วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิ่งสุดท้าย - ฮอทเปปเปอร์

เมื่อเธอคิดครวญใคร่การผละจากไป
นั่นคือสิ่งสุดแสนดี
ดวงดาวสวยเรืองเฉิดฉวี
แขวนดวงรอให้เธอคว้ามัน

ฉันหรือจะเอื้อมอาจเอ่ยคำขวางกั้น
ดึงดันยื้อฉุดให้เธอเปลี่ยนใจ
ใจจริงยังรักเธอใครมิเทียมได้
เฝ้าเสียใจอยู่ไม่หายและแสนห่วง

วันใดเธอต้องเจ็บปวด
ครวญครางร้าวรวดสุดแสบทรวง
จงหวนคืนมาหาฉัน
พร้อมลืมวันหนักหน่วงโชคร้าย

สิ้นสูญทุกสิ่งที่หวัง
ล้วนคำน่าชังหยามอาย
ขอรับประกันว่า เธอยังเหลือสิ่งสุดท้าย
คือเธอยังมีฉันอยู่

ลูกน่ารัก



วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

คำคม โกวเล้ง


ความคิดถึง

มนุษย์นั้นมากด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ท่านต้องการให้ตนเองไม่ไปคิดถึงคนๆนั้น

แต่ในสมอง ก็ปรากฎเงาของคนนั้นอยู่ทุกเวลานาที

ความรู้สึกเช่นนี้แม้จะมิใช่คมดาบ

แต่ทำให้ใจคนเหมือนมีดาบเฉือน

ฤทธิ์มีดสั้น)


ความทรงจำ

ทรัพย์สิน อำนาจ ชื่อเสียง และ ศักดิ์ฐานะ

ต่างพอทอดทิ้งได้ง่ายดาย

แต่มีความทรงจำบางประการ

ความทรงจำที่ปวดร้าวขมขื่น

กลับคล้ายเป็นแคร่อันหนักอึ้ง

สลัดไม่หลุด ตัดไม่ขาด

ลืมเลือนมิได้ตลอดกาล

(ฤทธิ์มีดสั้น)


น้ำตา

น้ำตา...ความจริงมีรสเค็ม

แต่มีน้ำตาบางประเภทที่จำต้องปล่อยให้ไหลอยู่ในอก

นั่นไม่เพียงเค็มเท่านั้นยังขมขื่นอีกด้วย

โลหิตความจริง....ก็มีรสเค็ม

แต่หากเข้าใจคนผู้นั้นแหลกสลายแล้ว

โลหิตที่หยาดหยดในดวงใจ

ยังขมฝาดมากกว่าน้ำตามากมายนัก

(ฤทธิ์มีดสั้น)



"น้ำมิตรเกิดจากการสั่งสม

แต่ความรักอุบัติอย่างกระทันหัน

น้ำมิตรต้องผ่านการทดสอบของเวลา

แต่ความรักมักบังเกิดในชั่วพริบตา

ชั่วพริบตานั้นเจิดจ้าจำรัสปานใด สวยสดงดงามเพียงไหน

ชั่วพริบตานั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์" *-*





"...สวยงามเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบเท่านั้น มีแต่ความจริงจึงเป็นนิรันดร์ ...แต่ก็มีคนว่าเราเพียงสามารถกุมช่วงเวลาที่สวยงามเพียงชั่ววูบไว้ได้ก็พอแก่ใจแล้ว

ความจริงที่เป็นนิจนิรันดร์ทิ้งให้เป็นนิจนิรันดร์ต่อไป เราไม่แยแสสนใจเลย..."

โก้วเล้ง&โก้วเล้ง...

คำคม จากโกวเล้ง


ความรัก

ความรัก ความจริงเป็นความรู้สึกอันพิสดารประการหนึ่ง

ทั้งไม่มีผู้ใดเข้าใจได้ ยิ่งไม่มีผู้ใดควบคุมข่มกลั้นได้

มันไม่คล้ายน้ำมิตรที่ค่อยๆเพิ่มพูนลึกล้ำ

แต่ความรักกลับบังเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

มันหากบังเกิด...ก็บังเกิดอย่างรุนแรง

จนผู้คนไม่มีปัญญาต่อต้านขัดขืนมันได้

(ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

MACAM 77

ประวัติความเป็นมา
รร.สธ.ทบ. เริ่มก่อตั้งโดย จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ เมื่อประมาณ ๘๐ ปีมาแล้ว ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ กองทัพเรือเริ่มมีการคิดผิด ฝากนายทหารเข้ารับการศึกษาเป็นเหล่าแรก และถัดมาอีกเพียงปีเดียวเท่านั้น (พ.ศ. ๒๔๗๘ ) กองทัพอากาศ ก็เห็นผิดเป็นชอบอีกเหล่าหนึ่ง ส่งนายทหารเข้ามาเรียนอีก ส่วนกรมตำรวจนั้นได้ใช้เวลาในการคิดใคร่ครวญอยู่อีกเป็นระยะเวลา ๑๔ ปี เต็ม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่วายที่กรมตำรวจก็หลงผิดเข้าอีกจนได้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เท่านั้นยังไม่พอ ( ยังไม่สาแก่ใจ ) สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วยส่งนายทหารเข้ามารับกรรมอีก ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และเหยื่อรายสุดท้ายไม่น่าจะเป็นไปได้ กัมพูชา พ.ศ. ๒๕๔๑ เขาก็เข้ามาติดกับอีกอย่างง่ายดาย นี่คือความเป็นมาอันแสนจะขื่นขม ก่อนที่จะกำเนิดเป็น MACAM ที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
ตามที่ได้ตรวจสอบจากเอกสาร และจากการเฝ้าสังเกตอย่างสุดขั้วของพวกเรา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ท่าทีของ รร.สธ.ทบ. ที่มีต่อพวกเรา กลุ่ม MACAM นั้นยังไม่กระจ่างชัดนักแม้แต่ในกลุ่ม MACAM เอง ก็ยังไม่ได้ทำการสำรวจ ความรู้สึกนึกคิดและทัศนคติ ที่ รร.สธ.ทบ. มีต่อพวกเรา และที่พวกเรามีต่อ รร.สธ.ทบ. แต่อย่างใด แต่เชื่อแน่ว่าพวกเราคงมีคำตอบนั้นอยู่ในใจที่คล้ายๆกันอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะได้ทำการสำรวจและทำการวิจัยอย่างรีบเร่ง เพื่อประโยชน์ในการกำหนดบทบาทที่แน่ชัดของกลุ่มเพื่อกำหนดงานและกิจกรรมของกลุ่ม MACAM ในโอกาสต่อไป
วัตถุประสงค์ของกลุ่ม MACAM
- เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่ดีภายในกลุ่ม MACAM ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ในทุกสภาวะการณ์ อันจะส่งผลถึงศักยภาพทางด้านการประสานการปฏิบัติทั้งในระดับองค์บุคคล และในระดับเหล่าทัพต่อไปเมื่อสั่ง
- เพื่อให้การสนับสนุนกิจกรรมของ รร.สธ.ทบ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีพระคุณต่อพวกเราอย่างล้นพ้นในการประสิทธิ์ประสาทความรู้ความสามารถแก่พวกเรา ( โดยไม่ได้ประเมินเลยว่ามันจะมากไปเกินหรือไม่สำหรับคนมันสมองจำกัด อย่างพวกเรา ) เท่าที่กำลังความสามารถอันน้อยนิดของพวกเราจะทำได้แต่ก็ทำด้วยความเต็มใจ
ขอบเขตและข้อตกลงเบื้องต้น
๑. MACAM ๗๗ หมายถึง
๑.๑ M = MARINES ๑.๒ A = AIR FORCE
๑.๓ C = COP ๑.๔ AM = ANOTHER MILITARY
๑.๕ ๗๗ = หมายเลขชุดที่หลงเข้ามารับการศึกษา

