต่อกัน คนที่อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ก็จะมีความสุข สุขทั้งกายสุขทั้งใจ สุขภาพก็จะดี แข็งแรง อายุยืน ปราศจากโรคภัยใข้เจ็บ ตรงข้ามกับสิ่งแวดล้อมที่แย่ๆ มีแต่มลภาวะที่เป็นพิษ รถติด น้ำเน่า สกปรกรกรุงรัง ผู้คนไร้มารยาท ขาดน้ำใจ ใช้แต่อารมณ์ กดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ ถามหน่อยเถอะว่า สิ่งแวดล้อมอย่างนี้มันจะน่าอยู่ไหม? หากเราเลือกได้เราควรจะหาสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณต่อชีวิตของเรา

 

คนจีนเขาบอกว่าต้องเลือกฮวงจุ้ยที่ดีถึงจะเป็นคุณต่อชีวิตและกิจการที่ทำ คนไทยบอกต้องรู้จักเลือกดูทำเล ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในมงคล ๓๘ ข้อที่ ๔ ว่า "ปฏิรูปเทสวาโส เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในประเทศ (สิ่งแวดล้อม) ที่สมควรเป็นมงคลอย่างยิ่ง" แม้แต่สิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าคน ก็ต้องเลือดคบเลือกดูให้ดีเช่นกัน คบคนดีชีวิตเราก็ไปดี คบคนไม่ดีมีแต่ลงเหวลงนรก ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนย้ำอยู่เสมอว่า "คบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น" "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" เราต้องรู้จักเลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี เลือกคบคนดีเป็นกัลยาณมิตร พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า "การได้พบกัลยาณมิตร นับเป็นทั้งหมดของการประพฤติพรหมจรรย์" การมีบัณฑิตเป็นสิ่งแวดล้อม จะทำให้เราได้รับสิ่งที่ดีมากมาย ที่สำคัญจะทำเรารู้จักผิดชอบชั่วดี อะไรคือบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ สิ่งแวดล้อมที่ดีจะให้สิ่งดีๆ แก่เราเอง

 

E=Emotion อารมณ์

 

ทุกคนนอกจากมีอายตนะภายนอกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ยังมีอายตนะภายในคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ทุกครั้งที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสีง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง จะต้องเกิดธรรมมารมณ์ หรือ อารมณ์ขึ้น Emotion ที่เรียกว่าอารมณ์มาจากคำสองคำในภาษาอักฤษรวมกัน คือ Energy + Motion หมายถึงการเคลื่อนที่ของพลังงาน ที่เกิดจากการกระทบทางกาย ผ่านมาทางประสาทรับความรู้สึกที่มือเท้า แล้วผ่านไปยังเซลล์ประสาทที่ส่วนหน้าของไขสันหลังซึ่งมีหน้าที่เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ แล้วสมองส่วนข้างในใกล้กับส่วนที่เป็นก้านสมองที่เรียกว่า Amygdala ก็จะรับความรู้สึกตอบสนองแล้วส่งสัญญาณไปสู่สมองที่สูงกว่า เหล่านี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เราจะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ แต่ที่เราต้องรู้ให้ได้ ไม่รู้ไม่ได้คือ อารมณ์ของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะว่ามีอาการอย่างไร ชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉยๆ มีอารมณ์สุข ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกขณะที่มีอะไรมากระทบจิต หากเราตามรู้ทันแล้วควบคุมมันได้เราก็จะไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ แต่หากเราไม่รู้เท่าทันมัน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงขับเคลื่อนของมัน ยอมปรนเปรอ ตอบสนองตามที่มันเสนออยู่ทุกครั้ง มันก็จะเป็นเจ้านายของเรา บังคับบัญชาให้เราทำตามที่มันต้องการอยู่ตลอด

 

