วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 1)




บทที่ 1.

ชนบทนอกเมือง...

หมู่บ้านนอกเมืองล้วนมีความเป็นอยู่ไม่แตกต่างกัน

ชาวบ้านต่างตื่นแต่เช้า ภรรยาลุกขึ้นหุงข้าวตักใส่ชามใบโต แล้วผัดผักหลายชนิดอีกหนึ่งจาน ผัดผักจานนั้นไม่มีเนื้อแม้สักชิ้น ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้มีเนื้อกินกันเฉพาะช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเท่านั้น เป็ดไก่จะมีโอกาสได้ลิ้มรสก็ต่อเมื่อถึงวันสารทวันไหว้

สามีลุกขึ้นตรวจดูจอบเสียมเตรียมออกไปไร่นา ส่วนผู้มีอาชีพนายพรานล่าสัตว์ต่างตรวจคันธนูคู่มือ พันเชือกรอบที่จับจนแน่นกระชับเหมาะมือ ง้างสายทดสอบประสิทธิภาพแรงดีด หลังจากกินข้าวชามใหญ่ ผัดผักจานโตต่างคนต่างมุ่งหน้าไปทำงานของตนจนมืดค่ำจึงตรงกลับบ้าน

พลบค่ำภรรยาตักข้าวร้อนกรุ่นใส่ชามใบเดิม เย็นนี้มีต้มเม็ดบัวชามใหญ่ หอมอบอวนด้วยกลิ่นน้ำแกงสีเขียวข้นซึ่งเคี่ยวจากใบบัว ในเวลาเยี่ยงนี้แทบทุกบ้านต่างมีเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวอุ่นจนร้อนอีกกระปุกหนึ่ง นี่คือเวลาพลบค่ำของชนบทนอกเมืองไม่ว่าที่ไหนล้วนเป็นเช่นนี้

ณ หมู่บ้านเทียนเกี๊ย ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ

แสงอาทิตย์สีเหลืองเข้มครอบคลุมขอบฟ้าดุจแพรทองผืนใหญ่

แต่ประกายเจิดจ้าเหนือฟากฟ้าของม่านแสงยามอัสดงกลับต้องอันตรธานไปในพริบตา เมื่อรัศมีของมันทอดลงกระทบบนสิ่งๆหนึ่ง...

เป็นเกล็ดหิมะ...เกล็ดหิมะสีขาวละเอียดนุ่มนวลประดุจใยไหม

บัดนี้มันได้ถืออภิสิทธิ์เข้ายึดครองผืนดินทุกหนแห่งภายในหมู่บ้านนี้ ไม่ยินยอมละเว้นแม้ปลายยอดหญ้าที่อ่อนไหวและบางเบาอย่างยิ่ง

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยตั้งอยู่นอกเมืองจุงกิงประมาณสี่ลี้

เมืองจุงกิงเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญด้วยมีแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นทางออกสู่ทะเล หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมสายใหญ่ใช้ลำเลียงสินค้าจากเมืองต่างๆเพื่อมุ่งสู่มหานครแห่งความมั่งคั่ง

: ถนนสายใหญ่ซึ่งตัดผ่านกลางหมู่บ้านคราคร่ำไปด้วยผู้คน รถม้าและเกวียนบรรทุกสินค้าอยู่ตลอดเวลา พื้นดินถูกล้อเกวียนเกือกม้าเหยียบย่ำจนอัดแน่น ดุจปูลาดด้วยแผ่นหินหนาแกร่งตลอดทั้งสาย พ่อค้าใหญ่ พ่อค้าเล็ก ผู้คนต่างถิ่นผ่านมาผ่านไปไม่ทราบแต่ละวันมีจำนวนมากมายเพียงใด ตลาดกลางหมู่บ้านไม่เคยว่างเว้นผู้คน โรงเตี๊ยมโอ่โถงมักไม่เหลือห้องว่าง หากเป็นเพียงผู้เดินทางผ่านมาโดยมิได้จองล่วงหน้ายากยิ่งที่จะหาห้องพักได้

แต่ทุกสิ่งต่างมีข้อยกเว้น เพราะหากท่านมีเงินขาวๆก้อนโตๆที่ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธ ไม่เพียงห้องพัก ไม่ว่าสิ่งใดสถานที่นี้ล้วนมีให้ท่านได้

สำนักคณิกาของที่นี่เลื่องชื่ออย่างยิ่ง สถานที่แห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาเช่นกัน

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ผู้คนต่างหาความสุขใส่ตัวได้เต็มที่อย่างยิ่ง ไฟในโรงเตี๊ยมและสำนักคณิกาต่างไม่เคยดับสนิทจนรุ่งอรุณของวันใหม่

หากแต่ในหลายวันที่ผ่านมากลับเกิดปรากฏการณ์พิสดารที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

หมู่บ้านที่คึกคักยิ่งกลับกลายเป็นเงียบเชียบราวกับหมู่บ้านร้าง ถนนหนทางที่เคยพลุกพล่านกลับปราศจากผู้คนเดินสัญจรแม้แต่คนเดียว!

นั้นเป็นเพราะตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหิมะได้ตกอย่างหนัก ถนนสายใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าหมู่บ้านถูกหิมะถล่มปิดทางจนกองเกวียนสินค้าไม่สามารถผ่านไปมาได้ คงเหลือเพียงทางเดินเท้าสายเล็กๆที่ใช้สัญจรไปมาได้อย่างยากลำบากเท่านั้น สินค้ามากมายตกค้างอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว พ่อค้า นักเดินทาง คนของสำนักคุ้มกันภัยล้วนต้องนั่งจับเจ่าอย่างไร้ความหมาย ร้านค้าตลาดสดร้านขายของชำพากันพร้อมใจหยุดกิจการจนหมด

ผู้คนต่างอยู่ในบ้านช่องห้องพัก นั่งอุ่นเหล้าเปรี้ยวฝาดกลิ่นฉุนเฉียวจนร้อนเพียงพอลวกกระเพาะลำไส้ตนเองและมิตรสหาย บ้างมุดตัวอยู่ใต้ผ้านวมอุ่นหนาอิงไออุ่นโฉมสะคราญ ในยามที่ธรรมชาติเป็นอริกับผู้คนเยี่ยงนี้แม้จะมีธุระรีบร้อนปานใดก็ไม่มีผู้ใดยินยอมออกจากที่พักมากระทำเรื่องราวใดๆเป็นแน่

เวลานี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช โรงเตี๊ยมมีชื่อที่สุดในหมู่บ้านกลับมีเรื่องพิสดารเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง!

หิมะหยุดตกแล้ว...

หิมะหยุดตกย่อมมิใช่เรื่องพิสดาร

เช่นไรจึงเป็นเรื่องพิสดาร?

ชายวัยกลางคนสวมชุดขาว ร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปเกือบศอก ยืนอยู่กลางถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน มือแข็งแกร่งหยาบหนาทั้งคู่ซุกไว้ในแขนเสื้อยาว หน้าขาวซีดประหนึ่งไร้โลหิต คิ้วหนาดกขาวดุจหิมะ หางคิ้วทิ้งยาวลงมาเกือบจรดติ่งหู เคราเงินขาวละเอียดจรดหน้าอกส่องประกายวับวาวดุจถักทอจากไหมเนื้อดี ทุกสัดส่วนในร่างสูงใหญ่เปี่ยมความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง

แต่ดวงตาทั้งสองกลับหลุบต่ำคล้ายปิดลงประหนึ่งสะลึมสะลือดั่งคนครึ่งหลับครึ่งตื่น

คนผู้นี้มิได้กำลังสะลึมสะลือใกล้หลับอย่างแน่นอน...

ประกายคมกล้าฉายแววเรืองโรจน์เล็ดรอดออกจากดวงตาที่เกือบปิดสนิทกลับยังเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอัสดงยามอาทิตย์ลับฟ้าหลายเท่า!

ผู้ที่กำลังใกล้หลับไหนเลยมีประกายตาเช่นมัน!

เหตุที่ชายชุดขาวยังไม่ยอมลืมตาเนื่องเพราะมันรู้สึกขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้น

คนทุกผู้ต่างอาศัยดวงตาของตนเมื่อต้องการพิศดูสิ่งต่างรอบกายตน

ขณะนี้รอบตัวมันยังไม่มีสิ่งใดที่จำต้องใส่ใจ มันจึงคิดถนอมดวงตาทั้งคู่ให้มากไว้ เพราะอีกสักครู่ดวงตาของมันจะต้องเผชิญงานหนักอย่างยิ่ง!

ขณะนี้มันกำลังรอคอย...

ชายชุดขาววัยกลางคนทราบดี อีกสักครู่หากตนไม่สามารถรวบรวมกำลังสมาธิจนถึงขีดสูงสุดไม่เพียงนัยน์ตาทั้งสองข้างอาจจำต้องปิดไปตลอดกาล แม้แต่ลมหายใจก็ต้องขาดห้วงลงโดยพลัน!

เวลาที่มันรอคอยจะมาถึงเมื่อไหร่?

เวลาที่มันรอคอยมาถึงแล้ว...

เนื่องเพราะคนที่มันรอคอยเดินออกมาแล้ว...

บุรุษสองคนความสูงต่ำไล่เลี่ยกัน เดินอย่างไม่รีบร้อนออกมาจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช พิจารณาสัดส่วนรูปร่างของพวกมันแล้วนับว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับชาวตงง้วนโดยทั่วไป หากยืนประจันหน้ากับชายชุดขาวคงอยู่ระดับไหล่เท่านั้น...

แต่คนทั้งสองกลับไม่ดูต่ำเตี้ย ทั้งไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนว่าพวกมันต่ำเตี้ยอย่างเด็ดขาด!

เพราะทุกคนทราบพวกมันทั้งสองเป็นคนของหมู่ตึกบูรพา!

คนผู้หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มหน้าขาวเค้าหน้าหล่อเหลาสีหน้าแช่มชื่นปลอดโปร่ง สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดีตัดเย็บประณีต เพียงมองแวบแรกย่อมคาดเดาฐานะของผู้สวมใส่ได้

มันย่อมต้องเป็นกงจื้อที่รุ่มรวยผู้หนึ่ง...

ไม่ว่าผู้ใดต่างดูออกชุดที่กงจื้อผู้นั่นสวมใส่ต้องมิใช่ชุดแต่งกายของชาวตงง้วนอย่างแน่นอน...

ชุดในยาวสีขาวไม่ต่างกับชาวยุทธทั่วไป แต่เสื้อสีน้ำเงินเข้มตัวนอกนั้นปักลวดลายสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน กางเกงยาวที่สวมใส่ยิ่งดูรุ่มร่ามอย่างไรพิกล ยังมีดาบเรียวยาวที่เสียบอยู่ข้างเอว...นั่นก็มิใช่ดาบของชาวตงง้วน

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะ ด้ามเก่าคร่ำคร่าฝักสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดๆ

ทั่วทั้งตัวบุรุษหนุ่มมีเพียงดาบเล่มนี้ที่เรียบง่ายแตกต่างกับลักษณะผู้เป็นเจ้าของ เหตุนี้ยามที่คนทั่วไปจ้องดูมันสิ่งที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นดาบเล่มนี้เอง!

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ชายอีกผู้หนึ่งวัยล่วงเลยจนจอนผมมีสีขาวแซมประปราย สีหน้ามิแข็งกระด้าง มิดุดัน ยิ่งไม่เคร่งเครียดบึ้งตึง แต่เฉยชา เฉยชาจนไร้อารมณ์ความรู้สึกดั่งไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ บุรุษผู้นี้สวมชุดเขียวการแต่งกายเป็นแนวเดียวกับกงจื้อผู้นั้นเพียงแต่เรียบง่ายกว่า สวยงามน้อยกว่า เสื้อผ้าเนื้อธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่ง ร้านขายผ้าทุกร้านย่อมต้องมีผ้าชนิดนี้เป็นจำนวนมากแน่นอน

ธรรมดาอย่างยิ่ง สามัญอย่างยิ่งแต่กลับดูไม่ซอมซ่อเป็นเพียงแต่เรียบง่ายธรรมดา เสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อนที่เรียบง่ายไม่มีลวดลายใดๆปักเย็บบนนั้นทั้งสิ้น

เรียบง่ายจนกลายเป็นสะดุดตาผู้คน!

ดาบเรียวยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหนึ่งเชียะก็คาดอยู่ที่เอวของชายผู้นี้

ดาบยาวที่เปี่ยมไปด้วยรังสีชนิดหนึ่ง...

เป็นรังสีไร้รูปเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพายุร้ายกลางฤดูตงเทียน แผ่ประกายบาดนัยน์ตาส่งอานุภาพคุกคามผู้คนรุนแรงมหาศาล

รังสีดาบกระจายครอบคลุมทั่วบริเวณแม้ขณะที่มันยังอยู่ในฝัก!

นี่เป็นดาบที่ร่ำลือกันว่ารวดเร็วที่สุดในแผ่นดินยุคนี้!

เพียงแวบแรกที่ผู้คนได้เห็นบุคคลเช่นนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าตน มิว่าผู้ใดต้องมองออก บุรุษผู้สวมอาภรณ์ชุดเขียวมิใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

ยิ่งธรรมดาสามัญกลับยิ่งดูทรงอำนาจ

เพราะมีเพียงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้นที่ยินยอมกระทำตนเป็นคนสามัญ เพราะมีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่สำนึกได้ว่าคุณค่าแท้จริงของตนเองอยู่ที่ใด!

กลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บหลังหิมะที่ตกอย่างหนัก กระนั้นคนทั้งสามยังสวมเสื้อผ้าเบาบางเพียงชั้นเดียวราวกับทั้งหมดได้นัดหมายกันมาชมดอกโบตั๋นในฤดูชุนเทียน มิมีผู้ใดแยแสต่อความผันแปรของสภาพรอบข้าง ราวร่างของบุรุษทั้งสามต่างหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า

บัดนี้หน้าต่างบ้านช่องร้านค้าทุกบานบนถนนสายใหญ่หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเปิดออกจนหมดสิ้น ผู้คนต่างเบียดเสียดผลักดันกันเพียงเพื่อจะชะโงกหน้าลงมายังถนนเบื้องล่าง ทุกผู้ล้วนใส่เสื้อผ้าหลายชั้นทั้งยังกระชับอาภรณ์ของตนตลอดเวลา ร่างกายของคนเหล่านั้นย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้า

เด็กรับใช้หลายคนรีบวิ่งกุลีกุจอยกโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหลายตัวออกจากโรงเตี๊ยมนำมาตั้งเบื้องหน้ากงจื้อผู้สวมอาภรณ์ราคาแพง จัดแจงปูโต๊ะด้วยผ้าอย่างดี สุราหอมกรุ่นชั้นดีอุ่นจนร้อนแล้ว อาหารหลายจานถูกยกมาตั้งอาทิ เนื้อลูกแพะตุ๋น เนื้อนกเจ็ดชนิดผัดน้ำมันหอย ไก่ขอทานหอมกรุ่นยังมีเต้าหู้ทรงเครื่องที่ขาวราวหิมะ

แต่เพียงครู่หนึ่งสิ่งที่ขาวราวหิมะอย่างแท้จริงจึงเดินเข้ามา

: เนื้อหิมะขาวละเอียดยังต้องกลายเป็นขุ่นมัวยามเผชิญกับพวกนาง เสียดายที่เวลานี้พวกนางต่างสวมอาภรณ์ทั้งหนาทั้งมิดชิดมีเพียงใบหน้าเรียวมนเท่านั้นที่ไร้อาภรณ์ปกปิด

เพราะร่างกายของพวกนางย่อมไม่ได้หลอมมาจากเหล็กกล้าอย่างแน่นอน...

เสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวคณิกาเลื่องชื่อแห่งนครจุงกิงกลับยินยอมเดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ พวกนางต่างนั่งอยู่ข้างๆกงจื้อเจ้าสำราญผู้สวมชุดราคาแพงเนื้อผ้าแปลกตา

ใบหน้าของกงจื้อผู้นี้นับว่าหล่อเหลาอย่างยิ่งจริงๆ หน้าขาวคิ้วบางเรียวสีดำสนิท ใบหน้าไร้ริ้วรอยใดๆ ปราศจากหนวดเคราแม้เพียงสักเส้น มันถนอมใบหน้าตัวเองเสมอมาไม่ยอมให้สิ่งใดกระทบจนเกิดริ้วรอยแม้แต่น้อย สัดส่วนต่างๆบนใบหน้าล้วนอยู่ในที่ๆเหมาะสมอย่างยิ่ง ด้วยใบหน้าเช่นนี้หากมันเป็นเพียงบุตรหลานชาวบ้าน ชาวนาสามัญธรรมดาคาดว่ายังต้องมีดรุณีน้อยใหญ่เข้ามากรุ่มรุมให้วุ่นวายใจไม่หยุดหย่อน

แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้กลับเป็นถึงกงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุทธภพปัจจุบัน เรื่องดรุณีน้อยใหญ่จึงมิจำเป็นต้องพูดถึงอีก

โยชิโอกะ ริวจิไม่มีเวลาว่างแม้แต่น้อย เดี๋ยวป้อนไก่ขอทานเสี่ยวชุ่ย เดี๋ยวดื่มเหล้าจากชุนฮัว เดี๋ยวเล่นทายมือกับเสี่ยวชุ่ย ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลายโยชิโอกะ ริวจิล้วนไม่สนใจ สีหน้าแช่มชื่นรอยยิ้มกรุ่มกริ่มจ้องดรุณีทั้งสองไม่วางตา สองมือประคองนงคราญ กล่าววาจาหยอกเย้า ลำคอถูกราดรดด้วยสุรา ขณะเคี้ยวเนื้อลูกแพะนุ่มลิ้น

บุรุษอีกสองคนเล่า...

บุรุษทั้งสองยืนประจันหน้ากันเนิ่นนานชายชุดขาวจึงกล่าวว่า

“ท่านก็มาแล้ว...ยังต้องการกล่าวสิ่งใดหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดตอบ

ชายชุดขาวแสยะยิ้ม***มอำมหิต

“ดาบของท่านรวดเร็วสมคำร่ำลือจริงหรือไม่”

ยังคงไม่มีผู้ใดตอบ...

ชายชุดเขียวไม่ตอบคำ คิ้วของมันหนากว่าคนทั่วไป ดูคล้ายแพขนาดใหญ่ยิ่งดูยิ่งสะดุดตา เค้าหน้ารูปสี่เหลี่ยมเฉยเมยไร้อารมณ์ใดๆ มองดูดังแท่งศิลาอันแข็งแกร่งมากกว่าใบหน้ามนุษย์ เส้นผมและขนคิ้วบางส่วนเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา จอนยาวทั้งสองข้างมีสีเทาแซมอยู่ประปราย ยามจ้องมองไปเบื้องหน้าแววตาเจิดจ้าแน่วนิ่งเป็นประกายดั่งยามอาทิตย์อุทัย

คนผู้นี้ความจริงมีอายุราวสามสิบเศษๆ แต่ปลายขอบตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยริ้วรอยของการตรากตรำต่อสู้มาอย่างโชกโชน ทำให้ใบหน้ามันดูสูงวัยกว่าอายุแท้จริงถึงสิบกว่าปี

มือแข็งแกร่งทั้งคู่ปล่อยตามสบายข้างลำตัว บุรุษชุดเขียวได้แต่มองตรงไปเบื้องหน้า มันเพ่งมองไปยังชายชุดขาว ลมหายใจแผ่วเบาทอดถอนออกมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายไม่ต้องการมองบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตน ที่แท้มันทอดถอนหายใจให้กับบุรุษชุดขาว เพราะมันทราบภายใต้สภาวะที่ตนพร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ต้องไม่มีผู้ใดสามารถรักษาชีวิตรอดจากคมดาบของมันได้!

สิบปีก่อนทั่วทั้งเกาะพู้ซึ้งไม่มีผู้ใดสามารถต้านดาบของนาคามูระ โยชิได้

ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากย้ายมาพำนักอยู่กับหมู่ตึกบูรพาในตงง้วน ฉายามือสังหารไร้รักก็ดังก้องจนกลบรัศมีบรรดายอดฝีมือที่เคยมีชื่อเลื่องลือในตงง้วนจนสิ้น!

เสียงชายชุดขาวคำรามเบาๆในคำคอ ดวงตาเรืองโรจน์ทั้งคู่ลืมโพลงขึ้น ถึงเวลาที่ต้องใช้มันแล้ว! คิ้วหนาขมวดเข้าหากันใบหน้าซีดขาวกลับกลายเป็นแดงกล่ำดุจโลหิต ร่างสูงใหญ่แต่ปราดเปรียวอย่างยิ่งสะบัดมือทั้งสองข้างวูบขึ้น พลันบังเกิดประกายแหลมคมของอาวุธสีดำสนิทสองสายพุ่งจู่โจมตรงไปยังลำคอและทรวงอกของชายชุดเขียวรวดเร็วปานสายฟ้า!

ชายเสื้อสีเขียวสะบัดวูบดาบยาวพลันหลุดจากฝักไปอยู่ในมือ นี่เป็นระดับความเร็วของการชักดาบที่ผู้คนไม่สามารถคาดคำนวนได้!

รวดเร็ว! รวดเร็วอย่างยิ่ง!

ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าดาบยาวสีเงินเล่มนั้นหลุดออกจากฝักมาอยู่ในมือของชายชุดเขียวได้อย่างไร

ชายชุดขาวก็ไม่สามารถ!

ดาบยาวสีเงินที่คล้ายหนักอย่างยิ่ง แต่ชายชุดเขียวเพียงสะบัดข้อมือวูบบังเกิดเป็นเงาดาบนับสิบเส้นแผ่เป็นวงกว้างสกัดการจู่โจมปานสายฟ้าของชายชุดขาวได้ในกระบวนท่าเดียว!

มือทั้งคู่พลันมาจับด้ามดาบพร้อมกันยิ่งเพิ่มพูนสภาวะจู่โจม พลิกปลายดาบพุ่งตรงไปยังประกายสีดำทั้งสองสาย ประกายคมดาบพุ่งผ่าอากาศวาววับใสกระจ่างทรงมหิธานุภาพดุจมังกรขาวเริงนภา

ไม่มีสายตาคู่ใดเห็นดาบของมันกระทำอย่างไรกับประกายสีดำคู่นั้น ผู้คนเพียงเห็นมือของมันสะบัดวูบไปมา แต่ชายชุดขาวกลับไม่มีปัญญารับสภาวะการจู่โจมนี้ ถึงกับต้องผงะร่างถอยกรูดประกายสีดำทั้งสองเส้นสลายวับไปกับตา

ชายชุดเขียวยังคงวาดดาบต่อเนื่องเงาดาบยาวสีเงินพุ่งตามติดคุกคาม รอบบริเวณปรากฏเศษผ้าสีขาวปลิวว่อน รังสีดาบยิ่งนานยิ่งอำมหิตหิวกระหายราวจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งภายใต้รัศมีแห่งมัน

ชายชุดขาวยิ่งหน้าแดงกล่ำหยาดเหงื่อผุดขึ้นโทรมใบหน้า มันทราบดีสถานการณ์ขณะนี้ชีวิตตนเองกำลังล่อแหลมจวนตัวอย่างยิ่ง พู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือมิว่าพลิกแพลงกระบวนท่าอย่างไรกลับมิอาจเข้าประชิดคมดาบสีเงินได้แม้แต่น้อย เพียงแค่รังสีดาบยังสามารถคุกคามกดดันจนตนเองถอยกรูดไม่อาจเข้าประชิด การจะโต้ตอบกลับได้แม้สักกระบวนท่ายิ่งคล้ายหมดหนทางโดยสิ้นเชิง

แต่เทพพู่กันคู่ยะเยือกมีชื่อเสียงในยุทธภพมากว่าสิบปีไหนเลยยินยอมรับความพ่ายแพ้ในสภาพนี้ คิ้วยาวตั้งชี้ชัน แสยะยิ้ม***มเกรียม แววตาลุกโชนดุจเปลวเพลิง ฉับพลันมือหยาบหนาแกร่งทั้งคู่ของมันกลับกลายเป็นซีดขาวไร้สีเลือดดุจซากศพ! กระแสไอเย็นมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากมือทั้งคู่รวดเร็วปานอสนีบาต!

ชายชุดขาวทุ่มเทพลังทั้งหมดจู่โจมด้วยไอเย็นไร้ลักษณ์แผ่พิษเย็นจากฝ่ามือทั้งสองผ่านไปที่ปลายพู่กันสีดำสนิททั้งคู่ในมือ พุ่งเป็นสายถล่มทลายราวคลื่นล้างหาดเข้าทำร้ายคู่ต่อสู้โดยปราศจากรูป กว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวไอเย็นก็พุ่งประชิดตัวแล้ว พิษไอเย็นที่รุนแรงสามารถกระแทกอวัยวะภายในจนแหลกเหลวป่นยุ่ย! หากแข็งขืนเกร็งกำลังต้านพิษเย็นสายนี้ไว้ ยังต้องเผชิญกับประกายแหลมคมทั้งคู่ของพู่กันสีดำสนิทซึ่งจู่โจมตามมาติดๆ ด้วยอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

นี่เป็นวิชาลอบสังหารที่อำมหิตที่สุดแขนงหนึ่ง!