๒. การจัดหน่วยของ MACAM ๗๗ จะกระชับโดยการกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกเบื้องต้นใน ๓ รายการคือ
๒.๑ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามข้อ ๑.๑ ,๑.๒ ,๑.๓ และ ๑.๔ ถือว่าเป็นสมาชิกสามัญ ( Common Member )
๒.๒ นทน. รร.สธ.ทบ. หลักสูตรหลักประจำที่มีความฝักใฝ่ใน แนวคิดของกลุ่ม MACAM ๗๗ อย่างชนิดที่ ไม่ลืมหูลืมตาจะ ถือว่า เป็นสมาชิก กิตติมศักดิ์ ( Honorary Member )
๒.๓ บุคคลที่ประธานกลุ่ม MACAM ๗๗ ลงความเห็นว่าสมควรเข้าเป็นสมาชิก ถือว่าเป็นสมาชิกโดยการแต่งตั้ง ( Appointed Member)

ผังการจัด
เว้น .......แยกแจกจ่าย









การแบ่งมอบ
เป็นหน่วยขึ้นการควบคุมทางการศึกษา ของ รร.สธ.ทบ. ซึ่งในการปฏิบัติการอาจแบ่งมอบให้กับเหล่าทัพได้ตามความเหมาะสม

ขีดความสามารถ
๑. สามารถทำการรบผสมเหล่า และผสมเหล้า ได้ทุกสภาพภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ ด้วยบุคลากร และยุทโธปกรณ์ ( เหล้า โซดา กับแกล้ม เครื่องดนตรี ฯลฯ ) อันทรงประสิทธิภาพในอัตรา
๒. สามารถปฏิบัติการทางลึก จากแนวการวางกำลังของ นทน. ฝ่ายเดียวกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
๓. สามารถเคลื่อนที่ และปฏิบัติการ ทางอากาศ / ทางบก และทางน้ำได้ ๑๐๐ %
๔. ขีดความสามารถในการป้องกันตนเองจากการตรวจจับของฝ่ายปกครองจำกัด

LOGO MACAM.77 เป็นรูปช้างมีปีก ปากคาบสมอเรือ เท้าขวาเหยียบซองบุหรี่ เท้าซ้ายถือทับพีตักบาตร ที่ข้างเอวพก BARESTA –ขนาด ๙ มม.และวิทยุ Icom ซึ่ง น.ต.ธวัช เรืองเพ็ชร (ทหารลม) จะเป็นผู้ออกแบบ Graffic ต่อไป
เพลง MACAM 77
(สร้อย) ส่งงานครบเคารพอาจารย์ ออกนอกอาคาร ต้องสวมหมวกเสมอ
ไปลามาบอก อย่าลืมอย่าเผลอ ทำมึนทำเซ่อ เดี๋ยวเจอะฝ่ายปกครอง
๔ แสวงแห่งกระบวนการ ตกลงใจทหารทั้ง รบ –1 รบ 2
วิเคราะห์ภารกิจไปตามครรลอง จะทำอะไรก็ต้องอย่าลืม “ IPB”
( สร้อย )
เพิ่มพูนความรู้ฟื้นฟูวินัย และต้องใส่ใจทรงผมหน่อยซี
รองเท้าต้องขัด เครื่องหมายมันดี เขตปลอดบุหรี่ โอ๊ยดีเพื่อนเกลอ
( สร้อย )
รัก – จัด – พัฒน์ – รัก – จัด – เบ็ด ประมาณการเสร็จ จะได้ “ข้อเสนอ”
ทำแผนคำสั่งให้ดีนะเออ อย่าลืมอย่าเผลอ ต้อง”กำกับดูแล”
( สร้อย )
ซุนจื่อปิงฝ่า บิดาท่านเถิด เป็นแหล่งกำเนิด ยุทธศาสตร์ทหาร
เห็นคล้อยจึงเคลื่อน ใช้หลักฉับพลัน สุดแต่เหตุการณ์ เห็นเคลื่อนจึงคล้อย
( สร้อย )
โอ้ย…...ย์ ต้องพากเพียร ร์ ต้องพากเพียร !! เหล่า นักเรียน เสธ.!!
โอ้ย……ย์ ต้องอดทน เป็นยอดคน คือเสธ. ทบ. !!
( โอ้ย…...ย์ มันง่วงนอน มันง่วงนอน ต้องกาแฟ เจ้นอม !! )