อารมณ์ที่เราควบคุมไม่ได้และไม่รู้เท่าทันจะเป็นดุจนายผู้ทารุณ โหดร้าย แต่ตรงกันข้าม หากควบคุมได้และรู้เท่าทันเขาจะเป็นเยี่ยงสหายผู้รู้ใจเป็นดุจกัลญาณมิตร อารมณ์และความคิดเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้สุขหรือทุกข์ ให้ดีหรือร้าย ให้เป็นนางฟ้าผู้อารี หรือเป็นนางยักษ์ขมูขีที่น่ากลัวก็ได้ เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นมา หน้าที่เราต้องมีสติรู้ รู้ว่าใจของเราเป็นเช่นไร สุขหรือทุกข์ ถ้ามันทุกข์ก็ให้รู้ว่าอารมณ์ทำให้เกิดทุกข์ ต้องเปลี่ยนอารมณ์ทันทีที่สติรับรู้ การเปลี่ยนอารมณ์ที่ง่ายๆ คือหยุดความคิดนั้น หยุดด้วยกลับมาที่ลมหายใจ กลับมาอยู่กีบปัจจุบัน กลับมาอยู่กับพุทโธ หากมันจะคิดเรื่องที่ไม่ดี ก็ให้หยุดแล้วให้คิดแต่เรื่องที่ดี หากคิดจะโกรธคนอื่น ก็ให้หยุดแล้วเปลี่ยนมาคิดเมตตาแทน เปลี่ยนอารมณ์ร้ายให้เป็นอารมณ์ดี เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องดีๆ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค แทนที่ ด้วยความดี เช่น

 

- การตำหนิติเตียน เป็นแนะนำ

 

- โกรธ สมน้ำหน้า เป็นเมตตาสงสาร

 

- เหยียบย่ำซ้ำเติม เป็นเห็นใจช่วยเหลือ

 

- อิจฉาริษยา เป็นชื่นชมยินดี

 

- ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เป็นมีสติเยือกเย็น

 

- ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นรู้รัก สามัคคี

 

- จ้องจับผิด เป็นจ้องจับถูก

 

- เอาชนะกันเอง เป็นชนะร่วมกัน

 

- มองโลกในแง่ร้าย เป็นมองแต่ในแง่ดี

 

- กังวลสับสนวุ่นวาย เป็นสุขสงบเบาสบาย

 

อย่าปล่อยให้อารมณ์ขย่มหัวใจอขงเรา เราต้องเป็นจ้าวของอารมณ์ให้ได้

 

อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จงทำเหตุผลให้อยู่เหนืออารมณ์

 

อย่าปล่อยให้จิตใจเป็นทาสของอารมณ์ จงฝึกให้ให้อิสระจากอารมณ์ให้ได้

 

E = Enlightenment การตื่นรู้อยู่กับความจริง

 

ถามว่า "เจ้าปลาตัวน้อยที่แหวกว่ายในสายน้ำ จะรู้บ้างไหมหนอว่ามันอยู่ในน้ำ และโลกนี้ยังมีท้องฟ้าที่สดใส ไกลสุดสายตา ??? ถามว่า เจ้าหนอนตัวเล็กๆที่เกิดและตายในกองอาจม จะรู้บ้างไหมหนอว่ามันอยู่ในสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น และโลกนี้ยังมีดอกไม้ มีน้ำผึ้งที่หอมหวนหวานชื่นใจ ??? และถามต่อไปอีกว่า มนุษย์ผู้ประเสริฐ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ที่เกิดและตายอยู่บนโลกใบนี้ จะรู้บ้างไหมหนอว่าโลกนี้คับแคบและอึดอัดเพียงไร โลกนี้มันน่าอยู่จริงหรือไม่ และโลกที่แท้เป็นเช่นไร ทำใมเราต้องมีรัก เกลียด ยิ้ม และร้องให้ด้วย อยากได้ความสุข ต้องการหนีห่างจากความทุกข์ ???