ชายชุดขาวคิดไม่ถึงว่าตนจำต้องใช้ท่าไม้ตายประจำตัวรวดเร็วปานนี้ แต่เมื่อใช้ออกไปแล้วมันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง มันมั่นใจนี่เป็นกระบวนท่าที่คู่ต่อสู้ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้แน่นอน

ห้าปีแล้วที่วิชาฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะของเทพพู่กันคู่ยะเยือกไร้ซึ่งผู้ต่อต้าน!

เมื่อชายชุดเขียวรู้สึกถึงพิษเย็นมหาศาลที่พุ่งจู่โจม ไอเย็นก็ครอบคลุมชายเสื้อเขียวกระชั้นชิดยิ่งเสียแล้ว เห็นได้ชัดหากมันไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกัน อวัยวะภายในต้องแหลกเหลวอย่างแน่นอน แต่หากทำเช่นนั้นไหนเลยจะลอดพ้นปลายพู่กันแหลมคมที่พุ่งคุกคามตามมาดุจประกายอสนีบาตได้

ชั่วพริบตานั้น ชายชุดเขียวทั้งไม่หลบหลีบ ยิ่งไม่ดึงรั้งดาบยาวกลับมาป้องกันตัว ซ้ำยังพุ่งร่างตรงเข้าหาชายชุดขาวอย่างรวดเร็ว

ร่างสีเขียวเคลื่อนไหววูบรวดเร็วไม่ช้ากว่ายามที่มันสะบัดดาบยาวในมือแม้แต่น้อย!

ปลายดาบสีเงินพุ่งเข้าปะทะผ่ากระแสไอเย็นอย่างแข็งขืน จุดหมายของมันคือหว่างคิ้วของชายชุดขาว!

เป็นการจู่โจมที่อยู่เหนือการคาดคิดของเทพพู่กันคู่ยะเยือกโดยสิ้นเชิง มันตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด ชั่วขณะถึงกับไม่กล้าส่งกระแสพลังจนสุด พริบตานั้นมันจำต้องรั้งพู่กันคู่สีดำทั้งสองในมือกลับมาป้องกันใบหน้าในทันที

กระบวนท่าฝ่ามือน้ำแข็งพู่กันมรณะสูญเสียสภาวะจู่โจมของตนเองลงโดยสิ้นเชิง!

เสียงดังกึกก้องเมื่อโลหะสองชนิดกระทบกัน...ครู่หนึ่ง...

ชายชุดขาวเก็บพู่กันทั้งสองไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วดั่งไม่เคยนำมันออกมาใช้ สีหน้าแดงกล่ำกลายเป็นซีดขาวจนปราศจากสีเลือด แววตาทั้งคู่เปล่งประกายแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แววตาที่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตคนผู้หนึ่ง!

“ห้าปี...ข้าเก็บตัวอยู่ในสถานที่นี้ถึงห้าปี คิดว่าพลังฝีมือรุดหน้าขึ้นอีกมาก...แต่...”

ใบหน้าของมันไม่ปรากฏแววของความเจ็บปวด แต่ชายชุดขาวล้มลงแล้ว พู่กันสีดำสนิทร่วงหล่นจากแขนเสื้อแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่หว่างคิ้วจนถึงปลายคางปรากฏเส้นบางๆสีแดงเส้นหนึ่ง

กลางหิมะขาวร่างในชุดขาวของเทพพู่กันคู่ยะเยือกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปตลอดกาล...

ชายชุดเขียวก้มหน้าลงต่ำอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดดูออกดาบยาวถูกเก็บเข้าฝักตั้งแต่เมื่อไหร่

สีหน้าเคร่งครึมยังเฉยชาไร้ความรู้สึกใดๆ มิได้ยินดีลิงโลดกับชัยชนะของตน ทั้งมิได้เศร้าโศกเสียใจที่มือทั้งคู่ต้องแปดเปื้อนโลหิตอีกครา

มันเพียงรู้สึกนี่เป็นอีกครั้งที่มันปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนาง...

คำมั่นสัญญาที่กลายมาเป็นรากฐานค้ำจุนให้ชีวิตของตนสามารถยืนหยัดอยู่ต่อมาได้กว่าสิบปี...

นาคามูระ โยชิเดินมายังโต๊ะของริวจิ รับสุราอุ่นจอกหนึ่งจากมันแล้วดื่มลงคอจนหมด แต่ยังไม่แตะต้องอาหารแม้สักจานเดียว โฉมสะคราญทั้งสองยิ่งไม่แม้แต่ชำเลืองตามอง

โยชิโอกะ ริวจิรินสุราให้ นาคามูระ โยชิอีกหนึ่งจอก แววตาที่มองบุรุษชุดเขียวบ่งบอกความเคารพนับถืออย่างยิ่ง รอจนคนผู้นั้นดื่มจนหมดจึงโอบเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวาลุกขึ้นเดินออกจากที่แห่งนั้น

นาคามูระ โยชิออกเดินตามไม่ถามสักคำดั่งบ่าวไพร่เดินตามผู้เป็นนาย

หิมะเริ่มตกอีกแล้ว...

ผู้คนต่างปิดประตูหน้าต่างบ้านช่องห้องพักของตนจนหมดสิ้น

แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่เสียงวิพากวิจารณ์กลับดังกระหึ่มขึ้นจากทุกตรอกซอกซอย...

“นาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพานับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของยุคได้จริงๆ”

“มือสังหารไร้รักไม่ผิดคำร่ำลือเลย”

“สมคำร่ำลืออะไร เป็นแต่เพียงบ่าวไพร่ของผู้อื่น”

“กงจื้อคนนั้นมีบ่าวไพร่เช่นนี้นับเป็นวาสนาจริงๆ”

“มีเสี่ยวชุ่ยซ้ายชุนฮัวขวากลับมีวาสนากว่า”

“แม่นางเสี่ยวชุ่ยกับชุนฮัวกลับน่าดูกว่าจริงๆ”

“ข้าต้องเก็บเงินไปดื่มกับนางสักครั้งให้ได้”

“ถ้าข้าเก็บเงินได้ข้าไม่ดื่มกับนางหรอกข้าจะ...”

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 2)





: บทที่ 2.

หมู่บ้านเทียนเกี๊ยนอกเมืองจุงกิง...

ยามนี้เป็นกลางคืนต้นฤดูตงเทียน แม้ยังไม่หนาวอย่างจับใจแต่หิมะถึงกับยังตกปรอยๆตลอดเวลา

จากถนนใหญ่กลางหมู่บ้านมีตรอกเล็กตรอกน้อยแยกไปอีกนับสิบแห่ง หลายต่อหลายตรอกนั้นยังมีซอยเล็กย่อยๆอีกมากมาย นอกจากบ้านเรือนผู้คนยังเรียงรายไปด้วยโรงเตี๊ยม ร้านน้ำชา ร้านขายของชำเล็กๆน้อยๆ ในซอยเล็กๆเหล่านี้แม้การค้าไม่อาจเทียบได้กับร้านรวงที่ตั้งอยู่บนสองข้างของถนนใหญ่ แต่ยังไม่ถึงกับเงียบเหงาวังเวงจนเกินไปนัก

ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อข้างๆตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง

ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนอยู่เพียงสองคน คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหลังค่อมเล็กน้อยท่าทางเงอะงะผมเพ้ารุงรังจนมองแทบไม่เห็นหน้าตา ยิ่งไม่อาจบ่งบอกอายุที่แท้จริง อีกผู้หนึ่งเป็นลูกค้าของร้านแห่งนี้

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มฉกรรจ์แต่งตัวมองดูคล้ายบัณฑิตนักศึกษา ชุดที่สวมใส่ทั้งขาวทั้งสะอาดแต่กลับเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา เนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บก็ธรรมดาอย่างยิ่งเป็นเพียงผ้าดิบฝอกสีเท่านั้น หากคนผู้นี้เป็นนักศึกษาจริงก็ต้องเป็นเพียงบัณฑิตซอมซ่อผู้หนึ่ง หาใช้ลูกหลานคหบดีผู้ต้องการสอบจอหงวนไม่

บัณฑิตหน้าขาวอายุราวสามสิบเศษ เค้าหน้าสี่เหลี่ยมกรามใหญ่ คิ้วดกดำปลายทั้งสองข้างชี้ตรงขึ้นด้านบน หน้าผากกว้างปรากฏรอยเว้าปราศจากเส้นผมเข้าไปลึกทั้งสองข้าง มันนับว่าอ้วนท้วนสมบูรณ์แต่ไม่ฉุใหญ่จนน่าคลื่นเหียน ลำคอค่อนข้างกลมโตเมื่อเทียบกับแขนขาที่ยาวเก้งก้าง ผิวกายเปล่งปลั่งไม่ซูบซีดยามยืนตรงยังสูงกว่าคนทั่วไปครึ่งเชียะ นิ้วข้างขวาเปรอะเปื้อนหมึกดำแห้งกรังทั้งห้านิ้ว ใต้คางมีหนวดเคราดำแข็งกระด้างขึ้นหรอมแหรม มันไม่ได้ใส่ใจตนเองมาหลายวัน ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ปรือด้วยฤทธิ์สุราหกเจ็ดไหที่วางอยู่ข้างกาย...

ตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านเมื่อสามวันก่อนพู่กันในมือคนผู้นี้คล้ายไม่เคยหยุดขีดเขียนลงในกองกระดาษที่อยู่เบื้องหน้าราวกับมีเรื่องมากมายให้ต้องรีบจดบันทึก แป้นฝนหมึกด้านข้างถูกใช้ไปถึงหนึ่งในสี่แล้ว แต่ขณะที่มือข้างหนึ่งจับพู่กันมืออีกข้างกลับถือไหสุราไม่ยอมปล่อยเช่นกัน คนผู้นี้ไม่เพียงขีดเขียนไม่หยุดทั้งยังดื่มสุราอย่างไม่ยอมหยุด และปากของคนผู้นี้ยังพูดเรื่องราวต่างๆไม่หยุดอีกด้วย

บัณฑิตผู้นั้นตะโกนขึ้น “สุรา...สุรา...เถ้าแก่...เถ้าแก่ข้าต้องการสุราอีก...”

ขณะนั้นไม่ทราบเสียงขลุ่ยสูงแหลมประหนึ่งดั่งคมดาบคมกระบี่กรีดหัวใจผู้คนดังก้องกังวานมาจากสถานที่ใด ท่วงทำนองแห่งกระแสเสียงประสานสายลมต้นฤดูตงเทียน ยิ่งโหยหวนปานประหนึ่งเสียงกู่ร้องของเหล่าปีศาจแค้นวิญญาณอาฆาตที่ต้องตายอย่างไม่สมควรกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนกลับมาทวงความยุติธรรมแห่งชีวิตตนคืน แต่หากตั้งใจฟังให้ดีเสียงแหลมเล็กกังวานก้องนี้ย่อมไม่ใช่เสียงกู่ร้องของปีศาจยามราตรีอย่างแน่นอน...

เพราะแม้แต่พวกมันก็คาดว่ายังไม่อาจถ่ายทอดความทุกข์ทน ความอยุติธรรมที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนได้กระจ่างชัดเจนเฉกเช่นดังปรากฏภายใต้ท่วงทำนองแห่งกระแสเสียงนี้

เรื่องเช่นนี้มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่กระทำได้!

บัณฑิตซอมซ่อหยุดฟังเสียงขลุ่ยครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย กล่าวถ้อยคำดั่งรำพึงรำพันกับตนเองแต่สุ่มเสียงกลับดังชัดทั่วทั้งห้อง

“ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญกลางเดือนหนาว...ยามแสงดาวลางเลือนเหมือนใจข้า...ใจข้า...เถ้าแก่ท่านทราบหรือไม่ในเวลาเยี่ยงนี้เป็นผู้ใดที่ยังมีอารมณ์สุนทรีถึงเพียงนี้ ”

เถ้าแก่หลังค่อมหันมามองเล็กน้อย แล้วหันไปเช็ดโต๊ะต่ออย่างไม่ใส่ใจ เนื่องเพราะหลายวันนี้มันได้ยินวาจาเหล่านี้จนชินชา

“ท่านย่อมไม่ทราบ...แต่ข้าทราบ...”

เสียงขลุ่ยเงียบหายไปแล้ว บัณฑิตผู้นี้หาวหวอดๆส่ายหน้าไปมา กรอกสุราลงคออีกอึกใหญ่ หันไปมองหน้าเถ้าแก่หลังค่อมอีก “เถ้าแก่ท่าน...ท่าน...”

เถ้าแก่หลังค่อมหยุดเช็ดโต๊ะแล้วหันมามองลูกค้าผู้นี้อีก มันลังเลควรไปยกสุรามาให้บัณฑิตซอมซ่ออีกดีหรือไม่ คนผู้นี้ดื่มติดต่อกันหกเจ็ดไหแล้วแม้หลายวันมานี้มันไม่เคยติดค้างค่าเหล้า แต่หากยังดื่มเช่นนี้สักวันมันคงต้องหมดตัวแน่ๆ แม้มันยินดีที่โรงเตี๊ยมซอมซ่อของมันมีผู้อุดหนุน แต่มันกลับมิใช่ปีศาจดูดเลือดที่จ้องคอยจะหาทางขูดรีดเงินทองลูกค้า

“ทำไมท่านยังไม่เอาสุรามาให้ข้าอีก...ข้าต้องการสุรา...”

ยังไม่ทันที่เถ้าแก่จะตอบว่ากระไร ประตูโรงเตี๊ยมพลันบังเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ผ้าบุนวมผืนใหญ่ซึ่งแขวนกั้นลมหนาวที่ด้านในประตูถูกเลิกขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะดังสดใสของดรุณีแรกรุ่น

ดรุณีสองคนในชุดกันหนาวหนังจิ้งจอกซึ่งหนาเป็นพิเศษเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาภายในร้าน ชุดที่สวมใส่ภายใต้เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกเป็นเสื้อแขนยาวสีครามเข้มแขนเสื้อยาวจรดข้อมือเหมือนกันทั้งสองนาง ข้างเอวของทั้งสองต่างแขวนกระบี่ฝักสีดำสนิทฝังอัญมณีสามเม็ดส่องประกายวูบวาบแยงนัยน์ตา เถ้าแก่รีบกุลีกุจอพาร่างอันแสนอัปลักษณ์ของตนเข้าไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนทันที มันทราบแค่อาภรณ์หนังจิ้งจอกสองตัวนี้ก็มีราคามากกว่ากำไรจากโรงเตี๊ยมของมันทั้งปีทีเดียว

โรงเตี๊ยมซอมซ่อของมันย่อมไม่บ่อยครั้งที่จะมีลูกค้าร่ำรวยเช่นนี้ แต่ในยามอากาศเยี่ยงนี้โรงเตี๊ยมของมันต้องนับว่าดีอย่างยิ่งหากเทียบกับการต้องเดินทางเผชิญลมหนาวด้านนอก

ดรุณีทั้งสองถอดชุดกันหนาวให้เถ้าแก่นำไปแขวนที่ผนังด้านข้าง นับแต่ก้าวแรกที่พ้นประตูเข้ามา แววตาหนึ่งจริงจังจนแข็งกระด้างหนึ่งซุกซนหลุกหลิกเพ่งมองมาที่บัณฑิตซอมซ่ออย่างประหลาดใจระคนคาดคิดไม่ถึง ดรุณีทั้งคู่หันมาสบตากันวูบหนึ่งแต่มิได้กล่าวถ้อยคำใดๆ เดินมาหย่อนกายอย่างอ่อนล้ายังโต๊ะตัวหนึ่งเยื้องบัณฑิตผู้นั้น

ดรุณีผู้มีแววตาแข็งกระด้าง ร่างสูงเปรียวเอวคอดกิ่วแต่ไม่ผอมแห้ง คิ้วเรียวเล็กคมชัดโก่งขึ้นเล็กน้อย จมูกเป็นสันปลายแหลมทั้งไม่ชี้ขึ้นและงุ้มลงเปี่ยมแววเชื่อมั่นถือดีในตนเองอย่างดี ริมฝีปากบางเฉียบไร้รอยยิ้มตั้งฉากกับสันจมูก ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นมวยไว้บนศีรษะ นางมิได้แต่งแต้มเครื่องประทินผิวลงบนใบหน้าแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ต้องไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่านางไม่งดงามเป็นแน่ นิ้วมือเรียวขาวประหนึ่งสลักเสลาจากหยกไร้ตำหนิ ผู้พบเห็นล้วนต้องติดตาตรึงใจ แต่นี่กลับมิใช่ความงามที่ชวนลุ่มหลง เคลิบเคลิ้มงมงายที่มักหลอกล่อชักพาบุรุษลงสู่อเวจี

เนื่องเพราะนางมีแววตาที่จริงจังอย่างยิ่ง แน่วแน่อย่างยิ่ง ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้า สีหน้าเยือกเย็นจนแข็งกระด้างปราศจากรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ราวกับใบหน้านั้นเป็นรูปแกะสลักจากหยกเนื้อดีจริงๆ

“เถ้าแก่ท่านช่วยต้มยาตามเทียบนี้ให้ด้วย” นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ หยิบเทียบยาและตัวยาสามสี่ชนิดจากห่อผ้าส่งให้เถ้าแก่หลังค่อม แล้วอธิบายกำชับอีกหลายคำ

เถ้าแก่ได้แต่รับฟัง พลางพยักหน้าหงึกๆ รับห่อยามาแล้วเดินเงอะงะออกไปต้มยาในครัว

ดรุณีอีกผู้หนึ่งยังอยู่ในวัยแรกรุ่น เสียงหัวเราะของนางใสกังวานดุจระฆังเงิน นางสูงกว่าดรุณีอีกคนอยู่เล็กน้อย แต่ร่างกายของนางผอมบางมากจนแทบจะสามารถปลิวไปตามกระแสลมหนาวที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอก เค้าหน้าของดรุณีทั้งสองมีส่วนคล้ายกันไม่น้อย ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูออกพวกนางหากไม่ใช่พี่น้องก็ต้องมีความเกี่ยวพันธุ์กันทางสายเลือดอย่างแน่นอน เพียงแต่ใบหน้าของดรุณีร่างผอมบางผู้นี้เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เปี่ยมชีวิตชีวา ทั้งยังเยาว์วัยกว่าสี่ถึงห้าปี ยังมีดวงตาคู่นั้นของนาง ดวงตาที่กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ แฝงแววหลุกหลิกซุกซนอยู่ตลอดเวลา

นางชำเลืองดูเทียบยาใบนั้นแวบหนึ่งแสร้งส่งเสียงโอดครวญขึ้น “พี่ปวยฮวย...ข้าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรทำไมต้องให้กินยาบำรุงพวกนี้อีก...ยาพวกนั้นท่านพี่เก็บไว้เถอะ ไม่รู้ต่อไปยังต้องใช้อีกเท่าไหร่...”

ดรุณีผู้มีอายุมากกว่าหันมาดุแกมว่าเล็กน้อย “คาดว่ายังต้องใช้อีกมาก หากเจ้ายังไม่เลิกรังควานผู้อื่นเสียที เอ็งฮวย...คนที่ข้าต้องจำใจรักษาล้วนเป็นฝีมือของเจ้าทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

ลิ้มเอ็งฮวยค้อนใส่พี่สาวของตนเล็กน้อย ส่ายหน้าหัวเราะร่วน “ใครให้พวกนั้นแต่ละคนมีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมทั้งนั้นล่ะฝีมือไม่ได้เรื่อง....แล้วถ้าไม่เพราะข้าจะมีใครมาให้ท่านพี่รักษาล่ะ”

“คนที่อยากจะให้เซียนแพทย์ไร้ใจรักษาย่อมมีอยู่มากมาย บางคนมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าหมู่ตึกตระกูลลิ้มสามวันสามคืนก็ยังไม่ได้พบ บางคนลงทุนมาปลูกบ้านเรือนอยู่ละแวกนั้นนานนับเดือน ทุกวันเดินมาร้องวิงวอนอยู่นอกประตูบ้านแต่คนข้างในกลับทำเป็นไม่ได้ยินเสียฉิบ...ยิ่งไม่ทราบมีอีกมากน้อยเท่าไหร่ที่สิ้นลมหายใจอยู่หน้าหมู่ตึกตระกูลลิ้ม” บัณฑิตผู้นั้นว่ากล่าวแดกดันเสียงดัง ในมือยังคงสะบัดพู่กันดื่มเหล้าไม่หันมามองแขกผู้มาใหม่ทั้งสองแม้แต่น้อย

ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววกลอกกลิ้งจ้องมองไปที่บัณฑิตซอมซ่อแล้วกล่าวว่า

“มีมากน้อยเท่าไหร่นั้นไม่ทราบ ท่านพี่ข้ายินดีรักษาแต่ผู้ที่ควรรักษาเท่านั้น หมู่ตึกตระกูลลิ้มของเราไม่ใช่สถานสงเคราะห์ หากต้องรักษาให้กับทุกคนที่แห่กันมาวันๆคงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี สำหรับผู้ที่อุตส่าห์เสียเวลารอคอยจนต้องเสียชีวิตลง สกุลลิ้มของเราจัดหาโลงศพอย่างดีให้กับทุกคนมิเคยขาดตกบกพร่อง พี่ปวยฮวย...มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ข้าไม่เคยเชื่อถือเสมอมา...แต่ในวันนี้เห็นทีจะไม่เชื่อไม่ได้แล้ว”

ลิ้มปวยฮวยยังกล่าวเรียบๆ “เป็นคำพูดประโยคใด”

ดรุณีผู้เยาว์วัยกว่า ดวงตายิ่งกลอกกลิ้ง กล่าววาจายิ่งก่อกวนผู้คน

“ผู้ต้องการพบกลับไม่ได้พบ แต่ผู้ไม่คิดจะเจอกลับต้องได้เจอะเจอทุกที...”

ใบหน้าของลิ้มปวยฮวยฝืนยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ฉาบไปด้วยความเย็นชายิ่งทำให้หน้าของนางดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง “เจ้าคิดว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง”

“ย่อมต้องถูกอย่างแน่นอน...ปลายปีที่แล้วเจ้าสำนักเตียมชังกับมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักคุนลุ้น นัดหมายประลองยุทธกัน ตาเฒ่าทั้งสองต่างหวังให้การประลองครั้งนั้นทราบสืบทอดไปถึงคนรุ่นหลังจึงเชิญให้คนผู้หนึ่งไปบันทึกการประลอง”

น้ำเสียงเย้ยหยันเชิดขึ้นเล็กน้อย “ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนยุทธภพของพวกเขา แต่นึกไม่ถึงคนผู้นั้นกลับไม่ยอมให้เกียรติ์มาชม”

สายตาเจ้าเล่ห์หันไปมองบัณฑิตซอมซ่ออีกแวบหนึ่ง

“ท่านพี่จำงานแต่งงานของศิษย์คนโตแห่งสำนักบู๊ตึ๊งกับบุตรีของเจ้าสำนักฮั้วซัวเมื่อต้นปีนี้ได้ไหม งานนี้สกุลลิ้มของเรายังต้องให้ข้ากับท่านพี่ไปเป็นตัวแทนท่านพ่อ แต่แขกคนสำคัญที่เจ้าภาพหวังจะให้จดบันทึกงานแต่งงานครั้งยิ่งใหญ่นี้กลับไม่ยอมไปเสียฉิบ...”

น้ำเสียงประชดประชัดเน้นทีละคำช้าๆชัดเจน จนกลายเป็นถากถางเสียดสี

“ย่อมไม่มีผู้ใดคาดคิด ท่านบัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้ จะมานั่งแต่งโคลงร่ำสุราอยู่ในสถานที่ไร้สาระเช่นนี้”

ลิ้มปวยฮวยจ้องเขม็งไปยังบัณฑิตผู้นั่น ดวงตานางไม่เคยปรากฏแววกลอกกลิ้งเยี่ยงน้องสาวแม้สักครั้ง

“คราวนี้เจ้าพูดผิดแล้วล่ะเอ็งฮวย เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นผู้เกลียดเรื่องไร้สาระที่สุด บางทีในสถานที่นี้อาจยังมีสิ่งใดน่าสนใจกว่าเรื่องของพวกสำนักต่างๆที่เจ้าว่ามานั่นก็ได้”

ลิ้มเอ็งฮวยเบ้ปาก กวาดสายตามองสภาพภายในโรงเตี๊ยมอย่างดูแคลน “ในโรงเตี๊ยมซอมซ่อแบบนี้ยังมีเรื่องอะไรน่าสนใจ?”

“นั่นเจ้าคงต้องถามพี่เอี้ยเองแล้ว”

บัณฑิตซอมซ่อวางพู่กันในมือหันมาที่โต๊ะของคนทั้งสอง หัวเราะอย่างปราศจากความจริงใจด้วยเสียงอันดัง “แม่นางลิ้มกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ยามอากาศเยี่ยงนี้ที่ใดมีสุราอุ่นๆย่อมนับได้ว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง”

“อากาศเยี่ยงนี้น่ากลัวสุราอุ่นๆจะยังไม่พอกระมัง อีกสักครู่หากไม่รังเกียจขอเชิญทดลองยาบำรุงสูตรพิเศษของข้า นอกจากจะสามารถต้านทานอากาศเยี่ยงนี้ได้เป็นอย่างดีแล้วยังทำให้สุรามีรสชาติดีขึ้นอีกด้วย”

: เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้เอี้ยป้อฮู้ถึงกับหัวเราะลั่นออกมาจริงๆ “นี่ต้องนับเป็นโชควาสนาของข้าต่างหาก ยาสูตรของเจ้ายังจะมีผู้ใดกล้าปฏิเสธ น่ากลัวคำร่ำลือที่ผู้อื่นว่ากล่าวเจ้าล้วนเป็นการเข้าใจเจ้าผิด เพราะหากเจ้าเป็นเซียนแพทย์ไร้ใจตามคำร่ำลือย่อมต้องไม่มากน้ำใจขนาดนี้...”