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วัดช้างให้

 
Posted by Picasa

ข้างหลังภาพ


.. ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก .... ความรักของเธอเกิดขึ้นที่นั่นและตายที่นั่น ส่วนความรักของอีกคนหนึ่ง กำลังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ ..
นพพร และ หม่อมราชวงศ์กีรติ พบกันครั้งแรก ที่สถานีรถไฟโตเกียว นพพรอายุ 22 ปี เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ริคเคียว ส่วนหม่อมราชวงศ์กีรติ หญิงวัย 35 มาฮันนีมูน กับ พระยาอธิการบดี สามีที่ อายุคราวพ่อ ท่านเจ้าคุณเป็น เพื่อนสนิทกับ พ่อของนพพร จึงขอร้องให้นพพร พาหม่อมราชวงศ์กีรติ เที่ยวญี่ปุ่นเพราะตัวท่าน เองแก่เกินกว่า จะไปไหนต่อไหนได้ หลายแห่ง แต่ก็ยังอยากให้หม่อมราชวงศ์กีรติสนุกกับการอยู่ญี่ปุ่น และนั่นเป็นโอกาสให้นพพร เด็กหนุ่มที่ไม่เคย รู้จักความรักมาก่อน ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้หญิงที่สวย สง่า กิริยาวาจาแช่มช้อยเป็นผู้ดี แม้เธอจะสูงวัยกว่า แต่ยิ่งใกล้ชิด นพพรก็ยิ่งหลงรักเทอดทูน หม่อมราชวงศ์กีรติ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอ แต่งงานแล้ว นพพรเฝ้าถามหม่อมราชวงศ์กีรติว่าทำไมเธอจึงแต่งงานกับ ชายวัยพ่อ ทั้ง ๆ ที่เธอทั้งสวย สง่างามมาก ฉลาด และฐานะเดิมก็ดีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งไม่ได้ถูกใครบังคับและไม่ได้รักเจ้าคุณด้วย ทุกครั้งที่นพพรถาม หม่อมราชวงศ์กีรติเลี่ยงที่จะตอบ จนวันหนึ่ง เขาพาเธอไปเที่ยว มิตาเกะ หม่อมราชวงศ์กีรติที่ตามปกติจะวางตัวสง่างาม กลับกลายเป็นสาวน้อย ผู้ร่าเริงท่ามกลาง แมกไม้ และสาย และความหลัง ที่เป็นความลับ ของหม่อมราชวงศ์กีรติจึงถูกเปิดเผย และทุกครั้งที่นพพร ถามว่าหม่อมราชวงศ์กีรติรักเขาไหม คุณหญิงกีรติไม่เคยตอบตรงคำถามเลย ส่วนนพพรยืนยันว่า “ผมจะรักคุณหญิง ตราบชั่วฟ้าดินสลาย” 6 ปีล่วงไป นพพรสำเร็จการศึกษาและฝึกหัดงานที่ญี่ปุ่นพอสมควรแก่การแล้วก็กลับสยาม ในขณะนี้หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นหม้ายแล้ว และบำเพ็ญชีวิตอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เขาทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นการพบที่นพพรรู้สึกเหมือนพบพี่สาวที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น เวลา 6 ปีในญี่ปุ่นได้เปลี่ยนจิตใจของนพพรเด็กหนุ่มผู้อ่อนแก่ความรักให้เป็นชายหนุ่มญี่ปุ่นที่ไม่ใคร่จะคิดถึงใครจะคิดถึงอะไรนอกจากงานและการตั้งตัวเท่านั้น ครั้นแล้วนพพรก็แต่งงานกับคู่หมั้นที่บิดาหาไว้ไห้เมื่อครั้งยังศึกษาอยู่ในญี่ปุ่น เมื่อแต่งงานแล้วได้สองเดือน นพพรได้ทราบว่าหม่อมราชวงศ์กีรติได้เจ็บหนักด้วยโรควัณโรค และอยากพบเขา จนแพทย์และพยาบาลรู้สึกว่าควรจะมาตามเขาให้ไปพบ เพื่อให้คนไข้ได้สงบจิตใจในวาระสุดท้าย นพพรก็ไปเยี่ยมและหม่อมราชวงศ์กีรติก็ให้ภาพเขียนที่ระลึกถึงสถานที่ให้กำเนิดความรักแก่เขาทั้งสอง ซึ่งเป็นภาพวาดโดยฝีมือของเธอเอง พร้อมด้วยคำตัดพ้อบางประโยคเป็นที่สะกิดใจนพพรให้ระลึกถึงความหลังและหวนคิดเสียดายอาลัยคนรักคนแรกของตน ครั้นแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติสตรีผู้อาภัพในเรื่องรักก็ถึงแก่กรรมใน 7 วันต่อมา

หลักการสงคราม 10 ประการ (PRINCIPLES OF WAR)


1.หลักความมุ่งหมาย (OBJECTIVE) ต้องมุ่งไปสู่ที่หมายที่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน
2.หลักการรวมกำลัง (MASS) รวมอำนาจกำลังรบ ณ ตำบลและเวลาที่แตกหัก
3.หลักการดำเนินกลยุทธ (MANEUVER) ใช้อำนาจกำลังรบอย่างอ่อนตัวเพื่อให้ได้มาและดำรงไว้ซึ่งความได้เปรียบ
4.หลักการระวังป้องกัน และรปภ. (SECURITY) ไม่ยอมให้ข้าศึกได้เปรียบโดยที่เราไม่ได้คาดคิด
5.หลักความง่าย (SIMPLICITY) แผน/คำสั่ง ที่ชัดเจนไม่ยุงยากง่ายต่อการเข้าใจ
6.หลักการรุก (OFFFENSIVE) ชิงความริเริ่ม ,ครองความริเริ่ม ,ขยายผลความริเริ่ม
7.หลักการออมกำลัง (EXCONOMY OF FORCE) ใช้กำลังแต่เพียงน้อยในด้านการปฏิบัติรอง
8.หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา (UNITY OF COMMAND) มีเอกภาพในการปฏิบัติภายใต้ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบเพียงผู้เดียว
9.หลักการจู่โจม (SURPRISE) โจมตี ณ เวลาและตำบลที่ ในรูปแบบที่ข้าศึกมีการเตรียมการน้อยที่สุด
10.หลักการต่อสู้เบ็ดเสร็จ (TOTAL DEFENSE) ผนึกกำลังรบทังสิ้น เพื่อชดเชยความเสียเปรียบในด้านอำนาจกำลังรบ

ชื่อเสียงเกียรติยศ

การได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศอาจมีได้หลายสาเหตุ บางครั้งมีพื้นฐานมาจากการเสียสละ เมตตาปรานี ซึ่งเมื่อได้รับการเปิดเผยออกไปย่อมได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คน แต่หากเป็นการได้มาด้วยการแก่งแย่งที่ผิดมโนธรรม จอมปลอม ซับซ้อนพิสดาร เมื่อได้รับการเปิดเผยออกไปย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย

ความขัดแย้ง

มนุษย์โลกย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องราวนี้ได้ ทุกซอกทุกมุมของโลกอาจเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นได้ทุกเมื่อ จะอย่างไรเรื่องราวเช่นนี้ความจริงสามารถหยุดยั้งได้ เพียงแต่ว่ามนุษย์ต้องรู้จักการเสียสละ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถกระทำได้แต่น้อยคนจะยินยอม ยินยอมหักห้ามความโกรธของตนเอง อดทนต่อความผิดพลาดของผู้อื่น ลืมเลือนสิ่งที่ผู้อื่นทำร้ายตน หันมาปลูกฝังดวงใจแห่งความรักความเมตตาต่อผู้อื่น