 

"ถ้ารู้ว่าป่วยต้องกินยา ถ้ารู้ว่าเดินหลับตาให้ลืมตาเสีย ถ้ารู้ว่า ถ้ารู้ว่าหลงทาง ให้หาทางออก ถ้ารู้ว่าทุกข์ ก็ให้รีบออกจากทุกข์" การตื่นรู้อยู่กับความจริง ยอมรับในความจริง แล้วเข้าใจรู้แจ้งในความจริงของสิ่งต่างๆ จะทำให้เราไม่หลงใหล มัวเมา จมปลักอยู่กับมายาสิ่งลวง อยู่กับอารมณ์ที่มันเพียงจรเข้ามาแล้วก็ผ่านไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาของโลก แต่เราไม่รู้ถึงเหตุปัจจัย ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มุ่งแต่สนองความปรารถนาของตน เมื่อไม่เป็นไปตามนั้นก็เดือดร้อน นอนทุกข์ ทรมาน รำคาญใจ เพราะไม่รู้เท่าทันในความจริง

 

ความเป็นธรรมดาของโลก การมีสติปัญญา ตามหลักของพระพุทธศาสนาจะทำให้ตื่นรู้อยู่กับความจริงของชีวิต รู้เท่าทันสภาวะที่มากระทบต่อชีวิตในทุกปัจจุบันขณะ ทั้งทางกายและทางจิตใจเพื่อควบคุมให้จิตใจและร่างกายดำเนินไปตามวิถีแห่งปัญญา คือตื่นรู้อยู่กับความจริง พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่า ความเสื่อมทรัพย์ ญาติ ยศ ลาภ เป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อย แต่การเสื่อมปัญญานั้นเรื่องใหญ่ การได้ทรัพย์ ยศ ลาภ ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การได้ปัญญาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ถ้ามีปัญญาตื่นรู้อยู่กับความจริงแล้วทำให้ได้ความสุขที่ประณีต ความสุขที่ดี ถ้าเราต้องการมีสุขภาพที่ดี มีความสุขที่ดี ก็ต้องแสวงหาปัญญา อยู่กับปัญญา มองทุกอย่างด้วยปัญญาที่ตื่นรู้อยู่กับความจริง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

 

ไม่มีประโยชน์ที่จะถามว่า เราเกิดมาทำใม? โลกนี้น่าอยู่หรือไม่? โลกที่แท้จริงเป็นอย่างไร? เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เราเกิดมาแล้ว สิ่งที่ต้องต้องทำคือใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือ ปัญญา ตื่นรู้อยู่กับความจริง และความเป็นอยู่ที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง ...

จดหมายถึงพ่อ

อ่านคำบรรยายจดหมายถึงพ่อ หนูยังรอวันพ่อกลับบ้าน
กล้ามะละกอที่พ่อเคยหว่าน แยกปลูกไม่นาน ลูกโตน่าดู
* กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู
ทานตะวันชูคอชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา
แม่อธิบายที่พ่อไปทำงาน เพื่อเงินเพื่อบ้านและเพื่อลูกยา
จะมีบ้านโตมีรถโก้สง่า มีหน้ามีตาเหมือนดังใครๆ
พ่อไปคราวนี้แม้จะยาวนาน พวกเราทางบ้านเป็นกำลังใจ
แต่บางคืนแม่สะอื้นร้องไห้ หนูแกล้งทำหลับไปสงสารแม่จัง
ส่วนน้องหญิงยิ่งยามเย็นค่ำ อ้อนประจำเหตุผลไม่ฟัง
ไม่เอาบ้านโตไม่เอาทุกอย่าง จะเอาขี่หลังของพ่อคนเดียว
สุดท้ายนี้ขออวยพรให้พ่ออยู่แดนไกล หัวใจเด็ดเดี่ยว
ขอพระคุ้มครองยามใจห่อเหี่ยว ปกป้องแลเหลียวร่ำรวยกลับมา