คิ้วเรียวเล็กกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่วาจาที่กล่าวยังสงบราบเรียบดุจเดิม “คำเซียนแพทย์นั้นไหนเลยจะกล้ารับไว้ แต่ที่ผู้อื่นว่ากล่าวข้าไร้น้ำใจล้วนไม่ผิดหรอก...”

ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวลอยๆ “ได้ข่าวว่าเย็นวันนี้หน้าโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแช เทพพู่กันคู่ยะเยือกประลองกับมือสังหารไร้รักนั่นก็นับเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง”

บัณฑิตซอมซ่อลุกขึ้นยืนบิดร่างท้วมสมบูรณ์แต่สูงยิ่งไปมาอย่างเกียจคร้าน

“นั่นนับว่าน่าสนใจอะไร นาคามูระ โยชิไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน”

“ดังนั้นท่านจึงไม่ได้ไปชม?”

บัณฑิตไร้ร่องรอยพยักหน้าแต่มันไม่พูดต่อแล้ว เพราะเสียงขลุ่ยที่เงียบไปชั่วครู่กลับดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงของมันยืนนิ่งร่องรอยความเกียจคร้านหายไปจนสิ้น นัยน์ตาแม้ยังแดงกล่ำด้วยฤทธิ์สุรากลับปราศจากอาการเมามายโดยสิ้นเชิง แววเดือดดาลใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจแรงๆอย่างหงุดหงิด กระแทกตัวนั่งลงยกไหสุราขึ้นดื่มดับความเดือดดาล ตลอดสามวันที่มันนั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิทราบได้ยินเสียงนี้มากน้อยเท่าไหร่

สายตาปรายกลับไปจับจ้องใบหน้าลิ้มปวยฮวยคล้ายไถ่ถาม ‘ท่านยังจำเสียงขลุ่ยนี้ได้หรือไม่’ แต่วาจานี้มิได้กล่าวออกไป มันไม่จำเป็นต้องกล่าวเพราะคำตอบปรากฏชัดบนดวงหน้างาม

ดวงตาเขม็งดุจพญาจิ้งจอกมองนางดั่งจะกระชากสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจดรุณีผู้นี้ออกมา “เจ้าคงทราบแล้วว่าละแวกนี้มีเรื่องใดน่าสนใจ...”

“นี่...เสียงขลุ่ยนี่” ตลอดเวลาที่เสียงขลุ่ยวังเวงดังขึ้นลิ้มเอ็งฮวยที่หลุกหลิกซุกซนถึงกับนั่งนิ่งอึ้ง ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ตอนนี้วาจายิ่งกล่าวยิ่งตะกุกตะกัก “เป็น...เป็นเขาจริงๆหรือ...”

บัณฑิตไร้ร่องรอยเอี้ยป้อฮู้ได้แต่พยักหน้า

ลิ้มปวยฮวยที่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เช่นกัน พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับน้ำเสียงของตนให้ราบเรียบราวไร้เรื่องราวใดๆ

“ท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อเสาะหาตัวคุณชายปึงนี่เอง...คุณชายปึงอยู่ที่ไหน...”

“เฮอะ...ข้าจะรู้ได้ยังไง” เอี้ยป้อฮู้แค่นเสียงตอบอย่างหงุดหงิด

เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ปึงเพียวเซาะ ฝังตัวอยู่ในหมู่ตึกของตนไม่ยอมก้าวเท้าออกไปไหน ไม่ว่าในยุทธภพเกิดเรื่องราวใดขึ้นมันล้วนไม่ใส่ใจ ผู้คนในยุทธภพต่างร่ำลือ บัดนี้มันได้กลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งไปแล้ว เอี้ยป้อฮู้พยายามไปขอเยี่ยมเยียนมันที่หมู่ตึกตระกูลปึงหลายครั้งหวังจะสืบเรื่องราวว่ามันเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรแล้ว เรื่องราวความตกต่ำของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจยิ่ง หากมันได้เรื่องราวใดกลับมาเขียนหนังสือสักเล่มสองเล่มย่อมต้องมีผู้คนแห่มาขอซื้ออย่างแน่นอน

แต่ประตูหมู่ตึกตระกูลปึงก็ปิดสนิทไม่ต้อนรับคนนอกมาตลอดสิบปี จนวันหนึ่งมันจึงได้ข่าวจากคนส่งข้าวสารของร้านขายข้าวใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมันซื้อตัวไว้ คนผู้นี้ต้องไปส่งข้าวให้หมู่ตึกตระกูลปึงเป็นประจำ จึงได้ยินบ่าวไพร่ซุบซิบกันว่าปึงเพียวเซาะได้รับเทียบเชิญไปงานชุมชุนที่หมู่ตึกพันอักษร บรรดาบ่าวไพร่ต่างคิดว่าคุณชายของมันคงไม่สนใจไยดี แต่มิคาดเพียงวันรุ่งขึ้นปึงเพียวเซาะก็ออกเดินทางจากบ้านไปแล้ว หลังจากเที่ยวเสาะหาตามเส้นทางสู่หมู่ตึกพันอักษรอยู่เกือบหนึ่งเดือนมันจึงได้ยินเสียงขลุ่ยนี้

ถึงตอนนี้มันจะได้ยินเสียงขลุ่ยอย่างขัดเจน ปึงเพียวเซาะต้องอยู่ใกล้อย่างยิ่งแต่จนใจที่มันกลับมิอาจระบุความใกล้ไกลของจุดที่อยู่ของเจ้าของเสียงขลุ่ยได้ ดังนั้นมันถึงกับต้องเมามายอยู่ที่นี่สามวันแล้ว

เสียงขลุ่ยราวปีศาจกู่ร้องสลับซับซ้อนยิ่งนัก เสียงเหมือนอยู่ทางซ้ายแต่ดังแว่วมาจากทางขวา ได้ยินเสียงโหยหวนแผ่วเบาราวอยู่ห่างไกลแต่ท่วงทำนองกลับชัดเจนกระจ่างราวผู้เป่ามานั่งอยู่เบื้องหน้า บางครั้งยังดังๆแผ่วๆสลับกับไกลๆใกล้ๆคล้ายจงใจอำพลางแหล่งกำเนิดของตน

แต่ถึงอย่างไรสามวันที่เอี้ยป้อฮู้ต้องนั่งอยู่ที่นี่กลับไม่สูญเปล่าเพราะมันยังได้ข้อสรุปประการหนึ่ง...

ท่วงทำนองของเสียงขลุ่ยที่หดหู่รันรดเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าเวลาสิบปีมิได้บรรเทาบาดแผลในจิตใจจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นให้จางหายไปจากใจบุรุษผู้นี้แม้แต่น้อย

ปึงเพียวเซาะคงจะคล้ายกลายเป็นคนไม่สนใจเรื่องราวใดๆไปแล้วจริงๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ต้องไม่ได้กลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งอย่างที่ผู้คนร่ำลือกันแน่ๆ เพราะขี้เมาอันดับหนึ่งต้องไม่สามารถทำให้บัณฑิตไร้ร่องรอยหัวหมุน ได้แต่ผุดลุกผุดนั่งทำอะไรไม่ถูก จนต้องจมอยู่กับไหสุราไม่สามารถไปไหนได้ถึงสามวันอย่างแน่นอน!

“ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญกลางเดือนหนาว...ยามแสงดาวลางเลือนเหมือนใจข้า...ในยุทธภพแม้มีคนอยู่หลายประเภทแต่บุคคลประเภทนี้นับว่ามีอยู่ไม่มากจริงๆ...” กล่าวพลางกรอกสุราลงคออีกแต่คราวนี้กลับดื่มเพียงเล็กน้อยซ้ำยังค่อยๆกรอกลงคออย่างเชื่องช้ายิ่ง “คนผู้นี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในยุทธภพมานานถึงสิบปีแต่คราวนี้กลับยอมเดินทางมาถึงที่นี่...”

ดรุณีผู้ซุกซนนั่งนิ่ง ครุ่นคิดพึมพำกับตนเองเบาๆ “หรืองานชุมนุมครั้งนี้ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธได้จริงๆ”

“นั่นย่อมแน่นอน...ไม่เช่นนั้นไหนเลยสองเซียนตระกูลลิ้มจะยอมเดินทางฝ่าหิมะกลางฤดูตงเทียนมาถึงที่นี่ได้...” สายตาแหลมคมราวจะเจาะทะลุหัวใจผู้คนมองดรุณีทั้งสองเป็นเชิงไถ่ถาม

“ผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังหมู่ตึกพันอักษรล้วนต้องใช้เส้นทางนี้ คาดว่าหลายในวันนี้ต้องมีผู้คนที่คาดคิดไม่ถึงยินยอมเดินทางยามอากาศเยี่ยงนี้เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน” แม้เสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยจะทำให้หัวใจของลิ้มปวยฮวยเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดสิบปี จิตใจยิ่งว้าวุ่นวิตกกังวล แต่ยังพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ยอมเผยความรู้สึกของตนต่อหน้าผู้อื่นทั้งสิ้น...เป็นคุณชายปึงจริงๆ...ทำไมเขาถึงเดินทางมาที่นี่...หรือ...

“หรือครั้งนี้คุณชายปึงจะเข้าร่วมการประลองด้วย!” ลิ้มเอ็งฮวยโพล่งออกมาสีหน้าแตกตื่นอย่างยิ่ง

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะจนตัวงอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

ลิ้มปวยฮวยได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเอี้ยป้อฮู้ คุณชายปึงคล้ายตายไปจากยุทธภพตั้งแต่สิบปีที่แล้วจริงๆ...ถ้าอย่างนั้น...

น้ำเสียงที่ปกติมักราบเรียบจนเกือบจะไร้ความรู้สึกของลิ้มปวยฮวยถึงกับสั่นเครือเล็กน้อย นางไม่ทราบนี่เรียกว่าความรู้สึกใดกันแน่ สงสาร เห็นใจหรือเวทนาหรือเป็นสิ่งใดแน่...หรือเซียนแพทย์ไร้ใจจะกลับมีหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง!

“ผ่านไปสิบปี...แต่เสียงขลุ่ยของคุณชายปึงมิได้เปลี่ยนไปจากวันนั้นเลย...ในยุทธภพแม้มีคนอยู่หลายประเภทแต่บุคคลประเภทนี้นับว่ามีอยู่ไม่มากจริงๆ”

เสียงขลุ่ยหยุดชะงักลงอีกแล้ว พร้อมกับความเงียบที่เข้าปกคลุมห้องโถงแห่งนั้น ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงบุรุษเจ้าของเสียงขลุ่ยอีก ราวกับทุกคนพอใจที่จะให้การสนทนายุติลงพร้อมกับการเงียบหายไปของกระแสเสียงคร่ำครวญเชือดเฉือนจิตใจผู้คน

บางทีอาจเพราะทั้งหมดไม่ต้องการพูดคุยถึงเรื่องราวของบุรุษผู้เสมือนตายไปจากยุทธภพถึงสิบปีแล้ว

ที่เป็นเช่นนี้เนื่องเพราะเหตุผลหลายประการ ทุกผู้คนมักมีเหตุผลของตนที่ดียิ่ง

ผู้คนส่วนมาก ที่ไม่ยินยอมพูดถึงผู้ที่จากไปแล้ว เป็นเพราะไม่ต้องการหวนนึกถึงช่วงเวลาบางช่วง

เป็นช่วงเวลาที่หวนคิดถึงแล้วมักทำให้ตนเองต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง

เป็นช่วงเวลาใด?

ย่อมต้องเป็นช่วงเวลาที่ท่านอยู่ร่วมกับคนผู้นั้นอย่างมีความสุขยิ่ง

เนื่องเพราะท่านตระหนักดีว่าช่วงเวลาเช่นนั้นไม่สามารถหวนคืนกลับมาอีกแล้วตลอดกาล!

ผู้ใดเป็นเช่นนี้?

ความเงียบปกคลุมห้องโถงของโรงเตี๊ยมซอมซ่อครู่ใหญ่

ที่นี่นับเป็นนอกเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งจริงๆ ความเงียบสงบสามารถแทรกตัวเข้าปกคลุมเพียงไม่นาน ภายนอกโรงเตี๊ยมพลันบังเกิดเสียงดัง ต๊อกๆๆๆ ตามทางเดิน เหมือนมีคนใช้วัตถุแข็งๆเคาะบนพื้นหิมะหนาแกร่ง ยิ่งเดินยิ่งใกล้โรงเตี๊ยมซอมซ่อแห่งนี้เข้ามาทุกขณะ จังหวะการเคาะแต่ละครั้งล้วนเท่ากันมิผิดเพี้ยน

เมื่อได้ยินเสียงเคาะพื้นดังต๊อกๆๆที่ใกล้เข้ามาเอี้ยป้อฮู้รีบหยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกจากห่อผ้า หันไปทางประตูโรงเตี๊ยมซึ่งบุผ้านวมผืนใหญ่ตะโกนออกไปเสียงดังกังวาน “สุราของร้านนี้นับว่าไม่เลวจนเกินไปทั้งยังอุ่นอย่างยิ่ง...เกี๊ยวน้ำของที่นี่รสชาตินับว่าใช้ได้ทีเดียว...หรือท่านคิดว่าที่ด้านนอกยังมีสิ่งใดน่าสนใจยิ่งกว่านี้” ปลายพู่กันจรดบนกระดาษขาวใจจดจ่อรอเสียงตอบจากอีกฝ่าย

เต็งพู้ย้งหยุดฝีเท้าลงกระทันหันนางจำสุ้มเสียงคนผู้นี้ได้ดี ทั้งยังมั่นใจว่าการเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรคราวนี้จะต้องเจอะเจอคนผู้นี้แน่นอน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันเร็วขนาดนี้ นางหันไปยังประตูโรงเตี๊ยมราวกับชั่งใจว่าควรเดินเข้าไปข้างในดีหรือไม่

“ด้านนอกไม่มีสิ่งใดน่าสนใจจริงๆ ข้าเพียงแต่ไม่อยากรบกวนเวลาเขียนหนังสือของพี่เอี้ยเท่านั้น...” แม้ยังไม่เดินเข้าไปด้านในแต่สุ้มเสียงของนางกลับดังประหนึ่งได้มานั่งอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้ว

เพียงได้ยินเสียงตอบกลับ ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับยิ้มจนแก้มแทบปริ กระโดดลุกขึ้นไปเปิดผ้านวมด้านในประตูให้กับแขกผู้มาใหม่ในทันที ครู่หนึ่งจึงเดินคล้องแขนหญิงวัยยี่สิบปลายๆเข้ามาในร้าน

เต็งพู้ย้งสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ที่หนาอย่างยิ่ง แม้ไม่ล้ำค่าเท่ากับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกของพี่น้องตระกูลลิ้ม แต่ยังสามารถต้านทานลมหนาวที่พัดโชยอยู่ด้านนอกอย่างมีประสิทธิภาพ ในมือนางยังถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่ธรรมดาอันหนึ่ง นางถูกลิ้มเอ็งฮวยจูงมือให้เดินไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับพวกนางสองพี่น้อง

ลิ้มปวยฮวยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างยิ่งเมื่อพบเห็นสตรีผู้นี้ เป็นรอยยิ้มอย่างยินดีที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ยามยิ้มเช่นนี้ทำให้นางถึงกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สีหน้าที่เฉยเมยเมื่อคลายลงพลันบังเกิดความงดงามตามธรรมชาติขึ้นอีกหลายส่วน โดยเฉพาะดวงตาที่ใสกระจ่างไร้แววกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ตลอดกาล นี่จึงสมควรเป็นใบหน้าของดรุณีผู้มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปีอย่างนางโดยแท้

เต็งพู้ย้งอมยิ้มกับตนเอง “ยากยิ่งจริงๆที่จะพบเจ้าทั้งสองในสถานที่แบบนี้”

“หากไม่เป็นเพราะโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี้เต็มหมดเราพี่น้องคงไม่มาพักโรงเตี๊ยมซอมซ่ออย่างนี้หรอก ข้าบอกท่านพี่แล้วขอเพียงจ่ายเงินให้มากหน่อยไหนเลยหาห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชไม่ได้ แต่ท่านพี่ยังยืนยันให้หาโรงเตี๊ยมอื่นพัก...แฮะ...ในที่สุดกลับมีแต่ที่นี่ที่มีห้องว่าง”

สตรีผู้พึ่งมาถึงยังคงยิ้มละไม “ห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็กเฮียะแชเต็มมาหลายวันแล้วหากเถ้าแก่สามารถหาห้องพักให้เจ้าสองพี่น้องได้ คาดว่าต้องมีแขกบางคนต้องออกไปนอนตากลมหนาวอยู่ด้านนอก”

“เรื่องนั้นข้ากลับมิใส่ใจ...พูดก็พูดเถอะถ้าหลายวันนี้หิมะไม่ตกหนักเราคงเดินทางใกล้ถึงหมู่ตึกพันอักษรแล้ว” ลิ้มเอ็งฮวยเชิดปลายจมูกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

เอี้ยป้อฮู้หันมากล่าวกับพี่น้องตระกูลลิ้ม “เจ้าพูดถูกจริงๆการนัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธ”

“ผู้อื่นเชื้อเชิญท่านมักเพราะต้องการให้ท่านกระทำเรื่องบางอย่างให้ ผู้อื่นเชื้อเชิญข้าก็ย่อมต้องการให้ข้ากระทำเรื่องบางอย่างให้เช่นเดียวกัน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอเชื้อเชิญพี่พู้ย้งบ้าง” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวพลางหยิบไพ่ชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

“เอ็งฮวย...พี่พู้ย้งเพิ่งมาถึงเจ้าก็ก่อกวนเสียแล้ว” ลิ้มปวยฮวยดุน้องตนพร้อมทั้งรินน้ำชาให้เต็งพู้ย้ง

: เต็งพู้ย้งกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “น้องเอ็งฮวย ตระกูลเต็งของข้าไม่ได้ร่ำรวยนัก เกรงว่าไม่อาจรับการเชื้อเชิญของเจ้าได้บ่อยครั้ง อีกทั้งคนอย่างข้าชมชอบที่จะทำนายโชคชะตาให้ผู้อื่นเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าประมือกับปีศาจพนันน้อยอย่างเจ้าได้”

“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอเชื้อเชิญเรื่องที่ท่านถนัดบ้าง...” เอี้ยป้อฮู้แทรกขึ้นพร้อมทั้งเดินมานั่งที่โต๊ะเดียวกับสตรีทั้งสาม

เต็งพู้ย้งหยิบเหรียญเงินออกมาสามเหรียญส่งให้เอี้ยป้อฮู้ บัณฑิตซอมซ่อโยนเหรียญขึ้นในอากาศ เมื่อเหรียญหล่นลงมา เต็งพู้ย้งใช้มือสัมผัสที่หน้าเหรียญทั้งสามนั้นครั้งหนึ่งแล้วเก็บมันไว้ในแขนเสื้อดังเดิม

แม้นางจะไม่ใช่ดรุณีวัยแรกรุ่นแต่รูปโฉม ยังคงติดตาผู้พบเห็นอย่างยิ่ง นั่นเพราะนางมีสีหน้าสดชื่นยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ลักยิ้มที่น่าดูทั้งสองข้างราวกับจะปรากฏอยู่บนใบหน้านางตลอดกาล ทำให้ใบหน้าใสกระจ่างดูกลมกลึงราวดวงจันทร์คืนเพ็ญ เมื่อบวกกับรูปร่างที่ไม่สูงนักและยังอวบอิ่มเล็กน้อย ยิ่งทำให้นางดูเป็นดรุณีที่แสนใจดี ผู้ได้พบเห็นล้วนต้องเกิดความรู้สึกเป็นมิตรขึ้นโดยธรรมชาติอีกหลายส่วน ทั้งยังปราศจากริ้วรอยของวัยที่ล่วงเลยมา เพียงแต่เสียดายที่ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นแววตาทั้งสองของนางได้...

เนื่องเพราะดวงตาทั้งสองของนางได้ดับสนิทไปนานแล้ว!

“ฟ้าแยกจากน้ำ...ดูเหมือนการเดินทางคราวนี้ท่านจะไม่มีโชคเสียแล้ว...เพราะไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดล้วนต้องขัดแย้งกับผู้อื่นอยู่เรื่อยไป ยิ่งท่านพยายามมากขึ้นเท่าไหร่กลับยิ่งขัดแย้งกับผู้อื่นมากขึ้นทุกทีจนไม่อาจกระทำเรื่องราวใดๆที่ท่านต้องการให้สำเร็จได้ สายน้ำก่อเกิดจากฟ้า ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกหล่อเลี้ยงด้วยสายน้ำ หากฟ้าแยกจากน้ำสรรพสิ่งต่างๆจะอยู่ได้อย่างไร...

ผู้ใดได้ฟังคำนายว่าตนจะไม่มีโชคอย่างยิ่งหากไม่หงุดหงิดก็ต้องหดหู่ไม่สบายใจเป็นแน่ แต่เอี้ยป้อฮู้กลับอยู่นอกเหนือจากนี้ มันยังคงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “คนที่ต้องเขียนหนังสือยังชีพอย่างข้าก็ย่อมต้องมีข้อเขียนบางเรื่องที่อาจล่วงเกินผู้อื่นไปบ้าง...ตลอดสิบกว่าปีมานี้ข้ามีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นจนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว”

“แต่หวังว่าพี่เอี้ยคงไม่นำเรื่องไร้สาระของข้าไปเขียนหรอกนะ ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องขายหน้าสหายชาวยุทธเป็นแน่”

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะขึ้นเสียงดัง “นี่ท่านยังกลัวว่าผู้อื่นจะรู้จักอีกหรือ ในยุทธภพนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จักซินแสลิขิตฟ้า!”

“ในยุทธภพนี้คาดว่าผู้ที่ไม่เคยอ่านหนังสือของท่านคงมีไม่กี่คนเช่นกัน...”

“หมู่ตึกพันอักษรความจริงเป็นสถานที่สวยงามแห่งหนึ่ง คราวนี้เมื่อไปถึงท่านก็ควรอยู่นานหน่อยโชคของท่านอาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้...” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวขึ้นพร้อมกับชำเลืองสายตาประชดประชันไปยังเอี้ยป้อฮู้ พลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “และบางทีอาจทำให้ข้อความในหนังสือของท่านเล่มนี้มีอะไรที่ยืนยันได้บ้าง ไม่ใช่มีแต่เรื่องไร้สาระอย่างนี้”

สีหน้าของเอี้ยป้อฮู้แปรเปลี่ยนเป็นขมึงทึงในทันที แววตาเย็นชาจ้องนางเขม็ง “เจ้าลืมแล้วหรือว่าเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษรเมื่อสิบปีก่อนข้าก็อยู่ด้วย...”

“ท่านอยู่แล้วข้าไม่อยู่หรือไง พี่พู้ย้งก็อยู่พี่ปวยฮวยก็อยู่...”

“ถึงพวกเจ้าจะอยู่แต่ตอนนั้นพวกเจ้ายังเด็กอยู่จะไปรู้อะไร”

“อ้อ...แล้วตอนนั้นท่านเป็นตาแก่แล้วงั้นสิ อายุท่านตอนนั้นก็มากกว่าพี่พู้ย้งแค่สามหรือสี่ปีมากกว่าพี่ปวยฮวยก็แค่หกหรือเจ็ดปี” ลิ้มเอ็งฮวยยิ่งเสียงดังยิ่งทุ่มเถียงยิ่งเผ็ดร้อนขึ้นทุกที

“เอ็งฮวยเจ้าอย่าพูดเหลวไหลสิ ในช่วงสิบปีนี้ชาวยุทธคนไหนบ้างที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้” เซียนแพทย์ไร้ใจจ้องมองหนังสือบนโต๊ะอย่างเย็นชา วาจาแม้ฟังคล้ายห้ามปรามน้องของตน แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวพุ่งไปที่บัณฑิตไร้ร่องรอยโดยตรง

เอี้ยป้อฮู้สีหน้าแดงกล้ำ แต่มันยังฝืนกล้ำกลืนไว้เพราะทราบดีฝีมือของตนไม่สามารถตอแยกับเซียนแพทย์ตระกูลลิ้มได้

“ข้าย่อมไม่กล้าว่าหนังสือของท่านบัณฑิตไร้ร่องรอยเป็นเรื่องเหลวไหลแน่...ข้าแค่พูดตามท่านพ่อเท่านั้นแหละ” นางว่าพลางทำท่าทางประกอบเหมือนคนแก่ร่างอ้วนท้วน น้ำเสียงทุ้มใหญ่อยู่ในลำคอเลียนแบบประมุขบ้านตระกูลลิ้มบิดาของตน

“เฮ้ย!...หนังสือไร้สาระเขียนมาได้ยังไงใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้าว่าแต่ผู้อื่นน่าสงสัยแต่ข้าว่าเจ้านี่แหละน่าสงสัยที่สุด” นางแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จอมยุทธอี้ท่านช่างโชคร้ายจริงๆ เฮ้ย!”