กระบี่อยู่ที่ใจ

กระบี่ยามสงบคล้ายดั่งขุนเขาบรรพต ยามเคลื่อนไหวพอลงมือก็จู่โจม ถูกเป้าหมาย มีเจตนาที่จุดชีวิตของฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาดทันที แฝงไปด้วยรังสีการฆ่าฟันอันเกลี่ยวกราด ดุร้าย
ในใจมีกระบี่คือสุดยอดของหลักวิชาการต่อสู้ ในมือแม้กุมอาวุธคมกล้าที่สามารถฟันเหล็กดุจฟันหยวก แต่ในใจหากปราศจากกระบี่อาวุธคมกล้านั้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กท่อนหนึ่ง




กิตติพันธ์ กุลศิริปัญโญ

ความเชื่อมั่น

ชัยชนะที่แท้จริงมิได้ใช้อาวุธไปช่วงชิงมานั่นต้องใช้ความเชื่อมั่นของท่าน ไม่ว่าเป็นอาวุธน่ากลัวปานใด ยังไม่อาจทัดเทียมความเชื่อมั่นของมนุษย์ชาติได้ ความเชื่อมั่นสามารถแสดงออกโดยรอยยิ้ม มีแต่รอยยิ้มจึงสามารถพิชิตจิตใจผู้คนได้อย่างแท้จริง
ความเชื่อมั่นแม้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ก็เป็นเคล็ดลับสำคัญประการหนึ่งที่พิสูจน์ผลแพ้ชนะ ตัดสินความเป็นความตาย บางครั้งยังล้ำค่ากว่ากระบวนท่าวิชาฝีมือ เนื่องเพราะกระบวนท่าวิชาฝีมือแม้พอพบอาจารย์ยังสามารถถ่ายทอดสั่งสอน แต่ปฏิกิริยาความเชื่อมั่น และการตัดสินใจในยามต่อสู้ย่อมไม่มีผู้ใดถ่ายทอดให้ได้

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สาระบางอย่างเกี่ยวกับมุสลิม

มุสลิม คือ คำที่ใช้เรียกผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีสถานภาพเป็นทั้งผู้ครองเรือนและผู้ครองธรรม โดยมุสลิมต้องปฏิบัติตนอยู่ในหลักคำสอนที่สำคัญ ๓ ประการ คือ
๑ หลักศรัทธา มุสลิมต้องมีความศรัทธา ๖ ประการ คือ ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลลอฮ์ ในบรรดามลาอีกะฮ์ ในบรรดาศาสนทูต ในคัมภีร์ที่สำคัญ ในวันแห่งการพิพากษาหรือวันสิ้นโลก และในกฎกำหนดสภาวการณ์จากพระเจ้า
๒ หลักปฏิบัติ ๕ ประการ คือ การปฏิบัติตามคำปฏิญาณว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าองค์เดียว และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตจากพระองค์ การละหมาดวันละ ๕ เวลา การถือศีลอดปี ละ ๑ เดือน ในเดือนรอมฎอน การบริจาคซะกาตแก่คน ๘ ประเภท และการประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะฮ์ สำหรับผู้ที่มีความพร้อม
๓ หลักความยำเกรงโดยมีความตระหนักว่าจริยธรรม คุณธรรม และการปฏิบัติทุกอย่างกระทำต่อหน้าพระเจ้าและพระเจ้าทรงเห็น ทรงรู้ในพฤติกรรมนั้นอยู่ทุกขณะ

ละหมาด เป็นสำเนียงไทยๆ ที่เพี้ยนมาจากภาษาอุรดูว่า นมาซ ภาษาอาหรับเรียกว่า อัศเศาะลาศ์ ส่วนภาษามลายูใช้คำว่า ซัมมะฮ์ยัง หรือ สะมะยัง
ละหมาดวันศุกร์ คือ การละหมาดร่วมกันที่มัสยิดหรือที่ใดที่หนึ่ง ในช่วงกลางวันของวันศุกร์ โดยมีการกล่าวคุฎบะฮ์ หรือ ธรรมเทศนาก่อน ละหมาดนี้บังคับเฉพาะผู้ชาย
ละหมาดวันอีด ในอิสลามมีวันสำคัญซึ่งเป็นวันแห่งความรื่นเริงอยู่ ๒ วัน คือ วันอีดิลฟิตร คือ วันเฉลิมฉลองหลังจากเสร็จสิ้นการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และวันอีดิลอัฎฮา
คือ วันเฉลิมฉลองเนื่องในพิธีฮัจญ์ วันทั้งสองเรียกสั้นๆ ว่า “วันอีด” มุสลิมภาคกลางเรียกว่า
“วันออกบวช” และ “วันออกฮัจญี” ภาษามลายูใช้คำว่า “ฮารีรายอปอซอ” และ “ฮารีรายอฮัจญ์” ในวันดังกล่าวมุสลิมจะไปละหมาดอีดรวมกันที่มัสยิด และมีการเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงใกล้ชิด และขออภัยกัน ให้พรแก่กัน
มัสยิด คือ ศาสนสถานที่มุสลิมใช้เป็นที่ละหมาด โดยถือว่าเป็นบ้านของพระเจ้า มุสลิมเมื่อตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ที่ใดจะสร้างมัสยิดไว้เป็นศูนย์กลางของชุมชน มัสยิดนอกจากจะมีภาระหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาแล้ว ยังมีภาระหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองการปกครองในประเทศไทย มัสยิดที่จดทะเบียนแล้ว มีจำนวน ๓,๕๐๗ มัสยิด ในจำนวนนี้เป็นมัสยิดที่อยู่ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึง ๑,๖๘๗ มัสยิด

ตาดีกา คือ การจัดการเรียนการสอนศาสนาอิสลามเบื้องต้น ให้แก่เด็กมุสลิมระดับประถมศึกษาในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือในตอนเย็นของวันธรรมดา เพื่อเตรียมให้เด็กเติบโตเป็นมุสลิมที่ดี มีฐานความรู้ทางศาสนา พร้อมที่จะเข้าศึกษาต่อใน ร.ร.ปอเนาะ มักใช้สถานที่ของมัสยิดซึ่งจัดการบริหารโดยชุมชน ในปัจจุบันเรียกว่า “ศูนย์อบรมจริยธรรมประจำมัสยิด” (ตาดีกา) ซึ่งจัดอยู่ในการศึกษานอกระบบ