เมื่อลิ้มเอ็งฮวยกล่าวจบแต่ละคนที่อยู่ภายในห้องถึงกับชะงักถ้อยคำลงโดยไม่ได้นัดหมาย แม้แต่ตัวนางเองก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อคิดได้ว่าตนได้กล่าวสิ่งที่ไม่ควรกล่าวอย่างยิ่งออกมา!

“ไม่ทราบว่าท่านลุงมาด้วยหลานต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปคารวะ” เต็งพู้ย้งหัวเราะเสียงใสดังกังวาน ล้อเลียนนางตอบ

เพียงประโยคเดียวของนางสามารถทำให้ความตึงเครียดในห้องสลายลงโดยพลัน!

ลิ้มเอ็งฮวยทำท่าลูบเคราใต้คางล้อเลียนบ้าง “ไม่ต้องเกรงใจๆ” แล้วยังไม่วายหันกลับไปแดกดันเอี้ยป้อฮู้อีกประโยคหนึ่ง “ความจริงท่านพ่อยังพูดมากกว่านี้อีกนะแต่ข้าน่ะไม่อยากจะบอกท่านหรอก”

เถ้าแก่ที่ออกไปต้มยาเดินกลับเข้ามาเช็ดโต๊ะต่ออีกแล้ว

ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก เป็นเสียงฝีเท้าของคนสองคน ไม่เพียงเสียงฝีเท้ายังมีเสียงผิวใบไม้ดังล่องลอยแผ่วเบา ท่วงทำนองในกระแสเสียงคล้ายคลึงอย่างแยกไม่ออกกับเสียงขลุ่ยโหยยะเยือกของปึงเพียวเซาะจนแทบจะเป็นท่วงทำนองเดียวกัน!

สามสตรีหนึ่งบุรุษในโรงเตี๊ยมทราบในทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร

ผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนี้เป็นสตรี...

สตรีที่นิยมผิวใบไม้ต้องมีไม่มาก ยิ่งท่วงทำนองเช่นนี้ยิ่งมีเพียงผู้เดียว!

เสียงผิวใบไม้หยุดลงเบื้องหน้าโรงเตี๊ยมพร้อมกับเสียงฝีเท้า ผู้มาเยือนทั้งสองจ้องมองรอยไม้เท้าของเต็งพู้ย้งที่ทิ้งรอยสม่ำเสมอบนพื้นหิมะ ปรากฏชัดรอยนั้นได้หายเข้าไปในโรงเตี๊ยมซอมซ่อ ทั้งคู่ยังยืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่มีวี่แววว่าจะเดินเข้ามาในร้าน

เอี้ยป้อฮู้แววตาเป็นประกาย แสดงอาการลิงโลดกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า ไม่ใส่ใจจะโต้เถียงกับลิ้มเอ็งฮวยอีกแล้ว สำหรับมันแล้วผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกยังน่าสนใจมากกว่าดรุณีเจ้าเล่ห์ผู้นี้หลายสิบเท่า “เถ้าแก่ดูเหมือนว่าวันนี้การค้าของท่านจะดีอย่างยิ่ง...”

“นอกจากข้าจะชมชอบที่จะทำนายโชคชะตาให้ผู้อื่น ในบางครั้งยังชอบที่จะเลี้ยงผู้อื่นอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่ทราบคุณหนูรองกับคุณหนูสามจะให้เกียรติ์ได้หรือไม่”

เสียงที่หากได้ยินครั้งหนึ่งจะต้องไม่มีบุรุษใดกล้าลืมเลือนตอบกลับจากด้านนอก “พี่พู้ย้งให้เกียรติ์เกินไปแล้ว เราพี่น้องยังต้องรีบเดินทาง น่าเสียดายที่ไม่อาจให้ท่านเลี้ยงได้” ผู้ได้ยินเสียงนี้ต้องคาดได้ว่าเจ้าของเสียงถึงไม่ใช่เทพธิดามาจุติ แต่อย่างน้อยต้องงดงามไม่แพ้โฉมงามอันดับหนึ่งแน่นอน!

เอี้ยป้อฮู้รีบแทรกขึ้น น้ำเสียงนุ่มนวลเอาอกเอาใจ “อากาศเยี่ยงนี้คุณหนูรองจะต้องรีบร้อนไปใย หมู่ตึกพันอักษรไม่เดินหนีไปไหนหรอก...”

“พี่พู้ย้งอุตส่าห์เชื้อเชิญแต่พวกเจ้ากลับไม่ให้เกียรติ์...คนของตระกูลเซี่ยงกัวคงคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถมากกว่าผู้อื่นสินะ” ลิ้มเอ็งฮวยทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิดท่าทีของเจ้าของเสียงที่อยู่ด้านนอกเป็นอย่างยิ่ง

คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน มิใช่คุณหนูรองแต่เป็นคุณหนูสาม...

เซี่ยงกัวบ่อซวงเดินเข้ามาในร้านเพียงคนเดียว

ทั้งอายุและรูปร่างของนางดูใกล้เคียงกับลิ้มเอ็งฮวย แต่รูปร่างหน้าตาแท้จริงของนางเป็นเช่นไรกลับไม่มีผู้ใดมองเห็น เพราะนางสวมชุดกันหนาวที่หนาอย่างยิ่งปกปิดร่างกายจนมิดชิด ยังมีผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ปิดหน้าตา เผยให้เห็นเพียงแววตาขมึงทึงดุดันทั้งคู่เท่านั้น

“แล้วอย่างเจ้ามีความสามารถใดกัน” นางยิ้มเยาะเย้ยหยัน “ข้านึกไม่ออกจริงๆว่า นอกจากวิชาหมาแมวแอบลอบทำร้ายผู้อื่นเจ้ายังจะสามารถทำสิ่งใดได้”

“ข้าไม่มีความสามารถอื่นจริงๆแต่แค่ทำให้เจ้าหยุดพูดข้าทำได้แน่นอน...”

ลิ้มเอ็งฮวยชักกระบี่ออกจากฝักข้างเอวอย่างรวดเร็ว คมกระบี่พริ้วไหวพุ่งตรงไปยังลำคอของเซี่ยงกัวบ่อซวง เซี่ยงกัวบ่อซวงเคลื่อนไหวตัวเล็กน้อยหลบคมกระบี่พร้อมใช้เพียงสองนิ้วคีบปลายกระบี่ไว้ นางดึงลำกระบี่อย่างรวดเร็วจนกระบี่หลุดจากมือลิ้มเอ็งฮวย พริบตานั้นคมกระบี่กลับไปจ่ออยู่ที่คอของลิ้มเอ็งฮวยแต่ผู้ที่ถือกระบี่กลับกลายเป็นเซี่ยงกัวบ่อซวง!

“ฝีมืออย่างเจ้ารอดมาถึงวันนี้ได้ยังไงนะ....เจ้าสำนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว”

ลิ้มเอ็งฮวยยังยิ้มแย้มไม่สะทกสะท้านมองปลายกระบี่ดั่งเป็นท่อนไม้ “คนที่ต้องสำนึกเสียใจเป็นเจ้าต่างหาก ฝีมือข้าน่ะสู้เจ้าไม่ได้แน่นอนเพราะคนอย่างข้าเก่งแต่วิชาหมาแมวแอบลอบทำร้ายผู้อื่นเท่านั้นแหละ”

เซี่ยงกัวบ่อซวงเริ่มรู้สึกตลอดทั้งร่างแข็งชาจนขยับไม่ได้กระบี่พลันหลุดจากมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง รอยยิ้มเยาะเย้นหายไปจนสิ้นใบหน้าซีดเผือด

“เจ้า!...พี่เม้งจู!...ข้า!...ข้า!”

ลิ้มเอ็งฮวยยิ้ม***มเกรียมอย่างเป็นต่อ “หรือเจ้าคิดว่าสามารถแย่งกระบี่จากข้าได้ง่ายขนาดนี้”

คุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูยังยืนสงบนิ่งอยู่ด้านนอกน้ำเสียงยังแจ่มใสเป็นปกติ “เรื่องล้อเล่นของเด็กๆแม่นางลิ้มคงไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง...”

ลิ้มปวยฮวยคล้ายไม่แม้แต่จะใช้หางตามองดรุณีที่ยืนแข็งทื่ออยู่ด้านข้าง นางเพียงแค่ขยับนิ้วมือแผ่วเบาสองครั้ง เกิดประกายสีเงินสามสี่สายพุ่งอย่างรวดเร็วไปที่ตัวเซี่ยงกัวบ่อซวง โดยที่นางไม่สามารถหลบหลีกได้แม้แต่น้อย

ร่างบอบบางในชุดกันหนาวทรุดฮวบลงคล้ายหลุดจากเครื่องพันธนาการ พยายามทรงกายลุกขึ้นยืน แววตาขมึงทึงจ้องลิ้มปวยฮวยกับลิ้มเอ็งอวยสลับกันไปมา

การลงมือใช้พิษและถอนพิษที่หมดจดเช่นนี้ แม้แต่เอี้ยป้อฮู้ยังอดกล่าวชมเชยไม่ได้ “ใช้พิษไร้รูปร่างขจัดพิษไร้ร่องรอย สมกับเป็นเซียนแพทย์ไร้ใจกับเซียนพิษไร้ตำหนิจริงๆ!”

ลิ้มปวยฮวยยังมีสีหน้าเฉยชา เชิดเสียงขึ้น “ฮึ...น้องเอ็งฮวยก็แค่ล้อคุณหนูสามเล่นเท่านั้น อย่างนางนอกจากความสามารถในการหลอกลวงผู้อื่นเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดถึงได้...”

แววเจ็บช้ำปรากฏชัดบนใบหน้าเซี่ยงกัวบ่อซวงดวงตาดุดันเอ่อล้นด้วยน้ำตา “ผ่านไปสิบปี...คนหนึ่งได้ฉายาเซียนแพทย์อีกคนเป็นเซียนพิษ ไม่มีผู้ใดที่เจ้ารักษาไม่ได้ ไม่มีพิษใดที่เจ้าไม่รู้จัก...ทำไม...ทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีความสามารถเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน”

นางน้ำตาคลอเดินออกไป ทิ้งให้ลิ้มปวยฮวยและลิ้มเอ็งฮวยนิ่งอึ้งกับคำตัดพ้อของนาง

เต็งพู้ย้งกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใยดุจพี่สาวไถ่ถามน้องของตน “ในเมื่อไม่อาจเลี้ยงสุรา แต่การทำนายของข้าใช้เวลาไม่มากนัก คุณหนูทั้งสองน่าจะพอให้เกียรติ์ได้”

น้ำเสียงของเซี่ยงกัวเม้งจูแฝงความเจ็บช้ำรันทดไม่ยิ่งหย่อนกว่าน้องของนาง “คำทำนายของซินแสลิขิตฟ้า แม้ไม่ถูกต้องทั้งสิบส่วนแต่อย่างน้อยยังแม่นยำถึงแปดส่วนข้าหรือจะไม่เชื่อถือ” น้ำเสียงยิ่งกล่าวยิ่งคล้ายคมกระบี่จงใจทิ่มแทงจิตใจผู้ฟัง

“หวังแต่ว่าเมื่อท่านคำนายแล้วไม่ว่าผลคำทำนายจะออกมาดีหรือร้ายอย่างไรขอให้บอกกับข้าตามความเป็นจริง...ไม่อ้ำๆอึ้งๆเหมือนเมื่อสิบปีก่อนก็พอแล้ว”

: เต็งพู้ย้งถึงกับอับจนถ้อยคำไปอีกคนสภาพไม่แตกต่างจากพี่น้องตระกูลลิ้ม

“เราพี่น้องคงต้องขอตัวก่อน...” สองพี่น้องตระกูลเซี่ยงกัวเดินจากไปแล้ว

สามสตรีหนึ่งบุรุษที่นั่งอยู่ภายในโรงเตี๊ยมต่างนิ่งเงียบหวนคิดถึงอดีตที่แต่ละคนพยายามจะลืมเลือนมาตลอดสิบปี

เต็งพู้ย้งได้แต่ฝืนยิ้ม กล่าวกับพี่น้องตระกูลลิ้ม “หลังเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษรนับเป็นเวลาสิบปีแล้วที่คนของตระกูลเซี่ยงกัวไม่เคยย่างก้าวเข้ามาในตงง้วนอีกเลย...

เอี้ยป้อฮู้ก็พึมพำขึ้นกับตนเองเบาๆ “นัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้จริงๆ”

เสียงฝีเท้าทั้งสองดังห่างออกไปทุกที...

ในที่สุดก็เงียบหายไปพร้อมกับหิมะที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย...
.........................................................................................................................................

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 3)




: บทที่ 3.

มหานครจุงกิงเมืองท่าค้าขายที่มีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลาจนเป็นเรื่องปกติ

ไม่ว่าดึกดื่นอย่างไรโรงเตี๊ยมเลื่องชื่อของที่นี่ยังมีคนเดินเข้าๆออกๆ ราวกับผู้คนในเมืองนี้ไม่ต้องการนอนหลับพักผ่อน

ชิกแชฮั้วฮึงเป็นโรงเตี๊ยมเลื่องชื่อที่สุดในมหานครแห่งนี้ ห้องพักชั้นบนทั้งหมดของตึกคะนึงหาถูกจองล่วงหน้าไว้หลายวันแล้ว แต่แขกเจ้าของห้องพิเศษสองห้องที่อยู่ด้านในสุดเพิ่งมาถึงหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าราวครึ่งชั่วยาม

จนขณะนี้เวลาล่วงเลยมาจนอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามจะรุ่งสางแล้ว

ภายในห้องหนึ่งดั่งจัดงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกลา ตั้งแต่เจ้าของห้องมาถึงจนล่วงมาจนยามนี้ภายในบังเกิดสารพัดสรรพเสียงประหนึ่งกำลังมีงานพิธีใหญ่โต

เสียงดนตรีกระจับปี่ ดีดพิณบรรเลงประสานสอดคล้องสร้างความครึกครื้นอย่างยิ่ง

เสียงนักร้องขับกล่อมสดใสกังวานยิ่งกว่าเสียงของสกุณาใดๆจะเทียบเทียม

เสียงดรุณีน้อยหัวเราะคิกคักๆตลอดเวลา

เสียงเล่นทายนิ้วมือ

“ท่านแพ้ต้องดื่มอีกแล้ว”

“ท่านมักเอาเปรียบผู้อื่นต้องถูกปรับอีก”

“คุณชายท่านเมาแล้ว”

นั่นล้วนเป็นเสียงของเสี่ยวชุ่ยและชุนฮัว เสียงที่สามารถหลอมละลายบุรุษเพศได้แทบทุกผู้คน

บุรุษที่อยู่ในห้องเป็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์ราคาแพง เป็นโยชิโอกะ ริวจิ

แม้ถูกกรอกด้วยสุราชั้นดีมาครึ่งค่อนคืนแต่ริวจิกลับยังไม่เมา ดวงตายังแจ่มใส มือไม้ยังว่องไว สติยังสมบูรณ์ยิ่ง ท่ามกลางเสียงออดอ้อนของสาวงามทั้งสอง ดาบยาวด้ามเก่าคร่ำคร่าฝักสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดๆเล่มนั้นยังแขวนอยู่ข้างเอวตลอดเวลา

ริวจิหัวเราะอย่างมีความสุขยิ่ง ไม่ว่าช่วงเวลาเช่นใดริวจิล้วนไม่นำพา ตนเองยังคงต้องมีความสุขแทบตายอยู่เสมอ

ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้คนในห้องนี้ ภายในห้องพิเศษอีกห้องที่อยู่ถัดไปกลับปราศจากสุ่มเสียงใดๆตลอดราตรี

สำหรับที่นี่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นเนื่องเพราะเหตุผลเพียงสองประการ

ประการแรกในห้องไม่มีผู้คนอยู่อาศัย

ประการที่สองผู้อยู่ในห้องต่างหลับไหลแล้ว

แต่ตอนนี้ในห้องพักยังมีผู้คนทั้งผู้อยู่ในห้องไม่ได้หลับไหลอีกด้วย

ผู้อยู่ภายในย่อมเป็นชายชุดเขียวผู้สวมชุดราบเรียบ

ดาบยาววางไว้ข้างลำตัวแต่กลับดูเหมือนมันยังคงอยู่ในมือชายผู้นั้นตลอดเวลา!

โยชิโอกะ ริวจิและนาคามูระ โยชิเดินทางมาถึงที่นี่หลังพลบค่ำ เมื่อมีเงินขาวๆก้อนโตๆจำนวนไม่อั้นท่านสามารถจ้างวานบุรุษกำยำหลายคนให้ขุดหิมะที่ขวางถนนออกพอเพียงที่รถม้าขนาดย่อมจะวิ่งผ่านได้

รถม้าสองคันสารถีต่างขับอย่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็มาถึงเมืองท่าของแม่น้ำแยงซีเกียง

หลังการประลองนาคามูระ โยชิ จะนอนหลับสนิทเสมอ คืนที่ผ่านมามันนอนหลับสนิทอย่างยิ่ง

ไม่ใช่เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการประลอง หลังจากฆ่าคน มันไม่ต้องการกระทำสิ่งใด นาคามูระ โยชิ จะนอนหลับเสมอ...

สิบปีที่ผ่านมาชีวิตของมันเป็นเช่นนี้...

นี่คือชีวิตของมือสังหารไร้รัก!

ภายในห้องพักที่ดีที่สุดหรูหราที่สุดของโรงเตี๊ยมมีชื่อที่สุดกลับมีเพียงเตียงและโต๊ะเตี้ยๆหนึ่งตัวกับเบาะรองนั่งอีกสองอันเท่านั้น

เมื่อมีเงินก้อนโตๆท่านสามารถบันดาลให้กระท่อมซอมซ่อกลายเป็นงดงามดั่งบ้านคหบดีที่ร่ำรวยได้ และสามารถแปลงห้องที่หรูหราอย่างยิ่งให้เรียบง่ายได้ดุจเดียวกัน

นาคามูระ โยชิตื่นราวครึ่งชั่วยามแล้ว ย่อมไม่ใช่เพราะเสียงดังอันเกิดจากห้องข้างเคียง แต่นี่เป็นเวลาที่ต้องตื่นแล้ว คนผู้นี้ไม่เคยตื่นหลังช่วงเวลานี้มาก่อน

น้ำร้อนหนึ่งกาถูกเด็กรับใช้ยกเข้ามาแล้ว ชาเขียวก็ต้มเสร็จแล้ว

ครู่หนึ่งประตูห้องเปิดออกบุรุษหน้าขาวปราศจากริ้วรอยคิ้วเรียวยาวเดินเข้ามา แม้ไม่ได้หลับนอนตลอดคืน แต่มันยังมีรอยยิ้มแจ่มใสเกลื่อนใบหน้า

โยชิโอกะ ริวจินั่งลงเบื้องหน้านาคามูระ โยชิ อย่างสำรวม หลังจากรับถ้วยน้ำชามาดื่มจนหมดจึงเริ่มกล่าวขึ้น

“หากเราเร่งเดินทางอีกสองสามวันคงไปถึงหมู่ตึกพันอักษร” ตั้งแต่การประลองเมื่อก่อนพลบค่ำจนถึงเวลานี้ทั้งสองเพิ่งจะเริ่มพูดจากัน

“ในละแวกนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องการพบ” นี่นับเป็นคำแรกที่มันกล่าวกับบุรุษหน้าขาวตั้งแต่หลังจากการประลอง

คิ้วเรียวของริวจิขมวดเข้าหากันความไม่พอใจบังเกิดขึ้นบนสีหน้า “อีกเพียงสิบวันก็ถึงวันประลองที่ท่านผู้เฒ่านัดหมายแล้ว ท่านควรออมกำลังไว้บ้าง...เมื่อถึงหมู่ตึกพันอักษรต้องมีผู้ที่คู่ควรกับท่านอีกหลายคน...ตระกูลใหญ่ทั้งห้าคงส่งคนเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้กันครบ”

“เป็น ลิ้มปวยฮวย เต็งพู้ย้ง เซี่ยงกัวเม้งจู ตระกูลกงซุนไม่ทราบท่านผู้เฒ่าจะให้ใครเข้าร่วมประลองหรือไม่ ส่วนตระกูลปึงคิดว่าไม่ส่งผู้ใด นอกจากคนของตระกูลทั้งห้าคงมีผู้พอจะประลองกับข้าพเจ้าอีกหนึ่งหรือสองคน ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการไปพบวันนี้นับเป็นหนึ่งในสองนั้น” คำพูดของมันรวบรัดชัดเจนเสมอมา

หน้าขาวเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีคิ้วเรียวยิ่งขมวดเข้าหากัน “ถ้างั้นคนผู้นั้นย่อมต้องไปงานชุมนุมที่หมู่ตึกพันอักษรแน่ ท่านยังจะเสียแรงไปเสาะหาทำไม”

“ลดไปหนึ่งคนย่อมดีกว่า”

เมื่อมันเริ่มหงุดหงิดเสียงยิ่งกล่าวยิ่งดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ท่านทำแบบนี้ผู้อื่นก็ได้เปรียบน่ะสิ ผู้อื่นต่างเดินทางอย่างสะดวกสบาย เมื่อไปถึงยังพบว่าผู้เข้าร่วมชิงคัมภีร์ถูกท่านกำจัดไประหว่างทางเสียมากมายแล้ว ถึงเวลานั้นที่เหลืออยู่ล้วนเป็นยอดฝีมือและยังสดชื่นอย่างยิ่ง ส่วนท่านกลับต้องตรากตรำตลอดการเดินทางย่อมต้องเสียเปรียบแน่นอน...ข้าไม่เข้าใจจริงๆ...ท่านกับท่านพ่อคิดยังไง ทำไมถึงรีบร้อนให้ท่านท้าประลองกับเหล่ายอดฝีมือตั้งแต่ได้รับเทียบเชิญของท่านผู้เฒ่า หากคิดจัดการกับคนเหล่านั้นความจริงรอให้ถึงเวลาประลองที่หมู่ตึกพันอักษรก่อนก็ได้”

นาคามูระ โยชินิ่งเงียบ เหตุผลของเรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ตนทราบดี การกระทำของมันล้วนต้องมีเหตุผลที่ดียิ่ง มันจนใจที่เวลานี้ยังไม่สามารถบอกริวจิได้ว่าเหตุใดจึงต้องกระทำเรื่องที่เสียเปรียบผู้อื่นเช่นนี้ ดังนั้นมันจึงได้แต่นิ่งเงียบ

ครั้นโยชินิ่งเงียบ ริวจิจึงเข้าใจไปว่ามันคล้อยตามความคิดของตน รอยยิ้มอย่างยินดีจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า น้ำเสียงก็เริ่มอ่อนลง

“ท่านควรหาเวลาผ่อนคลายบ้าง เมื่อถึงหมู่ตึกพันอักษรย่อมต้องเคร่งเครียดอีกมากแต่ยามนี้ยังมิใช่...”

ริวจิปรบมือสองครั้งประตูห้องเปิดออก เด็กรับใช้ทยอยยกอาหารหลากชนิดเข้ามาตั้งบนโต๊ะเตี๊ยๆตัวเดียวที่อยู่กลางห้อง

“นางปีศาจน้อยพวกนั้นชมชอบทำลายสมาธิผู้อื่น...ข้าพเจ้าทราบท่านไม่เคยชมชอบพวกนาง”

โยชิไม่สนใจคำพูดนั้นก้มหน้าลงคีบเนื้อชิ้นหนึ่ง นี่เป็นอาหารมื้อแรกภายหลังจากการประลอง...

ริวจิมองโยชิด้วยสายตาแสดงถึงความเคารพนับถืออย่างยิ่ง เป็นครั้งที่สองในเวลาหนึ่งวันที่มันมองผู้อื่นด้วยสายตาเช่นนี้ ผู้ที่ไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้มักคิดว่าริวจิถือโยชิเป็นเพียงบ่าวไพร่ ไม่ว่าอย่างไรไม่ยอมนับถือเป็นสหาย

ซึ่งความจริงโยชิโอกะ ริวจิไม่นับนาคามูระ โยชิเป็นสหายอย่างแน่นอน เพราะสำหรับมันแล้วผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อมันในขณะนี้นอกจากบิดาก็มีเพียง นาคามูระ โยชิ อีกคนเดียวเท่านั้น!


: มันมักไม่ทราบควรทำอย่างไรโยชิจึงยินดี เพราะคนผู้นี้ดูเหมือนไม่มีความสนใจในเรื่องใดเลยจริงๆ มันเองความจริงเป็นกงจื้อเจ้าสำอางไม่เคยต้องเอาใจใส่ผู้ใด แต่เวลานี้เมื่อเห็นโยชิทานข้าวได้มากอย่างยิ่ง มันถึงกับรู้สึกยินดีนัก สายตาจดจำอาหารเหล่านั้นไว้วันหลังหวังจะสั่งมาอีก แต่แล้วสายตาที่มีอนุภาพสยบดรุณีมาแล้วมากมายกลับหนักอึ้งอย่างยิ่ง ไม่ทราบเพราะเหตุใดตอนนี้ดวงตาของมันถึงกับปิดลงแล้ว!

ร่างของมันล้มฟุบลงบนโต๊ะนั่นเอง!

นาคามูระ โยชิมิได้ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย สีหน้าเคร่งขรึมยังสงบนิ่งดุจเดิม วางตะเกียบในมือลงอย่างแช่มช้าไม่ทราบดาบยาวมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ พลางหยิบขวดเล็กๆใบหนึ่งออกมาจากชายเสื้อ ในขวดนั้นบรรจุยาสีดำเม็ดเล็กๆอยู่เต็ม มันหยิบใส่ปากริวจิเม็ดหนึ่งแล้วจึงหยิบอีกเม็ดหนึ่งกลืนลงไป

จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินอย่างไม่รีบร้อนไปเปิดประตูห้องออก นาคามูระ โยชิเดินเชื่องช้าออกมายืนเพ่งมองไปยังด้านนอก ท้องฟ้ายังมืดสนิท แม้ยังมิแลเห็นผู้ใด แต่โยชิทราบผู้วางยาต้องยังอยู่บริเวณนี้ เนื่องเพราะที่มันใช้ไม่ใช่ยาพิษหากแต่เป็นยาสลบ ผู้ที่คิดวางยาสลบผู้คนย่อมต้องมีจุดประสงค์อื่นที่มิใช่ต้องการสังหารชีวิต หากต้องการชีวิตผู้อื่นใช้ยาพิษย่อมง่ายดายกว่า ดังนั้นเมื่อวางยาแล้วคนผู้นั้นต้องรอคอยอยู่ รอคอยให้ทั้งสองสิ้นสติมันจึงจะลงมือขั้นต่อไป

โยชิหันไปมองสำรวจทั่วบริเวณครู่หนึ่งก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว พุ่งร่างตรงไปยังประตูทางออกด้านหลัง วิ่งไปตามตรอกเล็กหลังโรงเตี๊ยมจนออกสู่ทางใหญ่ที่จะมุ่งออกนอกเมือง นี่เป็นความเร็วที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ใครจะคาดคิดว่าผู้ที่มิได้ฝึกวิชาตัวเบากลับเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!

หลักวิทยายุทธของเกาะพู้ซึ้งแตกต่างกับชาวตงง้วนอย่างสิ้นเชิง มันทั้งไม่รู้จักวิชาสกัดจุดและวิชาตัวเบา แต่ในหมู่เกาะพู้ซึ้งยังมีสำนักที่มีวิชาคล้ายการสกัดจุดและวิชาตัวเบาอยู่ คนของสำนักนี้ล้วนแต่งกายรัดกุมด้วยชุดสีดำปิดหน้าตา หน้าที่ของพวกมันคือการสืบข่าวและลอบสังหารผู้อื่น โยชิยังเคยประมือกับพวกนี้บ่อยครั้ง แต่สำหรับมันวิชาเหล่านั้นเป็นเพียงการละเล่นของเด็กๆเท่านั้น

ทางออกนอกเมืองยังถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา เกือบสามลี้แล้วแต่มันยังวิ่งอย่างรวดเร็วแม้ไม่ถึงขนาดเหยียบหิมะไร้รอยแต่ด้วยความเร็วนี้ในยุทธภพผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ต้องมีไม่เกินสิบคนอย่างแน่นอน มันจึงมีความมั่นใจต้องตามผู้ที่อยู่เบื้องหน้าทันแน่

แต่ทันใดนั้นเท้าของมันกลับเหยียบลงบนของสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่โดยปราศจากร่องรอยบนพื้นหิมะหนา!

ชั่วพริบตาทั่วร่างล้วนถูกคลุมด้วยตาข่ายเหนียวแกร่ง เชือกเส้นใหญ่ซึ่งคล้องปลายด้านหนึ่งของร่างแหกับต้นไม้ใหญ่ส่งแรงเหวี่ยงทั้งคนทั้งตาข่ายขึ้นสู่ด้านบนของต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็วจนโยชิไม่สามารถทรงตัวได้ แต่ชั่วพริบตานั้นดาบยาวในมือก็วาดออกอย่างรวดเร็ว ร่างแหที่คลุมกายพลันขาดสะบั้นร่างลอยละลิ่วพลิกกายตามแรงส่ง ปลายเท้าเมื่อแตะถูกยอดไม้รีบหยิบยืมสภาวะแรง หมุนร่างยืนทรงตัวอย่างมั่นคงในทันที สายตาเย็นชาจ้องมองไปยังพุ่มไม้เบื้องล่าง

คนผู้หนึ่งเดินออกจากพุ่มไม้ข้างทางใบหน้ามีผ้าคลุมสีดำไว้จนมิดชิด

“คิดจะจับเหยื่อตัวโตเช่นนี้กลับไม่ง่ายดายนัก” สุ่มเสียงนี้กลับเป็นของดรุณีน้อยผู้หนึ่ง

โยชิเพ่งมองนางแน่วนิ่งโผร่างลงมาเบื้องล่างดวงตาเป็นประกายจับจ้องอยู่ที่ร่างของดรุณีนางนั้น

“เจ้ามองข้าทำไม” นับเป็นน้ำเสียงที่ยียวนก่อกวนผู้ได้ยินอย่างยิ่งจริงๆ

“ต้องมิใช่เจ้าอย่างแน่นอน” เมื่อกล่าวจบดาบยาวพลันออกจากฝักอีกครั้ง

“มิใช่ข้าอะไร เจ้าทำกับดักข้าเสียหายแล้วยังคิดฆ่าคนปิดปากอีกหรือ” คำกล่าวที่ดูเหมือนไร้เดียงสาไม่รู้ถึงความหน้ากลัวของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นเช่นนั้นหรือ?

รังสีการฆ่าฟันของนาคามูระ โยชิที่แม้แต่เทพพู่กันคู่ยะเยือกซึ่งถ้าวัดที่ความหนักหน่วงรุนแรงอำมหิตของพลังฝีมือต้องถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือหนึ่งในสิบอันดับต้นยังถูกมันคุกคามจนไม่อาจเคลื่อนไหว แต่รังสีชนิดนี้กลับไม่มีผลต่อนางแม้แต่น้อย

สิ่งเหล่านี้ผู้อื่นอาจดูไม่ออก แต่นาคามูระ โยชิดูออก นางไม่ใช่ดรุณีน้อยธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ผู้ที่แพร่ยาสลบจะใช่นางหรือไม่ต่างไม่สำคัญ เนื่องเพราะบุคคลเช่นนี้ลดลงไปอีกคนหนึ่งย่อมต้องดีกว่า!

ดาบแรกฟันเฉียงๆขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว ดาบยาวพลิกวูบลงล่างติดตามต่อเนื่องในทันทีนี่นับเป็นดาบที่สองซึ่งกระจายรัศมีเป็นวงกว้างคุกคามจนดรุณีผู้นั้นต้องกระโดดถอยห่างออกมาหลายช่วงตัว กระบวนท่ายังไม่สิ้นสุดดาบที่สามกลับพุ่งตรงเข้าทรวงอกนางอย่างดื้อๆไร้ซึ่งการพลิกแพลงใดๆทั้งสิ้น! ด้วยความเร็วระดับนี้แม้ ยอดฝีมือธรรมดายังยากยิ่งที่หลบได้ ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งนางต้องรับมือได้ไม่เกินสิบกระทวนท่า มันมั่นใจในยุทธภพนี้ผู้ที่สามารถรอดจากคมดาบของมันได้เกินกว่านั้นต้องมีไม่เกินห้าหรือหกคน

ผู้ที่พอจะเป็นคู่มือได้อาจมีอยู่เพียงห้าหรือหกคน แต่ผู้ที่หลบทั้งสามดาบพิฆาตนี้ได้ในตอนนี้ก็ต้องมีไม่เกินสิบคนอย่างแน่นอน...เพราะแม้แต่เมื่อเย็นวานเทพพู่กันคู่ยะเยือกยังต้องฝังร่างของตนไว้ใต้หิมะหนาในดาบที่สี่เท่านั้น! แต่ดรุณีผู้นี้กลับหลบได้ นางกลับเป็นหนึ่งในสิบคนนั้น!

คมดาบยังไม่ทันที่จะถึงร่างของนาง ผ้าคลุมหน้าสีดำก็กลับฉีกขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเนื่องเพราะโดนรังสีคมกริบจู่โจมคุกคามทำลาย ในทันทีที่สายตากล้าแข็งเย็นชาเหลือบไปเห็นหน้าดรุณีน้อยผู้นั้น ดาบที่ว่องไวเป็นเอกในแผ่นดินกลับต้องหยุดชะงักลงในทันที!

ดาบที่สี่ของมันถึงกับไม่สามารถใช้ออกมาได้!

ใบหน้าเช่นนี้มันไม่มีวันลืมเลือนเป็นอันขาด!

ในเวลานี้ยังไม่รุ่งสางนี่นับว่ามันต้องเจอะเจอภูตผีอย่างแน่นอน!

ท่าร่างชะงักหยุดลงเพราะมันไม่มีปัญญาจะกระทำสิ่งใดต่อไปได้

ในขณะที่มันกำลังตะลึงงันร่างนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหายไปท่ามกลางความมืดของรัตติกาล

มันไม่ได้ไล่ตาม เพราะตอนนี้ทั่วร่างกลับปราศจากเรี่ยวแรงดั่งโดนดาบหนึ่งฟันใส่ร่าง

สิบปีแล้ว...จนวันนี้สิ่งที่สามารถสั่นคลอนจิตใจของมันได้บัดนี้บังเกิดขึ้นแล้ว!

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 4)



: บทที่ 4.

ลิ้มเอ็งฮวยออกวิ่งอย่างรวดเร็ว มาจนวันนี้จึงค่อยสำนึกขอบคุณบิดาและท่านพี่ที่คอยเคี่ยวเข็นให้นางฝึกวิชาเสมอมา ปกตินางไม่ค่อยใส่ใจวิชาตัวเบาเนื่องเพราะนางไม่เคยต้องวิ่งหนีผู้ใด นางไม่เคยเกรงกลัวผู้คนเมื่อยังเด็กเคยเกรงกลัวแต่ปีศาจเท่านั้น

แต่เมื่อครู่นางเพิ่งเผชิญหน้ากับปีศาจร้าย!

ต้องเป็นปีศาจจากอเวจีอย่างแน่นอน เพราะต้องไม่มีทางที่ผู้คนจะใช้ดาบได้รวดเร็วและอำมหิตได้ถึงเพียงนั้น!

ท่ามกลางความมืดร่างเล็กที่บอบบางพุ่งดุจลูกธนูหลุดจากแหล่ง ซอกซอนไปมาระหว่างต้นไม้ใหญ่โดยไม่รู้ทิศทาง ใบหน้าเรียวมนที่ปกติมักมีสีแดงเรื่อๆกลับกลายเป็นซีดเผือด ดวงตากลมโตที่แฝงแววซุกซนเจ้าเล่ห์อยู่ตลอดเวลาบัดนี้กลายเป็นตื่นตระหนกอย่างยิ่ง นางเพียงหวังไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่หวนคิดถึงดาบยาวสีเงินยะเยือก เต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟันราวกำเนิดจากอเวจีก็พลันปรากฏมือคู่หนึ่งพุ่งตรงมา กระแทกไหล่ของนางอย่างรุนแรงจนซวนเซไปหลายก้าว

“เอ็งฮวยเจ้าเป็นอะไรไป...พี่ตะโกนเรียกตั้งนานทำไมเจ้าไม่หยุด” น้ำเสียงร้อนรนที่คุ้นเคยยิ่งดังกระทบโสตประสาท ร่างหนึ่งโผเข้ามาพยุงนางไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะล้มคะมำลงบนพื้นหิมะเย็นเยียบ

นางเงยหน้าขึ้นดวงตาที่ปกติมักแฝงแววกลิ้งกลอกหายไปจนสิ้น สีหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ริมฝีปากบางสั่นระรัวขณะละล่ำละลักออกมาทีละคำอย่างยากเย็น

“ปีศาจ! ปีศาจจะเอาชีวิตข้าพเจ้า!”

ลิ้มปวยฮวยไม่เคยเห็นน้องของตนตกใจเยี่ยงนี้มาก่อน...แต่ในโลกนี้มีปีศาจที่ไหนกัน

“เหลวไหล เจ้าออกไปก่อกวนผู้อื่นจนต้องวิ่งหนีมาล่ะซิ” เมื่อหลุดปากออกไปนางจึงได้คิดว่าตนกล่าวผิดเสียแล้ว น้องสาวผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดมาก่อน บางครั้งแม้แต่บิดายังไม่คิดจะปะคาระกับนาง...หรือนางจะพบปะปีศาจมาจริงๆ

ลิ้มปวยฮวยหยิบเสื้อหนังจิ้งจอกที่ทั้งหนาทั้งอบอุ่นคลุมบนร่างสั่นเทา นางถือเสื้อตัวนี้วิ่งตามออกมาเมื่อรู้ว่าน้องของตนแอบออกจากโรงเตี๊ยมในยามวิกาล แล้วจูงมือเย็นเฉียบเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่เบื้องหน้า

ลิ้มเอ็งฮวยยังหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ผู้พี่พานางไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง จากนั้นเดินไปยื่นเทียบยาและห่อบรรจุตัวยาอีกซองให้เถ้าแก่แล้วอธิบายกำชับอีกหลายคำ

เถ้าแก่ที่ปกติต้องตื่นเช้ากว่าแขกผู้พักอาศัยอยู่แล้ว รีบรับเทียบและห่อบรรจุตัวยาพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นจึงเดินไปหยิบกาน้ำชาที่เพิ่งเดือดมารินให้ดรุณีทั้งสอง

ยังไม่รุ่งสางยากยิ่งที่โรงเตี๊ยมซอมซ่ออย่างนี้จะปรุงอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วทันเหล่าแขกที่ตื่นเช้าเช่นนี้ แต่น้ำชาสักหลายกาย่อมต้องจัดเตรียมพร้อมเสมอโดยเฉพาะในเวลาที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้

ชายหลังค่อมวัยกลางคนเดินเงอะงะไปรินน้ำชาให้แขกอีกโต๊ะหนึ่ง แขกที่เมาหลับๆตื่นๆอยู่ที่โต๊ะตัวนี้มาเป็นเช้าวันที่สี่แล้ว จากนั้นเถ้าแก่จึงเดินกลับเข้าไปต้มยาในครัว

มือที่ยังสั่นระริกหยิบถ้วยชามาดื่มจนหมด เค้าความสดใสของดรุณีแรกรุ่นหายไปจากใบหน้าของนางจนสิ้น ร่างเล็กผอมบางยังแสดงอาการหวาดๆ

“ข้าพเจ้าเจอปีศาจ” หลังดื่มชาอุ่นๆจนหมดเสียงของนางจึงเริ่มลดความตระหนกลงบ้าง

“เหลวไหล...” ลิ้มปวยฮวยตอบได้เพียงแค่นี้เพราะนางเองก็คิดไม่ออกว่ายังจะมีผู้ใดที่ทำให้น้องของตนต้องวิ่งกระเซอะกระเซิงมาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นนางเจอะเจอปีศาจจริงๆหรือ...

“อากาศหนาวเย็นเพียงนี้เจ้ายังออกไปข้างนอกแล้วเมื่อไหร่อาการจะทุเลา...เช้าเช่นนี้เจ้าออกไปข้างนอกทำไม”

“ข้า...ข้าออกไปเก็บยา” นางอ้อมแอ้มตอบ

“เจ้าแอบออกไปจับหนูหิมะอีกแล้วใช่ไหม” สีหน้าที่เป็นห่วงกังวลกลับกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที

“ที่แท้แถวนี้กลับมีหนูหิมะอยู่ด้วย” ผู้พูดเป็นปีศาจสุราที่คิดว่าเมามายจนหลับแล้ว

“ดูท่าท่านจะหลับยากอย่างยิ่ง” นางหันไปแค่นยิ้มให้เล็กน้อย ย่อมเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น

“ไม่ว่าผู้ใดได้ยินชื่อหนูหิมะย่อมต้องตื่นง่ายอย่างยิ่ง” บัณฑิตซอมซ่อบิดกายอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง

“หนูหิมะแม้ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะแต่ยังมีค่าควรแก่การตื่นเช้าเช่นนี้จริงๆ” ผู้พูดเป็นเต็งพู้ย้ง นางเดินลงมาจากห้องพักที่อยู่ชั้นบน แม้ตื่นเช้าขนาดนี้แต่นางยังมีรอยยิ้มเต็มลักยิ้มทั้งสองข้างอย่างสดชื่น มีผู้ยินยอมตื่นเช้าอีกคนหนึ่งแล้ว

“เจ้ามีน้องเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์อยู่มากจริงๆ” บัณฑิตซอมซ่อกล่าวต่อ “อากาศเยี่ยงนี้ยังออกไปตรากตรำวางกับดักหนูหิมะข้างนอก...มิน่าเพราะเหตุนี้เจ้าจึงต้องต้มยาบำรุงให้นางเป็นประจำ”

“ท่านคิดว่าข้าใช้ให้นางไปหาของแบบนั้น” น้ำเสียงเย็นชาของนางกลายเป็นขุ่นเคืองอย่างชัดเจน

“หนูหิมะไม่ใช่ยาอายุวัฒนะก็จริงแต่สรรพคุณในการดูดซึมยาพิษของมันกลับสามารถนำมาจำแนกแยกแยะชนิดของพิษประเภทต่างๆได้” แววตาเอี้ยป้อฮู้ที่ปกติคล้ายกับจะสามารถกระชากความลับที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายยิ่งเปล่งประกายแวววาวราวดวงตาของพญาจิ้งจอกที่กำลังออกไล่ล่าเหยื่อ!

“หากสามารถรู้ว่าผู้ถูกพิษโดนพิษประเภทใด การเยียวยาย่อมไม่ยากเย็นแล้ว ฉะนั้นสำหรับผู้ศึกษาเรื่องยาและพิษนี่ต้องนับว่าเป็นของวิเศษล้ำค่า”

“แฮะ...” นางแค่นหัวเราะ “ข้ายังต้องการของแบบนั้นไปทำไม”

“วิชาแพทย์ของตระกูลลิ้มเป็นหนึ่งในยุทธภพมาหลายชั่วคน จนวันนี้ได้กำเนิดทั้งเซียนแพทย์และเซียนพิษยังต้องการของแบบนี้ไปทำไม” เต็งพู้ย้งขมวดคิ้วพลางหันใบหน้าไปไถ่ถามลิ้มปวยฮวย

“หรือไม่มีพิษใดที่เจ้าไม่สามารถจำแนกได้” เอี้ยป้อฮู้สวนคำจิ้งจอกร้ายย่อมไม่ปล่อยให้เหยื่อมันหลุดรอด

“จนวันนี้ยังไม่มี” เซียนแพทย์ไร้ใจตอบอย่างมั่นใจยิ่ง

“จนวันนี้ยังไม่มีจริงหรือ” พญาจิ้งจอกยังล่าเหยื่อของมันอย่างไม่ลดละ

“ท่านคิดพูดเรื่องอะไรกันแน่ พิษทุกชนิดที่เคยตรวจสอบท่านพี่ล้วนระบุได้” ลิ้มเอ็งฮวยหายตื่นตระหนกแล้ว นางมองออกว่าบัณฑิตซอมซ่อผู้นี้ต้องการก่อกวนตระกูลลิ้มของตน

“แต่เจ้าก็ยังไม่มั่นใจจึงยังต้องการหนูหิมะ!” เอี้ยป้อฮู้จ้องหน้านางเขม็ง “เพราะมีพิษอยู่ชนิดหนึ่งที่ตระกูลลิ้มของเจ้ายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพิษจากอะไร! และใครกันแน่เป็นผู้แพร่พิษชนิดนั้น!”

นี่จึงเป็นกระบี่ที่แทงตรงไปยังขั้วหัวใจของดรุณีทั้งสอง!

“ที่แท้ท่านต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่หมู่ตึกพันอักษร! ในตอนนั้นพวกเรายังเด็กเพิ่งเริ่มเรียนวิชาไหนเลยสามารถระบุชนิดของพิษได้ เวลาที่เกิดเรื่องก็ฉุกละหุกสับสนอย่างยิ่ง...ท่านพ่อก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นท่านต้องสามารถระบุชนิดของพิษและจับผู้แพร่พิษได้แน่” นางลุกขึ้นโต้ตอบอย่างไม่เกรงใจบุรุษผู้ซึ่งชาวยุทธให้เกียรติ์ว่ามีความรู้กว้างขวางที่สุด

บัณฑิตซอมซ่อยังนั่งนิ่งไม่สนใจท่าทางของนาง แต่น้ำเสียงกลับยิ่งประชดประชันแดกดันมากขึ้น “เรื่องราวผ่านมาถึงสิบปีพวกเจ้ายังคิดขุดคุ้ยขึ้นมาอีกหรือนี่”

“ข้าเพียงคิดทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่เหมือนท่านที่หาชื่อเสียงใส่ตัวด้วยการเขียนเรื่องไร้สาระป้ายสีผู้อื่น!” เช้านี้นางเจอเรื่องราวมากเกินไปบัดนี้จึงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ชี้หน้าเอี้ยป้อฮู้อย่างไม่เกรงใจใดๆทั้งสิ้น

“ข้าไม่ได้ใส่ร้ายผู้ใด! จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีทางที่ข้าจะสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นได้”

นางล้วงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ “เหลวไหล! ที่ชื่อเสียงของจอมยุทธอี้ต้องมัวหมองจนทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการด่วนสรุปและโหมประโคมข่าวของท่าน...เพียงเจ็ดวันยังไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดถึงตัวฆาตกรผู้วางยาแต่หนังสือของท่านก็กลาดเกลื้อนเต็มยุทธภพแล้ว”

เอี้ยป้อฮู้มองการกระทำของนางอย่างเฉยเมย “เดือนหน้ายังมีผู้คนสั่งคัดลอกอีกจำนวนหนึ่งเจ้าอย่าลืมไปฉีกด้วยล่ะ”

“ข้าไม่ฉีกข้าจะเผามันให้เป็นจุลให้หมด!” นางตบโต๊ะอย่างรุนแรงบันดาลโทสะถึงขีดสุด “หลังจากประมุขของทั้งห้าตระกูลใหญ่สะสางเรื่องราวเสร็จสิ้น เหล่าท่านผู้เฒ่าต่างระบุชัดเจน จอมยุทธอี้มิได้เป็นผู้วางยา แต่ท่านกลับไม่ยอมแก้ไขหนังสือของตนปล่อยให้ชาวยุทธเชื่อว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้ผิดมาตลอดสิบปี!”

“ผู้ใดว่าเรื่องราวสะสางเสร็จสิ้น หากตระกูลเซี่ยงกัวยอมรับผลการสืบสวนของอีกสี่ตระกูลจริงๆ เหตุใดต้องถอนตัวจากตงง้วนไปตั้งรกรากใหม่ที่เกาะพู้ซึ้งเล่า” เอี้ยป้อฮู้แค่นหัวเราะ “เฮอะ...ถึงตระกูลเซี่ยงกัวจะไม่เห็นด้วยแล้วทำอย่างไรได้ ในเมื่อตระกูล ลิ้ม เต็ง ปึง กงซุน มีความเห็นตรงกันขนาดท่านผู้เฒ่ากงซุนอี้โหงวประมุขหมู่ตึกพันอักษรคนปัจจุบันยังคิดยุติเรื่องราวไม่สืบหาตัวผู้วางยาต่อโดยไม่อธิบายเหตุผลใดๆ ภาวะหัวเดียวกระเทียบลีบเช่นนั้น สิ่งที่ตระกูลเซี่ยงกัวทำได้ก็มีแต่การจากไปเท่านั้น”

เอี้ยป้อฮู้ระเบิดหัวเราะจนตัวสั่นเทาราวกับได้ยินเรื่องที่ขบขันที่สุดในชีวิต “ฮ่าๆๆๆ...เรื่องราวสะสางเสร็จสิ้น หากเรื่องสะสางเสร็จสิ้น เจ้ายังออกไปหาหนูหิมะทำไม! เฮอะ...สุราไหนั้นเป็น อี้แป๊ะเฮาะ คะยั้นคะยอให้คุณชายใหญ่กงซุนซาเทียน กับคุณหนูใหญ่เซี่ยงกัวเซียนนึ้งดื่มชัดๆ พวกเจ้าก็เห็นกับตา”

“น้องเอ็งฮวยถึงเจ้าเผามันหมดสิ้นก็ยังมีคนต้องการอ่านอีกมาก นิทานสนุกสนานปานนี้ผู้คนล้วนชื่นชอบ” เต็งพู้ย้งแทรกขึ้นเรียบๆไม่ว่าเหตุการณ์ตึงเครียดเพียงใดนางยังยิ้มแย้มได้

“แม้แต่ท่านก็หาว่าหนังสือของข้าเป็นเรื่องเหลวไหล” ดวงตาเขม็งเกลียวหันไปใส่เต็งพู้ย้งทันที

“ยังไม่เหลวไหลหรอก เพียงยังไม่ชัดเจนพอ ท่านยืนยันว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้ลอบวางยาพิษคู่บ่าวสาวในคืนวันแต่งงานโดยใช้สุราไหเดียวเป็นหลักฐานกล่าวหาจอมยุทธอี้ ส่วนเหตุผลที่จอมยุทธอี้ต้องทำเช่นนั้นท่านวิเคราะห์จากความสัมพันธ์และความขัดแย้งของจอมยุทธอี้กับคู่บ่าวสาวทั้งสอง” เต็งพู้ย้งกล่าวพลางหยิบหนังสือแบบเดียวกับที่ลิ้มเอ็งฮวยเพิ่งฉีกออกจากห่อผ้าของตน

“แต่นอกจากเรื่องนี้ท่านเองก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดเลยที่ระบุได้อย่างแน่ชัดว่าจอมยุทธอี้เป็นเจ้าของพิษที่อยู่ในไหสุราจริงๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นข้อสรุปที่เขียนขึ้นโดยบัณฑิตไร้ร่องรอย...ภายหลังจากที่ห้าตระกูลใหญ่ได้ยืนยันว่าจอมยุทธอี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านก็ยังยืนกรานในความเห็นของตน ไม่เชื่อในข้อสรุปของประมุขทั้งห้าตระกูลแต่จนถึงวันนี้ท่านก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานอื่นใดมายืนยันคำกล่าวหาของตนได้”

“...ท่านต้องการพูดอะไรกันแน่” แววตาเอี้ยป้อฮู้ปรากฏแววแปลกประหลาดขึ้นวูบหนึ่งน่าเสียดายที่เต็งพู้ย้งไม่มีโอกาสที่จะเห็นได้ตลอดกาล

“ห้าตระกูลใหญ่ยืนยันความบริสุทธิ์ของจอมยุทธอี้โดยไม่ให้เหตุผลใดๆ เพียงบอกว่าไม่ใช่จอมยุทธอี้เป็นผู้กระทำเท่านั้น นี่นับเป็นเรื่องประหลาดจริงๆ มิหนำซ้ำยังหาตัวผู้วางยาไม่ได้กลับคิดยุติเรื่องราวนี่ยิ่งนับว่าเหลือเชื่อ ทั้งที่...” เต็งพู้ย้งชะงักคำพูดชั่วครู่หนึ่ง นางไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อไปจริงๆ แต่นางเก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจนานเกินไป เมื่อได้อยู่ต่อหน้าผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ไหนเลยหยุดความอัดอั้นภายในจิตใจได้

“...ทั้งที่ผู้เสียชีวิตคือทายาทผู้สืบทอดของตระกูลกงซุนและตระกูลเซี่ยงกัว แต่เหตุใดเหล่าประมุขของทั้งห้าตระกูลจึงยุติเรื่องราวไว้แค่นั้น...”