ปอเนาะ คือ บ้านหลังเล็กๆ ลักษณะเป็นกระท่อม ปอเนาะจึงเป็นคำที่เรียกสถานศึกษาของชาวมุสลิมในคาบสมุทรมลายู ซึ่งผู้เรียนจะประจำอยู่ที่กระท่อมที่รายล้อมสถานศึกษา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีปอเนาะเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ ปอเนาะส่วนหนึ่งได้จดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม สอนทั้งศาสนาและสายสามัญ ส่วนปอเนาะดั้งเดิมได้จดทะเบียนเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗ เรียกว่าสถาบันศึกษาปอเนาะ สอนศาสนาอิสลามจำนวน ๑๖ รายวิชา จัดเป็นการศึกษานอกระบบ

โต๊ะครู คือ คำเรียกครูสอนศาสนาในสถาบันศึกษาปอเนาะ มาจากคำว่า “ตูวันกูรู” ซึ่งแปลว่า “ท่านครู” ในภาษามาลายูเรียกว่า “โต๊ะกูรู”

บาบอ คือ คำเรียกเจ้าของสถาบันศึกษาปอเนาะ หรือเป็นคำเรียกพ่อ เรียกโต๊ะครู เรียกผู้อาวุโส ที่ประกอบพิธีฮัจญ์แล้ว

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ญิฮาด ( جهاد Jihad)


ญิฮาด ( جهاد Jihad) เป็นคำหนึ่งในภาษาอาหรับที่ถูกเข้าใจคลาดเคลื่อนมากที่สุด จนทำให้เกิดเป็นมายาคติที่ว่า "อิสลามเป็นศาสนาแห่งความรุนแรง และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการก่อการร้าย" มีมุสลิมบางคนได้ใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะสมจากกรอบแนวคิดเรื่อง ญิฮาด เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายทางการเมืองของตน ญิฮาด มาจากคำกริยา ญะฮะดะ ในภาษาอาหรับหมายถึง ความพยายาม ในทางศาสนาเป็น ความพยายามที่จะเพิ่มศรัทธาในพระเจ้ารวมทั้งการทำความดี การเผยแพร่ศาสนา

ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่มิใช่มุสลิมจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจ ญิฮาด แล้วตีความหมายแบบผิดๆ ซึ่งทำให้มุสลิมและอิสลามเกิดความเสื่่อมเสีย หรือทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ
ผู้ทำการญิฮาด เรียกว่ามุญาฮิด พหูพจน์เรียกว่ามุญาฮิดีนญิฮาดในอัลกุรอาน
ความหมายของญิฮาดในอัลกุรอานมีหลายความหมาย เช่น
การดิ้นรนของจิตวิญาณ เช่นในอัลกุรอาน (29:69) และบรรดาผู้ที่ต่อสู้ดิ้นรนในทางของเรา แน่นอนเราจะชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่พวกเขาสู่ทางของเรา
ความพยายามในการควบคุมอารมณ์ของตน และการช่วยเหลือผู้อื่น เช่น "ผู้ใดต่อสู้ดิ้นรน แท้จริงเขาย่อมต่อสู้ดิ้นรนเพื่อตัวเอง
โดยสรุปในอัลกุรอานให้มุสลิมทำญิฮาดเพื่อความโปรดปรานและได้ใกล้ชิดกับพระเจ้า มิใช่การต่อสู้กับผู้ที่มิใช่มุสลิมด้วยอาวุธหรือความรุนแรง
ญิฮาดในหะดิษ
ในหะดิษซึ่งเป็นการรวบรวมคำพูด โอวาทหรือการปฏิบัติตนของท่านมุฮัมมัด ได้ให้ความหมายของญิฮาดในการต่อสู้เพื่อทำให้จิตใจของตนบริสุทธิ์ เช่นกล่าวว่า การรบในสมรภูมิเพื่อศาสนาเป็นญิฮาดเล็ก การต่อสู้กับความอ่อนแอของตนคือญิฮาดใหญ่ และญิฮาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การพูดความจริงต่อหน้าผู้กดขี่
ญิฮาดในคำอธิบายของนักวิชาการมุสลิม
นักวิชาการมุสลิมแบ่งญิฮาดเป็น 4 ประเภทคือ
ญิฮาดโดยหัวใจ คือการต่อสู้กับกิเลสตัณหาในตัวเอง
ญิฮาดโดยลิ้น คือการเผยแพร่ศาสนาโดยใช้วาจา
ญิฮาดโดยมือ คือการสนับสนุนความถูกต้องโดยใช้กำลังร่างกาย
ญิฮาดโดยอาวุธ คือการตอบโต้การกดขี่ข่มเหงด้วยกำลังอาวุธเมื่อไม่มีทางแก้ไขอย่างอื่น

ในทางศาสนาอิสลามแล้ว คำนี้ไม่ได้หมายถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ดังที่ผู้มิใช่มุสลิมเข้าใจ และเป็นศัพท์ทางศาสนาคำหนึ่งที่ถูกเข้าใจผิดบ่อยครั้ง คำว่าญิฮาดนี้มีปรากฏทั้งในอัลกุรอ่านแลหะดิษต่างๆ
การทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหลาย เพื่อเทิดทูนคำสั่งแห่งอัลลอฮฺ
ให้อิสลามสถิตอยู่ในโลกอย่างมั่นคง ซึ่งจะต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ หลายประการ เช่น วิชาความรู้ การเมือง เศรษฐกิจ เป็นต้น ดังนั้นผู้ใดที่ใช้ความพยายามในด้านใดก็ตาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หลักธรรมคำสอนของอิสลามดำรงอยู่ในสังคม ก็ถือได้ว่าได้ทำการญิฮาดแล้วทั้งสิ้น ผู้ทำการญิฮาด เรียกว่า มุญาฮิด โดยนัยนี้นักการเมืองหากทำงานการเมือง โดยวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นมุญาฮิดทางการเมือง นักธุรกิจที่ทำธุรกิจตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ก็เป็นมุญาฮิด ในทางเศรษฐกิจดังนี้เป็นต้น
ญิฮาด หรือการก่อการร้าย
โดย อ.อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ) นักศึกษาปริญญาเอกศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย และผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา Shukur2004@Chaiyo.com Fax 0-7443-1354 มติชนรายวัน วันที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 9890

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมหมัด และผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

ปัจจุบันมีคำอยู่ 2 คำ คือ ญิฮาดและการก่อการร้าย ที่จำเป็นสำหรับผู้รู้หรือนักวิชาการมุสลิม จะต้องให้ความกระจ่างต่อสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมมุสลิม เพราะมีความเข้าใจผิดกันมากและได้ถูกนำไปใช้กันอย่างผิดๆ

อาจจะมีผู้ถามว่า ทำไมศาสนาอิสลามจึงมีการกำหนดการทำสงคราม ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าอิสลามมีความเข้าใจธรรมชาติและความเป็นจริงของสังคมโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหรืออนาคต ว่าเป็นไปไม่ได้ที่สังคมจะปราศจากสงคราม ดังนั้น ในทางที่ดี เพื่อความยุติธรรม และความเสียหายอาจจะขยายเพิ่มขึ้น ดังนั้น อิสลามจึงกำหนดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์การทำสงคราม

แต่เป็นที่น่าเสียใจ มีมุสลิมบางคน บางกลุ่ม ได้นำเอาแนวความคิดการญิฮาดไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด เพื่อเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง หรือต้องการแก้แค้นเนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม

มีมุสลิมหลายคนที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างผิดๆ และมีผู้ที่มิใช่มุสลิม โดยเฉพาะสื่อมวลชนหลายแขนงอธิบายความหมายของคำว่าญิฮาดไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้อ่านไม่สามารถแยกแยะระหว่างญิฮาดและการก่อการร้าย

ความหมายของ "ญิฮาด"

- ในด้านภาษา "ญิฮาด" เป็นภาษาอาหรับที่มาจากคำว่า "ญะฮฺดุน" ซึ่งหมายถึง "การทำอย่างยากลำบาก, การปฏิบัติย่างเต็มที่ด้วยความเหนื่อยล้า" หรือมาจากคำว่า "ญุฮฺดุน" ที่หมายถึงความพยายามอย่างจริงจัง

- ในด้านวิชาการ ญิฮาดหมายถึงการใช้ความพยายามเพื่อบรรลุถึงความดี และการป้องกันความชั่ว

ญิฮาดสามารถปฏิบัติได้ในหลายๆ ด้าน โดยวิธีการต่างๆ เช่น การต่อสู้กับอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเอง การต่อสู้กับมารร้าย ความยากจน การไม่รู้หนังสือ โรคภัยไข้เจ็บ และการต่อสู้ต่อพลังความชั่วในโลกทั้งหมด ดังนั้น ญิฮาดจึงมีหลายประเภท แต่ผู้เขียนขอกล่าวถึงญิฮาดที่เป็นประเด็นร้อนของสังคมโลก

กล่าวคือ ญิฮาดที่หมายถึงการต่อสู้และการทำสงคราม

จะเรียกว่าญิฮาดชนิดนี้ได้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้

1.ถูกกดขี่และถูกขับไล่อย่างอยุติธรรม

2.ถูกลิดรอนสิทธิด้านศาสนา

3.จะต้องญิฮาดเพื่อนำสิทธิในข้อหนึ่งและสองกลับคืน

4.อยู่ภายใต้จริยธรรมในการทำสงคราม เช่น ต่อสู้ต่อบรรดาผู้เป็นศัตรู แต่อย่าเริ่มการเป็นศัตรูก่อน แท้จริง "อัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้รุกราน"(ดูกุรอาน 2:190)ไม่ทำลายศพ ฆ่าเด็กๆ คนแก่ ผู้หญิง หรือบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่มีสัญญาสงบศึกไม่ตัด หรือเผาทำลายต้นไม้ที่ออกผล ไม่ฆ่าสัตว์ เช่น แกะ วัว หรืออูฐ นอกจากเพื่อเป็นอาหาร ให้ความเมตตาและการเอาใจใส่หรือบริการทางการแพทย์ และการพยาบาลต่อเชลยสงคราม เพราะอัลลอฮฺดำรัสความว่า

"แท้จริง บรรดาผู้ทรงคุณธรรมนั้นจะได้ดื่มน้ำที่ผสมด้วยการบูรหอมจากแก้วน้ำ เป็นตาน้ำพุที่บ่าวของอัลลอฮฺ จะได้ดื่มโดยทำให้มันพุ่งออกมาอย่างล้นเหลือ เพราะพวกเขาปฏิบัติตามคำสัตย์สาบาน และกลัววันที่ความชั่วร้ายของมันแพร่กระจายออกไป และพวกเขาให้อาหารแก่คนขัดสน เด็กกำพร้าและเชลย เพราะความรักต่อพระองค์ พวกเขากล่าวว่า "เราให้แก่พวกท่านโดยหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮฺเท่านั้น และเรามิได้หวังการตอบแทนหรือการขอบคุณจากท่านแต่ประการใด" (กุรอาน 76:5-9)

และท่านนบีมุฮัมมัดได้สั่งบรรดาสาวกของท่านให้ทำดีต่อเชลย ครั้งหนึ่งท่านได้สั่งสาวกของท่านโดยกล่าวว่า "ท่านจะต้องปฏิบัติต่อเชลยด้วยดี"

เพราะฉะนั้น สงครามใดในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นที่ภาคใต้ของไทยหรือต่างประเทศ หากไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไข และกฎเกณฑ์ดังกล่าว คือการก่อการร้าย(ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของรัฐหรือผู้ก่อการ)

ญิฮาดจึงมิใช่การก่อการร้าย อิสลามไม่อนุมัติการก่อการร้ายต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะโดยการรุกรานหรือโดยวิธีการพลีชีพ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม

อิสลามส่งเสริมผู้ถูกกดขี่ให้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตัวเอง และสั่งมุสลิมให้ช่วยเหลือคนที่ถูกกดขี่ และได้รับความเดือดร้อนภายใต้เงื่อนไขของการญิฮาด

การก่อการร้ายมิใช่การญิฮาด มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ฟะซาดภาษาอาหรับ" (การก่อความเสียหาย และความหายนะต่อสังคมโลก) ซึ่งขัดกับคำสอนของอิสลาม มีบางคนที่ใช้คำนี้อย่างผิดๆ ไปสนับสนุนการก่อการร้ายเพื่อแนวทางของตนเอง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะนำมาใช้สนับสนุน เพราะอัลลอฮฺได้ดำรัสความว่า : "เมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงอย่าก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน" พวกเขากล่าวว่า "เปล่า เราเพียงแต่ต้องการแก้ไขสิ่งต่างๆ ต่างหาก" แท้จริงพวกเขาคือผู้สร้างความเสียหาย แต่พวกเขาหาได้ตระหนักไม่"(กุรอาน 2:11-12)

อิสลามต้องการที่จะสร้างระเบียบโลกที่มนุษย์ทั้งหมด ทั้งมุสลิมและมิใช่มุสลิมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างยุติธรรม ในความสันติและความสมานฉันท์