ถึงตอนนี้นางตั้งใจกล่าวช้าๆทีละคำอย่างชัดเจนที่สุด “สิบปีนี้บางครั้งข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า...บางทีประมุขของทั้งห้าตระกูลและท่านอาจยังรู้เรื่องราวอีกมากแต่ไม่มีผู้ใดยินยอมบอกออกมา...” น้ำเสียงนางยังแจ่มใสเป็นปกติไม่ว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรน้ำเสียงนางยังคงเป็นเช่นนี้เสมอ...สงบ...แจ่มใส...ยิ้มแย้ม...อารมณ์ดี แต่ท่านไม่มีวันทราบแท้จริงนางรู้สึกเช่นไรกับเรื่องที่ตนพูด!

นี่เป็นกระบี่อีกหนึ่งเล่มผิดกันที่คราวนี้มันพุ่งตรงตัดขั้วหัวใจของเอี้ยป้อฮู้!

“ข้าพยายามสอบถามท่านพ่อ แต่ท่านกลับไม่เคยบอกสิ่งใดเลย คิดว่าบิดาน้องปวยฮวยและน้องเอ็งฮวยก็คงไม่บอกสิ่งใดเช่นกัน”

สองพี่น้องตระกูลลิ้มพยักหน้ายอมรับ สายตาคาดคั้นสองคู่พุ่งไปที่เอี้ยป้อฮู้

แววตาของจิ้งจอกร้ายยามตะครุบเหยื่อกลายเป็นดวงตาของจิ้งจอกจนตรอกที่ต้องอาวุธของนายพราน มันยังดิ้นรน ดื้อดึงหมายใช้แรงเฮือกสุดท้ายฉุดให้ตายตกตามกัน

“แล้วคำทำนายของท่านและบิดาชัดเจนเพียงพอหรือ หากคราวนั้นคำทำนายของท่านพ่อลูกชัดเจนเพียงพอไฉนจึงทำอำอึ้งไม่ยอมเอ่ยออกมาไม่เช่นนั้นคนทั้งสองอาจไม่ตายก็ได้!”

มันพูดเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่นับเป็นกระบี่ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง เพราะกระบี่เล่มนี้ได้แทงตรงไปที่ขั้วหัวใจของเต็งพู้ย้ง!

ผู้ที่อยู่ในห้องต่างเงียบกริบ เพราะผู้คนภายในได้ตายจนหมดสิ้นแล้ว

ทุกคนล้วนตายภายใต้คำพูดของผู้อื่น!

ทั้งหมดนิ่งอยู่เนิ่นนานเอี้ยป้อฮู้จึงหันไปทางดรุณีน้อยทั้งสอง “ครั้งนี้ที่พวกเจ้าเดินทางไปหมู่ตึกพันอักษรเพราะต้องการรื้อฟื้นเรื่องนี้?” จิ้งจอกร้ายได้ตายไปแล้วแววตาของมันกลับเป็นบัณฑิตซอมซ่ออีกแล้ว

ทั้งหมดไม่คิดที่จะกล่าวถึงอดีตอีกเพราะไม่เช่นนั้นนี่ย่อมต้องเป็นการสนทนาของคนที่ตายไปแล้ว การสนทนาของคนที่ตายไปแล้วต้องไม่น่าฟัง เรื่องราวที่กล่าวถึงก็ย่อมไม่ควรฟัง เพราะหากท่านยังขืนอยากฟังท่านอาจต้องกลายเป็นผู้ที่ตายเป็นคนต่อไป!

“มิใช่...ครั้งนี้ท่านพ่อสั่งให้เราไปประลองชิงตำแหน่งเจ้าหมู่ตึกพันอักษร” ลิ้มปวยฮวยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พวกเจ้าไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องนี้แล้วออกไปหาหนูหิมะทำไม?” บัณฑิตไร้ร่องรอยยังอดสงสัยพฤติกรรมของพวกนางไม่ได้

“นั่นเป็นเรื่องของข้า! ท่านพี่บอกว่าไม่รื้อฟื้นก็ไม่รื้อฟื้น!” ลิ้มเอ็งฮวยสวนกลับมาทันควันอย่างขุ่นเคือง

สายตาทั้งสามคู่ต่างหันไปหาคำตอบจากเต็งพู้ย้งบ้าง

..........................................................................................................................


: นางนิ่งไปครู่ใหญ่จึงค่อยกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องนี้และยิ่งไม่คิดแย่งชิงกับผู้ใด ข้าเพียงแต่คาดคิดว่างานนี้คงได้พบสหายเก่ามากมาย” เต็งพู้ย้งกล่าวตอบพลางหันหน้าเป็นเชิงไถ่ถามไปยังเอี้ยป้อฮู้

“ฝีมืออย่างข้าจะกล้าไปแย่งชิงกับผู้อื่นได้ยังไง แต่งานนี้ยังน่าสนใจยิ่งกว่าการประลองของตาแก่สำนัก เตียมชังกับคุนลุ้นสักสามหมื่นสองพันโยชน์”

“เช่นนี้เรามีคู่แข่งเหลือเพียงสามตระกูลใหญ่” ลิ้มปวยฮวยครุ่นคิดถึงสามตระกูลที่เหลือ สิบปีแล้วไม่ทราบผู้สืบทอดของแต่ละตระกูลฝีมือก้าวหน้าขึ้นเพียงใด

“อาจเหลือเพียงตระกูลเดียว...กับอีกหนึ่งหมู่ตึกและอีกหนึ่งหรือสองคน” บัณฑิตขี้เมากล่าวอย่างมั่นใจ

“เหตุใดจึงเหลือเพียงตระกูลเดียว” หลังจากนั่งนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน ลิ้มเอ็งฮวยจึงค่อยลดโทสะของตนลงจนเป็นปกติได้

บัณฑิตไร้ร่องรอยหันไปกล่าวกับซินแสลิขิตฟ้า “ตระกูลเต็งของเจ้าไม่เข้าประลอง...ตระกูลกงซุนหลังเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนท่านผู้เฒ่ากงซุนอี้โหงวเจ้าของหมู่ตึกพันอักษรคนปัจจุบันก็ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพอีก...รับประกันได้ท่านต้องไม่เข้าร่วมประลองแน่จึงตัดได้อีกหนึ่ง ส่วนตระกูลปึง...เมื่อคืนพวกเจ้าก็ได้ยิน...ขลุ่ยหยกที่เคยสั่นสะเทือนยุทธภพคล้ายกลายเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจไปแล้ว...ตระกูลลิ้มของเจ้าจึงมีคู่แข่งเพียงตระกูลเซี่ยงกัวของคุณหนูรองเซี่ยงกัวเม้งจูเท่านั้น”

บทวิเคราะห์ของมันชัดเจนอย่างยิ่งรวดรัดหมดจดแม่นยำอย่างยิ่ง เพราะบทสรุปที่เปี่ยมเหตุผลเช่นนี้ชื่อของบัณฑิตไร้ร่องรอยจึงดำรงอยู่ในยุทธภพได้จนทุกวันนี้!

เมื่อได้ยินเอี้ยป้อฮู้เอ่ยถึงเสียงขลุ่ย เต็งพู้ย้งถึงกับขมวดคิ้วแต่ยังไต่ถามต่อ

“แล้วอีกหนึ่งหมู่ตึก”

“เป็นหมู่ตึกบูรพา เมื่อสิบปีก่อนหลังจากตระกูลเซี่ยงกัวย้ายจากตงง้วนไปอยู่ที่เกาะพู้ซึ้ง ประมุขของหมู่ตึกบูรพาคนปัจจุบันได้เข้ามายังถิ่นเดิมของตระกูลเซี่ยงกัวสร้างฐานกำลังขึ้นใหม่ ห้าปีหลังนี้มีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนกว่าตระกูลเซี่ยงกัวในอดีตแม้แต่น้อย”

“ยังมีอีกคนหรือสองคน” เต็งพู้ย้งพยักหน้ายอมรับในความเห็นของเอี้ยป้อฮู้เช่นกัน จนตอนนี้นางจึงค่อยยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม

“นับจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะกับจอมโจรเสเพลเซียวเซียนด้วยได้” เอี้ยป้อฮู้ตอบอย่างมั่นใจแล้วหันไปมองลิ้มเอ็งฮวย กล่าวอย่างเย้ยหยัน “แต่ยังไม่ทันถึงหมู่ตึกพันอักษรเจ้าก็วิ่งตัวสั่นกลับมาเสียแล้ว”

ลิ้มเอ็งฮวยน่าแดงกล่ำนี่นับเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ

“ปีศาจ! เป็นปีศาจจากอเวจี จะเอาชีวิตข้า!”

“ในโลกนี้ไหนเลยมีปีศาจได้” เอี้ยป้อฮู้หัวเราะเยาะเสียงดัง

“มีสิ มันถือดาบสีเงินยาวกว่ากระบี่ทั่วไปราวหนึ่งเชียะ ร่างของมันไม่สูงใหญ่แต่ตั้งตรงหนักแน่นไร้ช่องว่างให้จู่โจมอย่างเด็ดขาด ประกายตาคู่นั้นเย็นยะเยือกจนหนาวจับใจ ใบหน้าเฉยเมิยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์อยู่สักนิด ดาบของมันรวดเร็วอำมหิตอย่างยิ่งจริงๆ”

ทั้งสามคนที่นั่งฟังต่างคนถึงกับนิ่งอึ้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

เต็งพู้ย้งกล่าวว่า “เป็นนาคามูระ โยชิแห่งหมู่ตึกบูรพา”

“เป็นมันอย่างแน่นอน” เอี้ยป้อฮู้พยักหน้าเห็นด้วย

“ไฉนเป็นมัน...ข้าเห็นปีศาจชัดๆ” ลิ้มเอ็งฮวยไหนเลยจะยอมเชื่อว่าผู้ใช้ดาบปีศาจนั่นจะเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนตน

“หากมีผู้ที่ทำให้เจ้ามีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ได้ต้องเป็นมันแน่นอน” เต็งพู้ย้งหันไปย้ำกับนาง

ลิ้มเอ็งฮวยไม่ทุ่มเถียงอีกเนื่องเพราะนางทราบหากซินแสลิขิตฟ้าและบัณฑิตไร้ร่องรอยระบุอย่างเดียวกันเรื่องต้องไม่มีทางเป็นอย่างอื่นแน่

“เรื่องที่ล่ำลือไปทั่วยุทธภพกลับเป็นจริง ยังไม่ทันถึงหมู่ตึกพันอักษรมันก็มุ่งมาหาเรา” สีหน้าเย็นชาของลิ้มปวยฮวยขึงโกรธขึ้นทันที “สามเดือนก่อนตั้งแต่ข่าวงานประลองแพร่ออกไปคนผู้นี้ได้นัดหมายประลองกับจอมยุทธมีชื่อไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว”

“นั่นกลับทำให้ผู้อื่นได้เปรียบอย่างยิ่ง” ลิ้มเอ็งฮวยประชดขึ้น ความรู้สึกชิงชังโกรธแค้นนาคามูระ โยชิพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที นี้นับเป็นครั้งแรกที่นางต้องวิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ เมื่อมันไม่ใช่ปีศาจการวิ่งหนีผู้อื่นจึงน่าอับอายมากยิ่งกว่า แต่แล้วนางก็ต้องหน้าสลดลงอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่เอาไหนเพียงสามกระทวนท่าก็แพ้อย่างสิ้นเชิง”

เต็งพู้ย้งทอดถอนใจ ลูบศรีษะนางอย่างปลอบโยน “เจ้ารู้หรือไม่...ผู้ที่รอดจากดาบเขาได้สามกระบวนท่าน่ากลัวจะมีไม่เกินสิบคน คนที่สามารถแย่งชิงคัมภีร์พันอักษรกับเขาได้คงมีไม่กี่คนเท่านั้น”

เอี้ยป้อฮู้แค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขายหน้า ข้าจะบอกให้เจ้าทราบข้ายังไม่มีความมั่นใจจะหลบดาบมันได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เจ้ายังวิ่งหนีมันพ้นอีก ต้องนับว่าเจ้าสร้างปาฏิหารย์มากแล้ว”

“แต่เหตุใดมันต้องทำเรื่องเสียเปรียบผู้อื่นเช่นนี้....”

“อาจเพราะมันมั่นใจว่าการประลองที่หมู่ตึกพันอักษรตนต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน แต่เมื่อได้คัมภีร์พันอักษรมามันย่อมต้องการเวลาฝึก มันกลัวผู้อื่นคิดแย่งชิงตอนมันฝึกปรือ เลยต้องกำจัดผู้อื่นให้หมดก่อน” ลิ้มเอ็งฮวยกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างยิ่ง

“ฝีมือระดับมันยังต้องกลัวผู้ใด” เอี้ยป้อฮู้ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “หากมันมั่นใจเช่นนั้นรอให้มันได้ทั้งหมู่ตึกทั้งคัมภีร์ตอนนั้นคิดกำจัดผู้อื่นย่อมง่ายดายยิ่ง”

“แต่มันยังคิดกำจัดผู้มีฝีมือจนหมดทั้งแผ่นดินจริงๆ ถึงกับมาดักรอพวกเราที่นี่” ผู้อื่นยิ่งพูดถึงความสามารถของนาคามูะระ โยชิ ลิ้มเอ็งฮวยกลับยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้นไปอีก

“เป็นมันมาดักรอเจ้า?” เอี้ยป้อฮู้ยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

ลิ้มเอ็งฮวยค่อยคิดได้แม้แต่พี่ของนางยังไม่ทราบนางลอบออกจากโรงเตี๊ยมคนผู้นั้นจะรู้ได้ยังไง

“เป็นมันรู้ว่าเราอยู่โรงเตี๊ยมนี้จึงรีบรุดมา”

“คล้ายพวกเจ้าเคยบอกว่าเนื่องเพราะโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านเต็มหมดเจ้าจึงมาพักที่นี่ใช่หรือไม่” บัณฑิตไร้ร่องรอยยังคงมีเหตุผลที่ดียิ่ง

“คาดว่าเวลาที่พวกเรามาถึงมันเพิ่งประลองกับเทพพู่กันคู่ยะเยือกเสร็จ” ลิ้มปวยฮวยพยักหน้าตอบรับ

“คนของหมู่ตึกบูรพามีมากมายการสืบหาที่อยู่ของเราให้ใครทำก็ได้” ลิ้มเอ็งฮวยยังทุ่มเถียงต่อ

“พวกเจ้าคิดว่ามีใครตามพวกเจ้ามาได้โดยที่เจ้าไม่รู้ตัวหรือ” เอี้ยป้อฮู้มองหน้านางกลับ

“สำหรับข้าย่อมไม่มีทางแน่ไม่เช่นนั้นฉายาไร้ร่องรอยของข้ายังจะมีความหมายอะไร” หันหน้าไปไถ่ถามเต็งพู้ย้งอีกครั้ง

นางยังคงยิ้มแย้ม “แม้ข้าจะตาบอดแต่ยังไม่ถึงกับปล่อยให้ผู้อื่นตามหาตัวได้โดยง่ายดาย”

“ระหว่างเดินทางไม่มีผู้ใดสะกดรอยตามพวกเรามาอย่างแน่นอน” ลิ้มปวยฮวยพยักหน้าเห็นด้วยกับเอี้ยป้อฮู้อีกครั้ง

“หลายวันนี้หิมะตกอย่างหนักโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านจึงเต็มหมดพวกเจ้าทั้งสามจำต้องมาพักอยู่ที่นี่ เรื่องบังเอิญเช่นนี้มันต้องไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอน จุดประสงค์ของมันจึงไม่น่าใช่พวกเจ้าคนใดเช่นกัน...”

“ระหว่างเดินทางได้ข่าวว่ามันมาหยุดพักที่หมู่บ้านนี้ถึงสามวันแล้ว ถึงหิมะจะตกหนักแต่ก็ต้องไม่เป็นอุปสรรคเหนี่ยวรั้งพวกมันได้ถึงสามวันอย่างแน่นอน หรือมันยอมเสียเวลาเดินทางถึงสามวันเพียงเพื่อรอเวลาประลองกับเทพพู่กันคู่ยะเยือก” ลิ้มเอ็งฮวยครุ่นคิดจนหน้านิ่ว

“เทพพู่กันคู่ยะเยือกยังไม่คู่ควรให้มันรอคอยถึงสามวันหรอก...” เอี้ยป้อฮู้หยุดเพียงเท่านี้

เนื่องเพราะเสียงขลุ่ยเย็นยะเยือกดังกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว...

ทุกคนในห้องนั้นต่างนิ่งฟังเสียงขลุ่ยจนเกือบจะเคลิบเคลิ้มไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาอีก

ครู่ใหญ่เสียงขลุ่ยก็ค่อยเงียบลงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา...

พี่น้องตระกูลลิ้มหันไปมองหน้าเต็งพู้ย้งพร้อมกันราวกับนัดกันไว้

ปึงเพียวเซาะนับเป็นพี่ชายที่แสนดีของคนทั้งสองและเป็นน้องชายที่น่ารักของเต็งพู้ย้งเสมอมา...จนเกิดคดีที่หมู่ตึกพันอักษร...คราวนั้นปึงเพียวเซาะพึ่งได้รับตำแหน่งประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงแทนบิดาที่เสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบัน...เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีต้องเข้าร่วมตัดสินคดีฆาตกรรมที่อื้อฉาวที่สุดในรอบหลายสิบปี...ภายหลังการตัดสินคดีนั้นปึงเพียวเซาะกลับเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึงไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ในคราวนั้นและไม่ยอมพบปะผู้ใดอีกเลย

แม้สองพี่น้องตระกูลลิ้มและเต็งพู้ย้งจะไปเยี่ยมเยียนขอพบนับสิบครั้งกลับยังได้รับการปฏิเสธเสมอมา หลายปีหลังจากนั้นคงมีเพียงเต็งพู้ย้งที่แวะไปยังหมู่ตึกตระกูลปึงเป็นครั้งคราว แต่เจ้าของบ้านยังทำใจแข็งไม่ยอมให้พบแม้สักครั้ง

เต็งพู้ย้งไม่มีวี่แววประหลาดใจที่ได้ยินเสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยในเวลาเช่นนี้ นางเพียงยิ่งแน่ใจการคาดหมายของตน เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆสิบปีที่น้องเพียวเซาะเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่ตึกตระกูลปึง...สิบปีที่ตนมีปากเสียงกับบิดาจนตัดสินใจออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว...สิบปีแล้วที่ตนมิได้กลับหมู่ตึกตระกูลเต็งอีกเลย...

“หรือจุดประสงค์ของนาคามูระ โยชิคือคุณชายปึง...” ลิ้มเอ็งฮวยโพล่งขึ้นหน้าตาแตกตื่น

แต่นางกลับกล่าวได้เพียงเท่านี้เพราะนางล้มฟุบลงไปแล้ว! หรือเสียงขลุ่ยถึงกับมีอำนาจดึงดูดผู้คนถึงเพียงนี้!

เอี้ยป้อฮู้ฟุบลงไปอีกคน เต็งพู้ย้งก็ฟุบลงตามไป

“นี่...” ลิ้มปวยฮวยกล่าวได้เพียงเท่านี้ก็ล้มฟุบลงกับโต๊ะเช่นกัน!

ภายในห้องโถงของโรงเตี๊ยมปราศจากสุ่มเสียงใดๆ เถ้าแก่ท่าทางเงอะงะเดินออกมาจากในครัว มันถึงกับไม่สนใจคนเหล่านี้ พวกที่ตื่นเช้าผิดปกติมักหลับง่ายอย่างยิ่ง

มันเดินไปเดินมารอบคนเหล่านั้นแล้วเดินไปลงกลอนประตูหน้าต่างจากนั้นจึงหันกลับมายืนหน้าคนเหล่านั้นอีกครั้ง พลันเสียงหัวเราะอย่างขบขันของดรุณีน้อยกลับดังขึ้นกังวานไปทั่วห้อง

สุ่มเสียงนี้กลับดังจากร่างของเถ้าแก่หลังค่อมผู้นั้น!

“พลังฝีมือพวกเจ้าไม่เห็นกล้าแข็งอย่างที่ร่ำลือกันเลย” เถ้าแก่ผู้นั้นหลังตรงขึ้นมาทันทีท่าทางเงอะงะหายไปร่างกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวรวดเร็วอย่างยิ่ง

แต่แล้วเสียงหัวเราะดังกังวานกลับต้องชะงักลงในทันที เพราะภายในห้องพลันบังเกิดอีกสุ่มเสียงหนึ่งขึ้น

เป็นเสียงบิดกายอย่างเกียจคร้านของบัณฑิตซอมซ่อผู้นั้น!

จากนั้นอีกหลายสุ่มเสียงก็ตามมา

..........................................................................................................................


: เป็นเสียงรินน้ำชาลงในถ้วย...

และเสียงหัวเราะที่ยังดังกว่าเมื่อครู่ของดรุณีน้อยอีกผู้หนึ่ง!