อิสลามได้ให้แนวทางที่ครบถ้วนสมบูรณ์แก่มุสลิมเพื่อหาความสงบทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตทางสังคม และอิสลามบอกให้มุสลิมถึงให้มิตรไมตรีต่อผู้อื่นบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

มีโองการอัลกุรอ่านมากมายที่กล่าวถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับต่างศาสนิก เช่น อัลลอฮฺได้ตรัสความว่า "อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขาแท้จริง อัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (60:8)

จากโองการข้างต้นพบว่า : อัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้ใช้ผู้ศรัทธาทำความดีต่อชนต่างศาสนิก ไม่ว่าจะเป็นการผูกมิตรไมตรีให้ความช่วยเหลือต่อกัน และให้ความยุติธรรมซึ่งกันและกัน ตราบใดที่เขาเหล่านั้นมิได้ละเมิดสิทธิและขับไล่ผู้ต่อเจ้าของกรรมสิทธิ์

อัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า : และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์(อัลลอฮฺ) แก่คนยากจน กำพร้า และเชลยศึก(76:8)

อิหม่าน al-Zuhaili กล่าวว่า "ผู้เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธานั้น เขาจะให้อาหารแก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นมุสลิมหรือต่างศาสนิก"

ในสังคมสมัยใหม่ที่โลกกลายเป็นหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งผู้ที่มิใช่มุสลิมอาศัยอยู่กับมุสลิมในประเทศมุสลิม และมุสลิมอาศัยอยู่กับผู้ที่มิใช่มุสลิมในประเทศที่ผู้มิใช่มุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ เรามีหน้าที่จะต้องสร้างความเข้าใจที่ดี และถูกต้องในหมู่พวกเรากันเอง จะต้องทำงานเพื่อสันติภาพ และความยุติธรรมสำหรับประชาชนทั้งหมด และร่วมมือกันในเรื่องคุณธรรมความดี เพื่อที่จะยับยั้งลัทธิการก่อการร้าย การรุกราน และการใช้ความรุนแรงต่อคนบริสุทธิ์ ผู้เขียนคิดว่านี่ต่างหากคือการญิฮาดของเราในปัจจุบัน

สรุป : จะเรียกญิฮาดได้ต้องมีเงื่อนไขที่สมบูรณ์ เจตนาดี และวิธีการถูกต้อง

หากมีเพียงเงื่อนไขสมบูรณ์ เจตนาดีแต่ไม่คำนึงวิธีการจะไม่เรียกว่าญิฮาด แต่จะกลับกลายเป็นการก่อการร้ายทันที เพราะการก่อการร้ายคือก่อความเสียหายและความหายนะต่อสังคมโลก ถึงจะอ้างว่าทำไปเอาความยุติธรรมกลับคืน

หมายเหตุเรียบเรียงจาก

1.Siyid Sabig. 1993. Fig Sunnah. Cairo.Dar al-Fath.3/82-83

2.al-Zuhaili,wahbah.1991 al-tafsir al-Munir. Damascus:Dar al-Fikr.28/135

3.http://www.muslimthai.com/contentfront.php?option=content&id=575

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จังหวัดชายแดนภาคใต้


ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ให้ความสำคัญ โดยระดมทรัพยากรทั้งบุคลากร และยุทโธปกรณ์ รวมทั้งงบประมาณต่างๆเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถควบคุมสถานการณ์ และยุติปัญหาดังกล่าว นำไปสู่การสร้างสันติสุขกลับมาสู่ผืนแผ่นดินแห่งนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามคงต้องยอมรับกันว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความซับซ้อนโดยเฉพาะในระบบสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งมีการเชื่อมโยงกันหลายมิติ ดังนั้นการดำเนินการแก้ไขปัญหาต้องมีความละเอียดประณีต การใช้กำลังเข้าแก้ไขปัญหาคงไม่สามารถนำความสันติสุขมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมั่นคงถาวร
จากผลการปฏิบัติในรอบปีที่ผ่านมาแม้จะถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่หลายฝ่ายพึงพอใจ ทำให้เกิดความคาดหวังจากประชาชนทั่วประเทศว่าจะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปสู่ทิศทางของการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไปได้ แต่ยังคงมีปัจจัยแห่งความสำเร็จบางประการที่เราต้องเพ่งเล็ง และให้ความสำคัญ อย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง ได้แก่
ประการที่ ๑ การบูรณาการของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคประชาชนอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม ต้องผนึกกำลังโดยไม่แบ่งแยกเป็นพวก เป็นฝ่าย ร่วมกันแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง โดยถือบริบทของความสมานฉันท์เป็นหลัก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม และประเทศชาติ
ประการที่ ๒ การปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ต้องตระหนักให้จงดีว่าการปฏิบัติงานในพื้นที่ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความปรารถนาดี มีความเข้าอกเข้าใจประชาชน เพื่อมิให้เกิดความหวาดระแวง ซึ่งกันและกัน หากเจ้าหน้าที่ของรัฐมองประชาชนด้วยสายตาหวาดระแวง ขาดสายใยแห่งความผูกพัน และไมตรีจิต ก็คงหวังไม่ได้ที่จะให้ประชาชนคืนความจริงใจกลับมาสู่ฝ่ายรัฐ ตรงกันข้ามความสงบสุขจะยิ่งหนีห่างออกไปอีก เป็นเท่าทวีคูณ สิ่งเหล่านี้ ผู้บังคับบัญชา ต้องตระหนักรู้ และใส่ใจกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา โดยปรับทัศนคติให้เปิดกว้าง ลดความหวาดระแวง มอบความไว้ใจซึ่งกันและกันและกันอย่างบริสุทธิ์ใจ จึงจะทำให้การแก้ไขปัญหาในพื้นที่เข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ประการที่ ๓ การดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้รอบปีที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการตาม แผนงาน/โครงการ ตามกลยุทธ์ในกรอบยุทธศาสตร์ความมั่นคง และด้านการพัฒนา แม้ว่าแผนงานโครงการดังกล่าว จะผ่านการกลั่นกรองตามกระบวนการ จนสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงตามที่ตั้งเป้าประสงค์ไว้ก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักก็คือการประเมินผลการปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อทบทวนปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆ เพื่อเสริมจุดด้อย ชูจุดเด่น ให้บังเกิดแรงขับเคลื่อนในการดำเนินการแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พัฒนาดียิ่งๆ ขึ้นไปในแต่ละห้วงเวลา มิฉะนั้นจะเป็นเพียงการย้ำเท้าอยู่กับที่
ประการที่ ๔ ประชาชนคือศูนย์กลางแห่งการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เป็นกลไกหลัก ตัวจักรสำคัญยิ่ง ดังนั้นการดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมติดตาม หรือมีส่วนรวมในทุกกระบวนการแก้ไขปัญหาตั้งแต่เริ่มวางแผน เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง จะทำให้เห็นถึงความจริงใจของภาครัฐ และ เห็นถึงความสำคัญของภาคประชาชน อันจะนำไปสู่การร่วมแก้ไขปัญหาได้อย่างบริบูรณ์
ประการที่ ๕ ส่วนราชการ เอกชน รวมทั้งประชาชนคนไทย ที่อยู่นอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องตระหนักว่าปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศลำดับแรก จึงต้องมีส่วนร่วมในบทบาทหน้าที่ของตนเองให้มากที่สุด เช่น คัดเลือกเจ้าหน้าที่มาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประณีต รอบคอบ แก้ไขช่องว่างของกฎระเบียบข้อบังคับ ให้สามารถสนับสนุนการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลดีต่อประชาชนในพื้นที่ การจัดกิจกรรมสนับสนุน ช่วยเหลือ ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต่างๆ ล้วนส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของการแก้ไขปัญหาทั้งสิ้น เป็นการแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่า เป็นปัญหาภายในของประเทศไทย ที่ทุกภาคส่วนของสังคมไทยกำลังร่วมมือแก้ไขปัญหา เพื่อนำความสันติสุขร่มเย็นกลับมาสู่พื้นที่ เช่นในอดีตที่ผ่านมา ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาของชาติคงยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ความสำเร็จมิได้อยู่ที่การนับศพหรือควบคุมตัวกลุ่มก่อความไม่สงบเท่านั้น ยังมีเรื่องต่างๆ อีกมากมายนานับปการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกนายต้องตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทุ่มเท เสียสละ และร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหาในพื้นที่ด้วยความมุ่งมั่น อย่างต่อเนื่อง ต่อไป