ดรุณีน้อยในร่างเถ้าแก่ตะลึงลานอยู่กับที่แล้ว นางย่อมไม่เข้าใจนี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่ นางเห็นกับตาทุกคนล้วนดื่มน้ำชากันคนละหนึ่งถ้วย น้ำชาที่นางต้มเป็นพิเศษสำหรับแขกเหล่านี้

“ที่แท้ที่นี่กลับเป็นโรงเตี๊ยมโจร” ขณะกล่าวประโยคนี้ลิ้มเอ็งฮวยถึงกับยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้

“เจ้าผิดแล้ว โรงเตี๊ยมโจรปกติไม่ใช้ยาสลบชนิดนี้” ลิ้มปวยฮวยยิ้มแย้มเช่นกัน นี่กลับเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงซึ่งไม่บ่อยนักที่จะปรากฏบนใบหน้าของนาง

“ที่แท้ชนิดของยาสลบก็แยกชนิดโรงเตี๊ยมได้” เรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของเอี้ยป้อฮู้ได้ดียิ่ง

“ย่อมได้แน่นอน ยาสลบนี้ได้ผลดีเกินไปหายากเกินไปทั้งราคายังแพงยิ่ง โรงเตี๊ยมโจรต้องไม่ยอมลงทุนขนาดนี้แน่” ลิ้มปวยฮวยเกือบจะหัวเราะออกมา มีผู้คิดวางยาสลบเซียนแพทย์อย่างนางนี่มิใช่เรื่องน่าหัวร่อหรอกหรือ

“พวกเจ้าดื่มน้ำชาจนหมดแล้วนี่” นางยังคิดไม่ออกนี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่

“หากข้ากับท่านพี่หลงกลเจ้าง่ายขนาดนี้ตระกูลลิ้มของเราจะยังมีหน้าอยู่ในยุทธภพได้ยังไง”

เซียนแพทย์กับเซียนพิษย่อมไม่มีทางถูกผู้อื่นวางยาอย่างแน่นอน

“ข้านอนเพียงพอแล้ว เช้านี้จึงยังไม่คิดจะหลับอีก” เต็งพู้ย้งยังหน้าตาแจ่มใสกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ข้าอยู่ที่นี่เป็นวันที่สี่แล้ว” เอี้ยป้อฮู้กล่าวเพียงสั้นๆ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ ยังจะมีผู้ใดสามารถตบตาบัณฑิตไร้ร่องรอยได้ถึงสี่วัน

ทันใดนั้นเอี้ยป้อฮู้ลุกขึ้นยืนด้วยอาการลิงโลด “ข้านี่โง่จริงๆ ข้าควรคิดได้แต่แรกแล้ว” สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่มัน “ข้าเองเกือบเข้าใจว่านาคามูระ โยชิตั้งใจพักอยู่ที่นี่หลายวันก็เพื่อเสาะหาคุณชายปึง แต่มันย่อมคาดคะเนได้เหมือนกับพวกเรา...ตอนนี้คุณชายปึงไม่คิดแย่งชิงสิ่งใดกับผู้อื่นแล้ว...ถึงมันคิดกำจัดคุณชายปึงก็ต้องไม่ใช่เวลานี้ มันควรคิดกำจัดผู้ที่สามารถแย่งชิงกับมันและคิดแย่งชิงกับมันก่อน ผู้ที่มันเสาะหาไม่ใช่คุณชายปึง!” ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ร่างเถ้าแก่ผู้นั้น

“มันเสาะหาคนผู้นี้” ลิ้มเอ็งฮวยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าปีศาจตนนั้นเสาะหาดรุณีในร่างเถ้าแก่ทำไม

“ไม่ใช่นางแต่เป็นศิษย์พี่ของนาง!” เอี้ยป้อฮู้กล่าวอย่างมั่นใจ มันอยู่ที่นี่สามวันไม่เพียงทราบเถ้าแก่เป็นดรุณีน้อยปลอมตัว ทั้งยังทราบเลาๆถึงต้นสังกัดของนาง สิ่งที่มันแน่ใจย่อมถูกต้องกว่าแปดหรือเก้าส่วนแน่นอน

แต่ยังไม่มีใครทราบผู้ใดคือศิษย์พี่ของนาง ดังนั้นทุกคนต่างรอให้เอี้ยป้อฮู้กล่าวต่อไป

มันเน้นทีละคำช้าๆ “อี้แป๊ะเฮาะอยู่ที่ไหน!”

ทุกคนในห้องล้วนคาดไม่ถึง ดรุณีในร่างเถ้าแก่จะกลับกลายเป็นศิษย์ผู้น้องของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!

“สิบปีนี้ จอมยุทธอี้เร่ร่อนพเนจรขจัดมารร้าย ทลายชุมนุมโจรมากมายประกอบความดีให้ยุทธภพไว้ไม่น้อยแต่ไฉนกลับหลบลี้หนีหน้าไม่ยอมพบปะผู้ใดถึงสิบปีเต็มๆ”

“ถึงศิษย์พี่จะทำความดีมากมายเพียงใด กลับยังมีชาวยุทธจำนวนไม่น้อยที่นินทาลับหลังว่าสิ่งที่ศิษย์พี่กระทำลงไปทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการไถ่ถอนความผิดที่ตนทำลงไป คนผู้หนึ่งเมื่อถูกมอมหน้าจนดำแม้จะกระทำความดีเช่นไร ผู้คนกลับยังคอยจ้องจับผิดอยู่เรื่อยไป” นางยอมรับฐานะของตนแล้ว

“นั่นต้องโทษตัวเองและประมุขของทั้งห้าตระกูลแท้ๆ หากสิบปีก่อนอี้แป๊ะเฮาะกับประมุขของทั้งห้าตระกูลออกมาชี้แจงสะสางเรื่องราวให้กระจ่างเรียบร้อย เวลานี้ไหนเลยต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่ว...สิบปีที่แล้วทุกคนต่างคาดคิดว่าอีกหลายปีให้หลังอี้แป๊ะเฮาะต้องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดินได้อย่างแน่นอน มันมีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ...” เอี้ยป้อฮู้พึมพำกับตนเอง

“เพราะท่านต่างหากพี่แป๊ะเฮาะถึงต้องเป็นอย่างทุกวันนี้!” นางจ้องเอี้ยป้อฮู้ราวกับจะกินเลือดเนื้อ

“จอมยุทธอี้อยู่ที่นี่? แม้แต่เต็งพู้ย้งยังอดตื่นเต้นกับเรื่องนี้มิได้

“ถึงไม่อยู่ตลอดเวลาก็ต้องมาบ่อยอย่างยิ่ง ผู้ที่มีสถานที่อยู่เป็นหลักแหล่งต่อให้หลบซ่อนมิดชิดเพียงใด แต่หากหมู่ตึกบูรพาต้องการเสาะหาต้องหาเจอแน่นอน” มันยังสรุปเรื่องราวได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

“คนของหมู่ตึกบูรพายังมีความสามารถอยู่บ้าง” ไม่เพียงนาคามูระ โยชิ ลิ้มเอ็งฮวยยังพาลหงุดหงิดเมื่อได้ยินผู้อื่นยกย่องความสามารถคนของหมู่ตึกบูรพา

“ศิษย์พี่อยู่ในห้องนั้น” นางชี้มืออย่างรวดเร็วไปทางห้องด้านหลัง เพียงผู้อื่นชำเลืองตามองตาม มือทั้งคู่ของนางก็หยิบวัตถุสีดำหลายชิ้นออกมาจากสายรัดเอวอย่างรวดเร็ว!

พอผู้อื่นรู้ตัวนางก็ขว้างวัตถุสีดำลงบนพื้นห้องแล้ว เสียงระเบิดดังสนั่นควันสีดำสนิทตลบอบอวนไปทั่วห้องพร้อมกับเสียงหน้าต่างทลายออก ร่างดรุณีในคราบเถ้าแก่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นี่นับเป็นระดับความเร็วที่น่าตื่นตระหนกจริงๆ!

คนทั้งสี่ล้วนกลั้นหายใจเพราะต่างไม่รู้ว่าในควันมีพิษอีกหรือไม่ ผู้ที่เพิ่งถูกลอบวางพิษจะอย่างไรต้องเกิดความหวาดระแวงมากขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อต้องกลั้นหายใจย่อมไม่สามารถรวบรวมพลังภายในได้เต็มที่ทั้งยังไม่กล้าใช้แรงในทันที เป็นเช่นนี้จึงไม่มีทางตามดรุณีในร่างเถ้าแก่ทัน

เนื่องเพราะดรุณีในร่างเถ้าแก่มีฝีเท้าที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ทั้งยังอาศัยความมืดรวมทั้งความจัดเจนพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ร่างมอมแมมผมเผ้าเป็นกระเซิงโลดแล่นไปตามพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว แม้แผนของนางจะไม่สำเร็จแต่ต้องไม่ยอมให้ผู้อื่นจับตัวได้อย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่คิดถึงผู้คนที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมนางกลับพบว่าร่างตนหนักอย่างยิ่งจนไม่สามารถขยับตัวได้!

นี่เป็นเรื่องราวใดอีก! นางหันมามองด้านหลังจึงพบว่ามีมือแข็งแกร่งข้างหนึ่งยึดไหล่ของนางไว้จนนางไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แม้แต่น้อย!

เจ้าของมือข้างนั้นเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “เป็นเจ้านี่เอง” ผู้พูดประโยคนี้ถึงกับเป็นนาคามูระ โยชิ!

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 5)



: บทที่ 5.

ใกล้รุ่งในมหานครจุงกิง

เวลาเช่นนี้แสงโคมภายในโรงเตี๊ยมใหญ่และสำนักคณิกาเลื่องชื่อมักพึ่งดับสนิท เนื่องเพราะนี่เป็นเวลาที่คนประเภทหนึ่งจำต้องกลับบ้านช่องห้องพักของตนเพื่อไปประกอบการงาน ส่วนอีกประเภทกลับต้องการนอนหลับพักผ่อนเพื่อจะได้มีแรงออกเที่ยวเตร่ในคืนต่อๆไป

แต่แสงไฟภายในห้องพิเศษซึ่งอยู่ด้านในสุดของโรงเตี๊ยมเลื่องชื่อที่สุดของนครจุงกิงยังคงสว่างไสว ทั้งที่ตลอดคืนแขกผู้เป็นเจ้าของห้องยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนแม้เพียงชั่วครู่ ยามนี้ภายในห้องใหญ่ปราศจากเสียงออดอ้อนของเสี่ยวชุ่ย ชุนฮัว ยิ่งไร้สรรพสำเนียงมโหรีซึ่งขับกล่อมครึกครื้นตลอดราตรีที่ผ่านมา

เพราะแขกเจ้าสำราญเพิ่งไล่ตะเพิดผู้คนเหล่านั้นออกไปตั้งแต่เมื่อมันได้สติขึ้น

ชายหนุ่มร่างสูงหน้าขาวไร้ริ้วรอยเดินงุ่นง่านไปมาไม่ผิดกับหนูติดจั่น ตอนนี้มันกำลังหงุดหงิดอย่างยิ่ง

ไม่ว่าผู้ใดหากเพิ่งฟื้นจากการถูกลอบมอมยาสลบ ล้วนต้องหงุดหงิดเป็นพิเศษ

นั่นเพราะเหตุผลสองกระการ

ประการแรก แม้ฤทธิ์ของยาจะหมดไปแล้วแต่ยังต้องมีอาการวิงเวียนหลงเหลืออีกเล็กน้อยเป็นแน่

ประการที่สองเพราะมันเจ็บใจ!

โยชิโอกะ ริวจิก็เช่นกัน มันรู้สึกเจ็บแค้นเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำขณะนี้สิ่งที่มันทำได้ก็เพียงการรอคอยเท่านั้น...

ที่มันยินยอมรอคอยเพราะมันทราบเมื่อนาคามูระ โยชิติดตามออกไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอด

นอกจากภูตผีเท่านั้นจึงจะหนีนาคามูระ โยชิพ้น!

ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วมันยิ่งร้อนรนกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น แต่นับว่ามันยังไม่ต้องเดือดดาลจนแทบคลั่งใจตายไปเสียก่อน เพราะเวลานี้ประตูห้องบานใหญ่สลักลวดลายสวยงามได้เปิดออกแล้ว

มันบังเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าความขุ่นมัวสลายไปจากนัยน์ตากว่าสี่ส่วน

ผู้เข้ามาย่อมเป็นนาคามูระ โยชิ นี่เป็นเรื่องที่มันคาดคิดอยู่ แต่ที่มันคาดไม่ถึงคือ ท่านโยชิกลับพาชายหลังค่อมวัยกลางคนท่าทางเงอะงะผู้หนึ่งเข้ามาด้วย คนผู้นี้ใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า ผมเพ้ายาวรุงรังปรกหน้า ร่างผอมบักโกรก หน้าตามอมแมม เนื้อตัวสกปรกอย่างยิ่ง

แต่เมื่อพิจารณาชายหลังค่อมผู้นั้นอย่างละเอียดอยู่เพียงครู่ แววตาแดงกล่ำเรืองโรจน์ด้วยความโกรธกลับแปรเปลี่ยนเป็นแวววาวกรุ่มกริ่ม เผยยิ้มออกมาจ้องดวงตาคู่นั้นเขม็ง

“ที่แท้ท่านพบคนที่เราต้องการแล้ว” ริวจิว่าพลางเดินเข้าไปตรงหน้าชายหลังค่อมผู้นั้น “แม่นางคาดว่าเจ้าต้องขี้ริ้วอย่างยิ่งจึงต้องปลอมตัวเป็นขอทานสกปรกเยี่ยงนี้”

เมื่อถูกผู้อื่นจับได้นางย่อมไม่จำเป็นต้องปลอมแปลงสิ่งใดอีก สุ้มเสียงที่เปล่งออกจากร่างชายหลังค่อมวัยกลางคนจึงกลับกลายเป็นเสียงไพเราะกังวานของดรุณีน้อยผู้หนึ่ง

นางถลึงตาตอบกลับ “ตัวไม่ดีอย่างท่านนับว่าพอมีสายตาอยู่บ้างที่ยังจำมารดาได้”

เมื่อได้ยินเสียงราวสกุณาเริงไพรบริภาษตน ริวจิถึงกับหัวเราะเสียงดังอย่างลืมตัว “ข้าไม่นับเป็นตัวดีจริงๆ แต่เจ้าคงยังไม่ทราบ ตัวไม่ดีก็ย่อมมีคุณงามความดีของตัวไม่ดีอยู่บ้าง”

“อ้อ...”

“วิชาแปลงโฉมของเจ้าแม้นับว่าไม่เลว...” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏเกลื่อนบนใบหน้า เพ่งสำรวจดรุณีน้อยในร่างชายหลังค่อมตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่สำหรับข้าหากไม่สามารถแยกแยะผู้ใดเป็นหญิงหรือชายย่อมเป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้ว” แววตากรุ่มกริ่มยังจ้องหน้าชายปลอมผู้นั้นอย่างขบขันเต็มที

นางถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น เรื่องหลอกลวงบัณฑิตไร้ร่องรอยไม่ได้ยังไม่นับว่าน่าอับอายเท่าไหร่ แต่นี่แม้กระทั่งกงจื้อเจ้าสำราญผู้หนึ่งวิชาแปลงโฉมของนางกลับไม่อาจตบตามันได้ นี่จึงนับเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ

ซึ่งความจริงนางยังเป็นเพียงดรุณีน้อยจึงย่อมไม่เข้าใจ...ในบางเรื่องกงจื้อเจ้าสำราญผู้หนึ่งยังมีความช่ำชองมากกว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยเสียอีก...

“เป็นนาง?...” มันทราบท่านโยชิต้องไม่พาผู้อื่นกลับมานอกจากผู้ลอบวางยาเท่านั้น

นาคามูระ โยชิเพียงพยักหน้า ไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายเช่นเดิม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ

“เมื่อครู่ ข้าพเจ้าสอบถามเถ้าแก่ของที่นี่แล้ว มันบอกว่าคนผู้นี้เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเล็กๆที่หมู่บ้านเทียนเกี๊ย เมื่อใกล้รุ่งเข้าไปส่งผักในโรงครัว นั่นเป็นเวลาที่เด็กรับใช้ชงน้ำชาพอดี” คำพูดของมันล้วนรวบรัดชัดเจน

นาคามูระ โยชิเป็นคนรอบคอบอย่างยิ่ง มันเห็นชายหลังค่อมผู้นี้วิ่งออกจากหมู่บ้านที่พวกตนพำนักเมื่อวันก่อนอย่างกระหืดกระหอบ เพียงเห็นท่าร่างของคนผู้นั้น โยชิก็จำได้ว่านี่คือผู้ที่ตนวิ่งตามออกมานั่นเอง ถึงอย่างนั้นเมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยมมันยังพาคนผู้นี้ไปสอบถามกับเถ้าแก่และเด็กรับใช้จนทราบที่มาที่ไปของดรุณีในร่างชายหลังค่อมผู้นี้

ยามนี้โยชิทั้งไม่ได้ใช้กำลังคร่าคุมนางยิ่งไม่ได้ใช้สิ่งใดพันธนาการนางไว้ โยชิเพียงยืนขวางประตูไว้เท่านั้น ทั้งริวจิและโยชิย่อมทราบดี มีเพียงภูตผีเท่านั้นที่สามารถผ่านประตูที่นาคามูระ โยชิยืนขวางอยู่ได้!

ริวจิพยักหน้า สีหน้าพลันเขม็งเกลียวขึ้น “เจ้าเป็นผู้ใด...ผู้ใดใช้ให้เจ้ามา”

นางกัดริมฝีปากแน่นนิ่งเงียบไม่ตอบคำ แววตาสุกใสเปล่งประกายขุ่นมัวดื้อรั้นจ้องมองออกไปเบื้องหน้าอย่างขัดเคือง ดรุณีน้อยทำประหนึ่งไม่เห็นริวจิอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นนางแสดงท่าทางเย่อหยิ่งดื้อดึงเช่นนี้ ความโกรธของริวจิกลับปะทุขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้

“เจ้ารู้ไหมว่าใครกำลังพูดกับเจ้า!”

“ในยุทธภพน้อยคนนักจะไม่รู้จักท่านโยชิ และ คุณชายริวจิ กงจื้อเจ้าสำราญแห่งหมู่ตึกบรูพาผู้ที่สตรีไม่ควรเข้าใกล้มากที่สุด” น้ำเสียงที่เอ่ยทั้งประชดประชันทั้งเยาะเย้ยถากถาง

“ที่แท้เจ้ายังนับว่ารู้จักพวกเรา ข้าถามว่าใครใช้ให้เจ้าลอบวางยาพวกเรา!”

“เฮอะ ใครจะใช้ให้ข้าทำอะไรได้ ข้าทำทุกสิ่งตามที่ข้าพอใจเสมอ” นางจ้องหน้าริวจิเขม็ง

“อย่างเจ้าน่ะหรือจะกล้าตอแยกับหมู่ตึกบูรพาเพียงคนเดียว...บอกมาตามตรงดีกว่า...มีใครอยู่เบื้องหลังเจ้ากันแน่!”

นางหัวเราะอย่างขบขัน แววตาสุกใสกลิ้งกลอกไปมาอย่างท้าทาย “เจ้าไม่เห็นหรือว่าใครอยู่เบื้องหลังข้า” นางเหลียวไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้าก็คือนาคามูระ โยชิ ผู้มีฉายามือสังหารไร้รักแห่งหมู่ตึกบูรพายังไงล่ะ”

ริวจิถึงกับบันดาลโทสะจนพลุ่งพล่าน ความที่มันเป็นคุณชายใหญ่ของหมู่ตึกที่ทรงอิทธิพล ปกติมีแต่คนประจบประแจงเอาใจ ไม่เคยมีใครกล้าแสดงท่าทางยะโส วาจายอกย้อนเช่นนี้ต่อหน้าริวจิเลย

“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาทำให้เจ้าพูดรึ” มือแข็งดุจคีมเหล็กของริวจิจับคางของนางแน่นแทบจะบดกรามของนางแหลกกระจุยคามือ

“เมื่อตกอยู่ในมือท่านข้าก็ไม่คิดรอด” นางพยายามเปล่งเสียงรอดไรฟันด้วยความเจ็บปวด เชิดหน้าขึ้น สะบัดไปมาหวังจะให้พ้นมือแข็งแกร่ง สายตาเป็นประกายท้าทายยังจ้องริวจิเขม็งไม่วางตา หยาดน้ำตาหยดหนึ่งพลันเล็ดรอดออกจากดวงตาทั้งคู่

แววตาที่เกรี้ยวกราดเมื่อเผชิญหยาดน้ำหยดเล็กๆ กลับสลายคลี่คลายลงโดยพลัน! โทสะที่พลุ่งพล่านจางหายไปกว่าหกส่วน ดวงตาแดงฉานขุ่นมัวลงถึงกับบังเกิดแววสงสาร เอ็นดูขึ้นบางส่วน...

เป็นน้ำตาของอิสตรี!

อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของสตรีเพศและเป็นมัจจุราชสำหรับกับบุรุษทุกคน!

โดยเพาะอย่างยิ่งบุรุษเช่นโยชิโอกะ ริวจิ!

ริวจิยิ่งจ้องมองดรุณีในร่างเถ้าแก่ ยิ่งพบว่าท่วงท่าของนางกลับละม้ายดรุณีที่ถูกบิดาจับได้ว่าแอบไปพบคู่รักยามวิกาลแต่กลับยังปากแข็งไม่ยอมรับความผิด

แต่นางกลับลืมไปเรื่องหนึ่ง ขณะนี้นางยังอยู่ในคราบของชายอัปลักษณ์หลังค่อม!

ชายหลังค่อมผู้หนึ่งยามแสดงกิริยาเช่นนางในตอนนี้กลับทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกพะอืดพะอมยิ่งนัก

แต่ริวจิไม่เพียงไม่พะอืดพะอมทั้งยังรู้สึกขบขันอย่างยิ่ง ที่ขบขันที่สุดคือดรุณีน้อยผู้นี้ช่างไม่รู้ตัวเลยว่ากิริยาท่าทางของตนในขณะนี้เป็นเช่นไร!

จากหยาดน้ำตานี้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอิสตรีเช่นริวจิเริ่มเห็นช่องทางแล้ว ควรจะจัดการกับนางอย่างไร แม้ภายนอกจะดื้อรั้นเพียงไร แต่ความจริงนางยังเป็นเพียงดรุณีน้อยผู้หนึ่ง

มือแข็งแกร่งเริ่มคลายลง “ที่แท้เจ้าคิดตาย นั่นกลับไม่ง่ายดายนัก ความจริงข้าก็ไม่ชอบขู่เข็ญผู้ใด แต่กับคนปากแข็งเช่นนี้ หมู่ตึกของเรามีวิธีรับมือที่ดียิ่งอยู่มาก”

“นั่นย่อมต้องแน่นอน หมู่ตึกโจรย่อมต้องเชี่ยวชาญการทรมานผู้คนอยู่แล้ว” นางยังเชิดหน้าอย่างไม่สนใจใยดี แม้วาจาจะเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว ริวจิกลับสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดใหญ่จำนวนมากผุดขึ้นบนหน้าผากของนางแล้ว

“ในเมื่อเจ้าทราบเช่นนั้นยังไม่ยอมพูดความจริงอีก หรือต้องการให้ข้าใช้วิธีเหล่านั้นจริงๆ”

“ผู้กล้ายอมตายไม่เสียดายชีวิต ผู้ดีไม่ยอมก้มหัวให้โจร”

ริวจิกวาดสายตาสำรวจชายหลังค่อมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ไม่มีสัดส่วนใดเลยที่สามารถบ่งบอกได้ว่าชายขอทานพิกลพิการผู้นี้จะเป็นเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วราวสกุณาที่กำลังตอบโต้กับตนได้อย่างไร แต่ไม่ว่าวิชาแปลงโฉมใดๆในโลกจะยอดเยี่ยมเพียงไร กลับยังไม่อาจปกปิดแววตาใสกระจ่างเปี่ยมชีวิตชีวาทั้งคู่ของนางได้

เพียงแวบแรกที่สัมผัสแววตาคู่นั้นริวจิก็ทราบทันที นี่ต้องเป็นแววตาของดรุณีแรกรุ่นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จะไม่น่าสนใจได้อย่างไร เพราะแม้ยามขมึงทึง ขุ่นมัวด้วยความโกรธ กลับยังแฝงแววไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก ความจริงมันคิดฉีกกระชากหน้ากากอัปลักษณ์ออกดูหน้าผู้ที่กล้าตอแยกับหมู่ตึกบูรพา แต่เพราะแววตาคู่นี้เองที่ยับยั้งไม่ให้มันกระทำเช่นนั้น

ยิ่งได้พูดจายิ่งกระตุ้นความสนใจใคร่จะเห็นหน้าแท้จริงของดรุณีดื้นรั้นผู้นี้ ทั้งยังคิดข่มขู่ลูกกวางน้อยให้ทราบสถานะของตนเองในขณะนี้เสียบ้าง

“ท่านโยชิ...ท่านคิดว่าแม่นางผู้นี้ต้องอัปลักษณ์อย่างยิ่งใช่หรือไม่”

โยชิเดินแช่มช้ามายืนนิ่งด้านหน้านาง นี่เป็นโอกาสอันดีของนางแล้ว ทางด้านหลังไม่มีใครขวางยืนประตู นางสามารถวิ่งหนีออกไปได้ทุกเมื่อ แต่ยามเผชิญหน้าจังๆกับบุรุษผู้นี้ นางกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้แม้แต่น้อย ขาแข็งทื่อลำคอแห้งผาก นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ไม่ว่ายามต้องเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นไร แต่ขณะนี้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนกลับไม่ใช่ผู้คน นางคิดตนกำลังเผชิญหน้ากับพญามัจจุราช!

ตั้งแต่พาดรุณีในร่างชายหลังค่อมเข้ามาในห้องหากริวจิมิได้ถามไถ่ นาคามูระ โยชิ ก็ไม่คิดพูดจาสักครึ่งคำ หน้าที่ซักถามผู้คนไม่ใช่งานของมัน

ชั่วไม่ทันกระพริบตาดาบยาวหลุดจากฝักวาดผ่านใบหน้าดรุณีในร่างเถ้าแก่อย่างรวดเร็ว!

ทั้งคู่อยู่ในระยะประชิดกันมาก นางคาดว่าดาบนี้ต้องผ่าร่างนางเป็นสองเสี่ยงอย่างแน่นอน ดวงตากลมโตเบิกโพลง ร่างกายแข็งทื่อ หยาดเหงื่อโทรมใบหน้า นี่เป็นความรู้สึกเช่นไร ใช่ความรู้สึกของผู้ที่เพิ่งพบว่าตนเองกลายเป็นภูตผีแล้วหรือไม่!

แต่นางกลับยังมิใช่ภูตผี...

ใบหน้าที่ปรากฏต่อสายตาริวจิต้องไม่ใช่ใบหน้าของภูตผีอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นเช่นนั้นคาดว่าจะต้องมีบุรุษเป็นจำนวนมากยอมปลิดชีวิตตนเองเพียงเพื่อให้ได้เห็นใบหน้านี้ทุกเช้าค่ำ!

ผิวหน้าสีน้ำตาลเนียนละเอียด คิ้วดำสนิทหนากว่าคิ้วสตรีทั่วไป จมูกโด่งเป็นสันเชิดขึ้น ริมฝีปากเล็กปลายมุมปากทั้งสองเรียวแหลมแฝงแววดื้อรั้นถือดี ผมยาวสีดำยุ่งเหยิงสยายตกลงมาปกบ่า ดวงตาทั้งคู่สีดำสนิทดุจพลอยดำสุกใสแวววาว ท้าทายสายตาผู้คน

แรกเห็นดวงตาคู่นี้แม้ความจัดเจนจะคาดล่วงหน้าแล้วว่าดรุณีผู้นี้ต้องน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะคาดได้ว่าเมื่อดวงตาทั้งคู่ประกอบเข้ากับวงหน้านี้ จะยิ่งขับเน้นซึ่งกันและกัน มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด ดูเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เจ้าแง่แสนงอน ต่างจากดรุณีน้อยใหญ่ที่ตนเคยพบพาน

โทสะความขุ่นมัวหายไปจากนัยน์ตาจนสิ้นแล้ว ประกายตาเยี่ยงหนุ่มเจ้าสำราญจ้องมองดรุณีน้อยอย่างตะลึงตะลาน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนคล้ายกำลังเอ่ยกับคนรักก็ปาน “ที่แท้เจ้ามิได้อัปลักษณ์แม้แต่น้อย เหตุใดต้องปลอมแปลงตนเช่นนี้ คาดว่าเจ้าต้องมีเหตุผลที่ดียิ่ง ไม่ทราบพอจะบอกข้าพเจ้าได้หรือไม่”

“จะฆ่าก็เชิญ เจ้าไม่ต้องเสียเวลาหรอก ข้าไม่บอกอะไรทั้งนั้น!”

ริวจิทอดถอนใจพลางไล้นิ้วมือไปบนหน้านางผะแผ่ว แววตาหยาดเยิ้มจ้องมองนางราวจะกลืนกิน

“เมื่อเจ้าไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไรไว้เมื่อเจ้าคลอดเจ้าตัวน้อยออกมาข้าค่อยไต่ถามว่าผู้ใดเป็นปู่ของมัน...”

หมู่ตึกบูรพามีวิธีจัดการผู้คนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ดรุณีแรกรุ่นเช่นนี้ย่อมไม่มีเรื่องใดน่ากลัวเท่านี้อีกแล้ว!

นางใจหายวาบเสียงสั่นละล่ำละลัก “ท่าน...ท่านคิดจะทำอะไร” นางยิ่งขบริมฝีปากแน่น แม้จะถามออกไปเช่นนั้นแต่นางย่อมทราบดีถึงความหมายในท่าทีของบุรุษหนุ่ม

แววตาของดรุณีน้อยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกปากคอสั่นเทา “ท่านจะเอายังไง...”

“ตอนนี้เจ้าคิดต่อลองแล้ว” ริวจิยิ้มออกมา ปลายนิ้วยังไล้ไปบนวงหน้าของนางแผ่วเบา

“เจ้า...ถ้าเจ้ากล้าแตะข้าเจ้าต้องไม่ตายดีแน่!” เสียงนางสั่นเครือ เนื้อตัวเย็นเฉียบ หวาดกลัวแทบตายร่างกายแข็งทื่อไม่กล้ากระดิกตัวแม้แต่น้อย แววตาดุดันยิ่งจับจ้องริวจิเขม็งด้วยความชิงชัง

“ที่แท้เจ้าไม่คิดต่อรอง แต่กลับคิดข่มขู่...” มือเรียวคู่นั้นไล้นิ้วผ่านเส้นผม หลังใบหู ไปยังหัวไหล่และต้นแขนของนางอย่างทะนุถนอม

“ถ้าศิษย์พี่ของข้ารู้ว่าเจ้าทำกับข้าเช่นนี้รับรองพวกเจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่!” นางโพล่งออกมาอย่างลืมตัวเมื่อมือคู่นั้นเริ่มล่วงล้ำแตะต้องเข้าใกล้สิ่งหวงแหนมากขึ้นทุกที

ริวจิหัวเราะลั่นคาดว่านางคงหวาดกลัวจนสุดชีวิตแล้ว “ท่านโยชิฟังที่นางพูดซิ”

“อาจเป็นอย่างที่นางพูดก็ได้...” โยชิพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายเห็นด้วยกับคำพูดของนาง

เสียงหัวเราะเย้ยหยันของริวจิพลันชะงักลง ปกติท่านโยชิไม่เคยพูดเล่น หรือมีท่าทางหยอกล้อประชดประชันคำพูดของผู้อื่นเลย คำพูดทุกคำล้วนมีความหมายชัดเจนเสมอมา หรือศิษย์พี่ของนางมีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ พลางจ้องดรุณีที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง “ท่านทราบผู้ใดเป็นศิษย์พี่ของนาง”

นาคามูระ โยชิ เอ่ยขึ้นอย่างสงบปราศจากอาการตื่นเต้นสงสัยใดๆทั้งสิ้น “อี้แป๊ะเฮาะ”

ริวจิกลับหน้าตาตื่นแล้ว แววตาลืมโพลงงงงวยสงสัย มันไม่อยากเชื่อว่ามันได้ยินถูกต้อง มันคงหูฝาดไปอย่างแน่นอน พลางหันไปมองโยชิแล้วหันมามองดรุณีผู้นี้อย่างพินิจพิเคราะห์ มันจะเชื่อได้อย่างไรว่าดรุณีผู้นี้ถึงกับมีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมยุทธกระบี่เหล็กที่เลื่องชื่อ!

“ท่านมั่นใจ” ริวจิหันไปถามย้ำอีกครั้ง

“แนววิชาตัวเบาของจอมยุทธอี้มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะ...ที่แม่นางผู้นี้ใช้คือวิชานั้น”

มันไม่สามารถไม่เชื่อถือเรื่องที่ท่านโยชิกล่าวได้ มือของมันพลันหดกลับจากผิวเนียนละมุนโดยไม่รู้ตัว แค่ชื่อของอี้แป๊ะเฮาะกลับมีอานุภาพข่มขวัญผู้คนถึงเพียงนี้!


..........................................................................................................................


: นางลอบยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นสีหน้าของริวจิ “ท่านเริ่มกลัวแล้วล่ะซิ” นางยอมรับออกมาเองแล้ว นั่นเพราะนางทราบดี ถึงจะผ่านมาสิบปีแล้วแต่ชื่อของจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะยังคงน่าเกรงขามดุจกาลเวลาได้หยุดลงเฉพาะชื่อของคนผู้นี้!

ความจริงนางไม่ต้องการดึงศิษย์พี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามก็ทราบความเป็นมาของนางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก นางเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง สตรีที่เฉลียวฉลาดล้วนทราบเมื่อใดสมควรโกหกเมื่อใดควรกล่าวความจริง

แม้ใจกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่นางยังอดหวาดหวั่นต่อนาคามูระ โยชิ ไม่ได้ คนผู้นี้ร้ายกาจจริงๆเพียงเห็นวิชาตัวเบาของตนก็ทราบว่าคนต้องเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่...

“นี่กลับเป็นแผนของจอมยุทธอี้...” น้ำเสียงของริวจิมีแววเย้ยหยัน แต่ดวงตากลับไม่สามารถกลบเกลื่อนร่องรอยของความประหวั่นพรั่นพรึงได้

“ศิษย์พี่ไม่เกี่ยวข้องนี่เป็นความคิดของข้า!”

“อ้อ...”

“ถึงข้าจะเพิ่งย้ายมาอยู่กับท่านพ่อที่ตงง้วนเพียงปีกว่าๆแต่กลับได้ยินเรื่องคนผู้นี้มามาก เมื่อสิบปีก่อนจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะก้าวขึ้นเป็นมือกระบี่อันดับต้นๆของยุทธภพได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องเพราะมันหลงรักคุณหนูเซี่ยงกัวเซียนนึ้งแต่คุณหนูตระกูลเซี่ยงกัวกลับมอบใจให้คุณชายกงซุนซาเทียนซึ่งเป็นสหายสนิทของมัน เมื่อไม่สมหวังในความรัก มันจึงแค้นดังนั้นในคืนวันงานแต่งงานของคนทั้งสองที่หมู่ตึกพันอักษรมันจึงลอบวางยาในสุราให้คนทั้งสองดื่มแล้วหลบหนีไป มันถูกตามล่าจากเหล่าประมุขตระกูลของทั้งห้าอยู่ถึงครึ่งปี แต่ในที่สุดไม่ทราบเพราะเหตุใดผู้เฒ่าทุกท่านกลับสรุปว่ามันไม่ใช่ผู้วางยา สิบปีหลังคนผู้นี้จึงมุ่งประกอบวีรกรรมขจัดมารร้าย ทลายชุมโจรมากมายเพื่อไถ่บาปของตน แต่กลับไม่มีใครทราบร่องรอยถิ่นที่พักอาศัยที่แน่นอนของมัน”

“เหลวไหล!”

“เรื่องเหลวไหลนี้กลับเป็นที่โจทย์จันกันทั่วยุทธภพ แม้ขณะที่ข้ายังอยู่เกาะพู้ซึ้งยังทราบเรื่องนี้”

“นั่นล้วนเป็นเรื่องที่บัณฑิตขี้เมาแต่งขึ้นมาทั้งเพ!” ดรุณีน้อยกระชากเสียงอย่างเหลืออด

ริวจินิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง หันมาไต่ถามโยชิ “หรือคนที่ท่านต้องการไปพบคือมัน”

“ใช่จริงๆ...” ผู้ที่นาคามูระ โยชิต้องการพบคืออี้แป๊ะเฮาะจริงๆ!

“ที่แท้เจ้าจงใจเดินทางมาพบพี่แป๊ะเฮาะ พวกเจ้ารู้ที่อยู่ของศิษย์พี่ได้ยังไง!” นางใจหายวาบเมื่อรู้ว่าปีศาจตนนี้เสาะหาศิษย์พี่ของตน

“คนของหมู่ตึกบูรพานับว่ามีอยู่มากมาย” โยชิยังตอบรวบรัดอย่างยิ่ง

ริวจิชำเลืองมองนาง เผยรอยยิ้มออกมา “แต่เมื่อมีเจ้าอยู่กับเราจอมยุทธอี้คงไม่ทำอะไรโง่ๆแน่”

“เฮอะ...ที่แท้เจ้าต้องการใช้ข้าเป็นตัวประกัน”

โยชิเพียงพยักหน้า “ต้องการใช้เจ้านั้นถูกต้อง แต่มิใช่เป็นตัวประกัน เพียงมีเจ้าอยู่อี้แป๊ะเฮาะต้องยินยอมออกมาพบข้าพเจ้าแน่”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะชนะศิษย์พี่”

“หรือเจ้าแน่ใจว่าศิษย์พี่ของเจ้าสามารถชนะท่านโยชิได้”

นางไม่ตอบ นางกลับไม่ทราบจริงๆหากบุรุษสองคนนี้ประลองกันใครจะเป็นผู้ชนะ

“เจ้าหนูที่ลักลอบฟังผู้คนคุยกันช่างไม่กลัวตายบ้างหรือไง!” จู่ๆริวจิก็โพล่งออกมาดาบสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพุ่งขึ้นไปเสียบเหนือเพดานห้องอย่างรุนแรง กระเบื้องนับสิบแผ่นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมๆกับที่ดาบสั้นบรรลุถึงเพดานเงาร่างสีเขียวก็พุ่งฝ่าเศษกระเบื้องที่แตกกระจายออกในเกือบจะทันที ปรากฏเงาสีเงินยาวพาดผ่านเหนือท้องฟ้าวูบหนึ่ง ดาบยาวในมือนาคามูระ โยชิหลุดออกจากฝักแล้ว!

เป็นดาบที่เหนือการคาดคิด ไม่ว่าผู้ใดล้วนคิดไม่ถึงมนุษย์ยังสามารถชักดาบยาวได้เร็วปานนี้!

ลำตัวดีดตามสภาวะดาบทะยานออกไปยังสวนดอกไม้เบื้องนอกตัวอาคาร

ริวจิดึงมือดรุณีผู้กำลังตกตะลึงออกนอกห้องในทันที

ที่โต๊ะหินในสวนดอกไม้ด้านนอก ปรากฏหญิงสาววัยยี่สิบปลายๆท่าทางเป็นมิตรหน้าตายิ้มแย้มผู้หนึ่ง ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างเป็นรอยบุ๋มลงเล็กน้อยช่างรัดรึงจิตใจยิ่งนัก นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินกลางสวนหน้าตึกคะนึงหาที่ริวจิและโยชิพำนักอย่างสบายอารมณ์

หลังเพ่งพินิจสตรีลึกลับชั่วครู่ริวจิจึงกล่าว “ดูท่าเจ้าจะไม่ใช่หนูสกปรกธรรมดาๆเสียแล้ว ผู้ที่สามารถหลบดาบของท่านโยชิได้ ทั่วแผ่นดินน่าจะนับคนได้ทีเดียว” เริ่มเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย “ไม่ทราบพี่สาวท่านนี้มีนามว่าอะไร”

พลันบังเกิดเสียงหัวเราะดังมาจากพุ่มไม้ด้านหลังของสตรีผู้มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เป็นดรุณีสองคน คนหนึ่งในหน้าหมดจดแต่เย็นชาดุจน้ำแข็ง ดวงตาแน่วนิ่งจริงจัง อีกคนดูเยาว์วัยกว่าใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาซุกซนเจ้าเล่ห์

“แม่นางน้อยเจ้าหัวเราะอะไร” ริวจิขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกวันนี้ตนต้องรับแขกแปลกหน้ามากอย่างยิ่ง

“เมื่อครู่ท่านเรียกพี่พู้ย้งว่าเป็นหนูสกปรก แต่ตอนนี้ท่านกลับเรียกหานางเป็นพี่สาว ถ้าท่านมีพี่เป็นหนูสกปรกแล้วตัวท่านเป็นอะไรล่ะ” ลิ้มเอ็งฮวยหัวเราะอย่างขบขัน ดรุณีในชุดเถ้าแก่ก็ร่วมหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ

ริวจิหน้าตาแดงกล่ำด้วยความโกรธ ทั้งอายทั้งแค้นเคืองที่ตนกลับกลายเป็นตัวตลกให้ดรุณีเหล่านี้หยอกล้อเล่น

เอี้ยป้อฮู้เดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งของตะเกียงหินขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของสวนดอกไม้ “แม่นางผู้นี้ต้องมิใช่หนูสกปรกอย่างแน่นอน”

“ทำไมท่านคิดเช่นนั้น” จากการปรากฏตัวที่ปราดเปรียวดุจภูตพรายของคนทั้งสี่ ริวจิฉุกคิดขึ้น บุคคลเหล่านี้ต้องมิใช่ผู้ไร้ชื่อเสียงแน่ๆ เมื่อยังไม่ทราบที่มาของแต่ละคน แม้บันดาลโทสะริวจิยังฝืนยิ้มอย่างยากยิ่ง

เอี้ยป้อฮู้หัวเราะ “ท่านนี่ช่างหลงลืมจริงๆ เมื่อครู่ท่านเป็นคนบอกเองว่าทั่วแผ่นดินผู้ที่สามารถหลบคมดาบของท่านโยชิได้แทบจะนับคนได้ทีเดียว แล้วท่านยังจะพูดว่า ซินแสลิขิตฟ้าเต็งพู้ย้งเป็นหนูสกปรกอีกหรือ หากนางเป็นเพียงหนูสกปรกจริง ท่านโยชิคงจะไม่ถึงกับต้องใช้ดาบแน่ ท่านโยชิย่อมมองออกแต่แรกแม่นางผู้นี้ไม่ใช่หนูสกปรกแน่ๆ”

ทั้งลิ้มเอ็งฮวย ดรุณีที่ปลอบเป็นเถ้าแก่และเอี้ยป้อฮู้หัวเราะเสียงดังลั่น

เสียงหัวเราะยิ่งดังริวจิยิ่งตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

ขณะที่ริวจิกำลังตัวสั่นเทา นาคามูระ โยชิก็กำลังตัวสั่นเทาเช่นกัน!

น้ำเสียงที่กล่าวออกแหบพร่าสั่นเครือราวกับพบภูตผี “นี่เจ้า! เป็นเจ้าจริงๆ หรือนี่”

ลิ้มเอ็งฮวยพอได้ยินอาการขึงโกรธก็พุ่งขึ้นทันที “ต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน!”

“มิใช่...มิใช่...” โยชิเพ่งนางไม่วางตาได้แต่พึมพำอยู่คนเดียว

“ไม่ใช่อะไร เจ้าทำกับดักของข้าพัง ไม่เพียงไม่ชดใช้ ซ้ำยังจะฆ่าคนปิดปากอีก” เมื่อทราบผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตนมิใช่ภูตผีลิ้มเอ็งฮวยก็ไม่เกรงสิ่งใดอีก

เมื่อทราบผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตนมิใช่ภูตผี นาคามูระ โยชิ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกตนเองเป็นอย่างยิ่ง มันควรคิดได้แต่แรกในโลกนี้ไหนเลยมีภูตผีปีศาจอันใด

“ไม่ทราบว่าพวกท่านมีธุระ...” ริวจิเพียงเริ่มเอ่ยปากแต่กลับต้องชะงักลงกลางคัน...

เนื่องเพราะเสียงขลุ่ยก้องกังวานดังขึ้นอีกแล้ว ทุกผู้ถึงกับหยุดชะงักให้กับกระแสเสียงอันแปลกประหลาดในยามเช้าเช่นนี้ เจ้าของเสียงขลุ่ยนี้ย่อมต้องมิใช่ผู้อื่นอย่างแน่นอน

ย่อมเป็นเสียงขลุ่ยของปึงเพียวเซาะ!

สำเนียงขลุ่ยของปึงเพียวเซาะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

บัณฑิตไร้ร่องรอยหน้าตาเปี่ยมรอยยิ้มรีบโผร่างออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

“อยู่ที่นั่นเอง”

ลิ้มเอ็งฮวยและลิ้มปวยฮวยสบตากันรีบตามไปในทันที

มีเพียงเต็งพู้ย้งที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพริ้วร่างโผกายจากไป

“ท่านรอข้าอยู่ที่นี่” นาคามูระ โยชิก็พุ่งตัวจากไปด้วยระดับความเร็วที่ไม่เชื่องช้ากว่าคนทั้งสามแม้แต่น้อย

ชั่วพริบตาบริเวณสวนหลังตึกคะนึงหาที่หรูหราที่สุดของโรงเตี๊ยมชิกแชฮั้วฮึงกลับเหลือโยชิโอกะ ริวจิกับดรุณีในร่างเถ้าแก่เพียงสองคน

“ทำไมท่านไม่ตามไป”

“ท่านโยชิให้ข้าพเจ้าคอยที่นี่”

“ท่านกลับเชื่อฟังคำพูดผู้อื่นนัก”

“คำผู้อื่นปกติข้าไม่เคยใส่ใจ แต่หากเป็นคำพูดของท่านโยชิข้าต้องทำตามเท่านั้น” ริวจิทำหน้าประหลาดใจแต่แล้วกลับยิ้มออกมา “แล้วทำไมข้าต้องตามเสียงขลุ่ยนั้นไป?...ดูท่าสหายของเจ้าจะให้ความสำคัญกับเสียงนั้นมากกว่าตัวเจ้าเสียอีก”

“คนเหล่านั้นไม่ใช่สหายข้า”

“อ้อ...”

“ในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ใช่สหายของเจ้าแล้วมาทำลับๆล่อๆที่นี่ทำไม”

“พวกเขาคล้ายมีจุดประสงค์เดียวกับเจ้า”

“หรือคนเหล่านั้นก็ต้องการพบจอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ!”

“อืม...”

“ในเมื่อมันต้องการตัวเจ้าเพื่อล่อให้จอมยุทธอี้ออกมา แต่ทำไมพอได้ยินเสียงขลุ่ยนั้นจึงรีบผลุนผลันกันออกไปโดยไม่สนใจใยดีเจ้าอีก แม้แต่ท่านโยชิเอง?”

ดรุณีจ้องหน้าริวจิอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ดูท่าเจ้าจะไม่รู้จักเสียงขลุ่ยนี้สินะ”

“เฮอะ ข้าพึ่งมาอยู่ตงง้วนเพียงปีกว่าๆจะรู้ทุกเรื่องราวได้ยังไงกัน”

“แต่นาคามูระ โยชิ กลับรู้เรื่องนี้”

“นั้นย่อมแตกต่างกัน เพราะท่านโยชิร่วมก่อร่างสร้างหมู่ตึกบูรพากับท่านพ่อที่ตงง้วนมาห้าปีแล้ว...หรือนั่นเป็นเสียงขลุ่ยของอี้แป๊ะเฮาะ!”

“ศิษย์พี่ยังไม่ใช่ผู้มีอารมณ์สุนทรีถึงเพียงนั้น”

“หรือในยุทธภพยังมีบุคคลที่น่าสนใจยิ่งกว่าอี้แป๊ะเฮาะอยู่อีก”

“คาดว่ามีไม่มาก...อาจบางทีมีอยู่เพียงคนเดียว”

“เป็นเจ้าเสียงขลุ่ย?”

“เมื่อสิบปีก่อนในยุทธภพมีกงจื้อที่เลื่องชื่อโดดเด่นทั้งพลังฝีมือ สติปัญญาไหวพริบ ฐานะตระกูล อยู่สี่คน เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือไม่”

ริวจิพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ทั้งสี่คนบ้างเป็นผู้สืบทอดของตระกูลใหญ่ บ้างเป็นศิษย์เอกของจอมยุทธเลื่องชื่อ ทั้งสี่เป็นสหายสนิทกัน สร้างวีรกรรมที่สั่นสะเทือนยุทธภพไว้มากมายจนได้รับการเรียกขานเป็นสี่กงจื้ออัจฉริยะ”

“เจ้ากลับรู้ไม่น้อย”

“จอมยุทธกระบี่เหล็กอี้แป๊ะเฮาะ ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นหนึ่งในสี่กงจื้ออัจฉริยะ”

“มิผิด”

“คุณชายกงซุนซาเทียนที่ถูกลอบวางยาพิษเป็นหนึ่งในสี่กงจื้ออัจฉริยะด้วยเช่นกัน”

“ถูกต้อง”

“หรือเจ้าของเสียงขลุ่ยก็คือหนึ่งในสี่กงจื้ออัจฉริยะอีกสองคนที่เหลือ”

“ใช่เป็นคุณชายปึงเพียวเซาะ...”

ริวจินิ่งเงียบไปนานเนื่องเพราะไม่คาด ตนจะได้ทราบร่องรอยบุรุษผู้แปลกประหลาดที่สุดในยุทธภพพร้อมกันถึงสองคน

“ข้าได้ยินเรื่องของคนผู้นี้มามากเช่นกัน...เมื่อสิบปีที่แล้วมันได้เป็นประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงแทนบิดา แต่หลังจากงานแต่งงานของตระกูลกงซุนกับตระกูลเซี่ยงกัวเกิดโศกนาฎกรรมขึ้น ปึงเพียวเซาะก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกไปไหนอีกเลย ทั้งไม่ติดต่อกับผู้ใด ทั่วยุทธภพลือกันว่ามันกลายเป็นขี้เมาอันดับหนึ่งไปแล้ว นี่ก็ร่วมสิบปี...เหตุใดคนเช่นนี้จึงยังมีผู้ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้”

“เพราะคนผู้นี้ตายไปแล้ว”

“มันตายไปแล้ว? คนตายไหนเลยยังเป่าขลุ่ยได้ ” ริวจิถามขึ้นด้วยความสงสัย

“คนเราสามารถตายได้หลายประเภท”

“อ้อ...ที่แท้มันเป็นคนตายชนิดไหน” ริวจิร้องออกมาด้วยความสงสัย

“เป็นคนตายที่สามารถก่อกวนบัณฑิตไร้ร่องรอยให้นั่งกระสับกระส่ายอยู่สามวันสามคืนไม่สามารถลุกไปไหนได้แม้แต่ก้าวเดียว”

“ได้ยินว่าบัณฑิตไร้ร่องรอยไปมาดุจภูตผี วิชาตัวเบาเป็นหนึ่งในยุทธภพ สถานที่ที่คนผู้นี้ต้องการไปต้องไม่มีใครห้ามได้ แต่ที่ๆไม่ต้องการไปต่อให้ขนทรัพย์สินเงินทองมาขอร้องวิงวอนอยู่ตรงหน้ามันก็ไม่แยแส คนตายที่สามารถทำให้มันนั่งกระสับกระส่ายอยู่จึงสามวันนับว่าน่าสนใจยิ่งจริงๆ คาดว่าในยุทธภพต้องมีบุคคลเช่นนี้ไม่มาก”

“ในยุทธภพอาจมีบุคคลเช่นนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

“เพราะเหตุผลนี้จึงมีผู้ให้ความสำคัญกับมันเสมอมา?”

“ความจริงใช่ แต่ยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านี้”

“เป็นเหตุผลใด?”

“เจ้าทราบหรือไม่ สิบปีก่อนผู้ใดที่ได้รับการคาดหมายว่าอีกสิบปีให้หลังจะต้องชนะการประลองได้เป็นเจ้าของหมู่ตึกพันอักษรคนต่อไป”

“เป็นศิษย์พี่ของเจ้าใช่หรือไม่”

“มิใช่...”

“หรือเป็น...”

“เป็นคุณชายปึงจริงๆ!”

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////