พระราชดำรัส



“...จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทุกคน ทุกฝ่าย ทำให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วมีกำลังใจมากขึ้น นึกถึงคุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความรัก ความสามัคคี ที่ทำให้คนไทยเราสามารถร่วมมือร่วมใจกันรักษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน
ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กันให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิด จิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกันในทางที่ดี ที่เจริญนี้ ยังมีพร้อมมูลในกาย ในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่า ประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้...”


พระราชดำรัส
เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙

วิชกานต์ กุลศิริปัญโญ


วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ชลธิดา กุลศิริปัญโญ


ลูกสาว นาวาเอกกิตติพันธ์ กุลศิริปัญโญ

วิวสวย




วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


สถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแ ต่เหตุการณ์ปล้นปืนกองพัฒนาที่ ๔ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ มีความรุนแรง มีการพัฒนารูปแบบและวิธีการก่อเหตุร้ายขึ้นมาตามลำดับ
สภาพปัญหาโดยรวมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วก็ไม่แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการศึกษา, ความยุติธรรม, ความยากจน, ยาเสพติด เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งได้ยึดโยงกับปัญหาสังคมจิตวิทยาที่เป็นปัญหาพื้นฐานมาค่อนข้างยาวนาน ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจและหวาดระแวง โดยเฉพาะการถูกชี้นำให้เกิดขบวนการต่อสู้ มุ่งหวัง แบ่งแยกดินแดนปกครองตนเอง โดยอาศัยอัตลักษณ์ความเป็นเชื้อชาติมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามและประวัติศาสตร์ความเป็นรัฐปัตตานีในอดีต จนกระทั่งมีขบวนการต่อสู้ที่สำคัญใช้ชื่อว่า ขบวนการ BRN, PULO และมูจาฮีดีน มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓
ต่อมา ผลจากการแตกแยกภายในขบวนการผนวกกับการแก้ปัญหาที่ได้ผลของภาครัฐทำให้กลุ่มขบวนการเหล่านั้นอ่อนแอลง จะมีเพียงขบวนการ BRN Co-ordinate ซึ่งแยกออกมาจากขบวนการ BRN เท่านั้น ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเคลื่อนไหว จากการมุ่งเน้นซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธเป็นบ่มเพาะแนวคิดรุนแรง ในสถานการศึกษาตั้งแต่ระดับ ตาดีกา ปอเนาะ, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาจนถึงระดับอุดมศึกษา รวมทั้งการใช้มัสยิดอีกแหล่งหนึ่งด้วย
กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน BRN Co-ordinate ได้ดำรงความมุ่งหมายการแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครองตนเองโดยใช้ยุทธศาสตร์ตามแผนงาน “การปฏิวัติ ๗ ขั้นตอน” มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ และใช้งาน “ การจัดตั้ง ” เป็นเส้นทางไปสู่ความสำเร็จของการปฏิวัติแยก “ รัฐปัตตานี ” ทั้งนี้ จะใช้รูปแบบของการแอบแฝง ปะปนอยู่กับประชาชนและใช้เทคนิคการก่อการร้าย ,การบ่อนทำลาย , การสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธและคนไทยที่นับถือศาสนามุสลิม, การแพร่มลทินต่อเจ้าหน้าที่รัฐรวมทั้งสร้างความหวาดกลัวเพื่อควบคุมประชาชนและยั่วยุให้รัฐใช้ความรุนแรงตอบโต้
ขบวนการ BRN COORDINATE เป็นองค์กรลับ ใช้การปลุกระดม ขยายข่ายงาน สร้างสมาชิกและแนวร่วม ด้วยเงื่อนไขเชื้อชาติ, ศาสนาและมาตุภูมิ มีโครงสร้าง ประกอบด้วย
โครงสร้างสภาองค์กรนำ และโครงสร้างในองค์กรมวลชน เป็นโครงสร้างทางการเมือง การปกครองที่ใช้ในการควบคุมมวลชนจัดตั้ง จะแบ่งเขตการปกครองทับซ้อนอำนาจรัฐไทย ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านหรือ อาเยาะห์ ไปจนถึงระดับเขตหรือกัส
องค์กรจัดตั้งที่สำคัญที่สุดคือหมู่บ้าน โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านอันเอื้อ อำนวยให้กองกำลังติดอาวุธดำรงอยู่ได้เพื่อก่อเหตุร้ายรายวัน ที่พิสูจน์ทราบแล้วมีหมู่บ้านที่จัดตั้งไว้แล้วอย่างน้อย ๒๑๖ หมู่บ้าน โครงสร้างกองกำลังติดอาวุธ : จะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ กองกำลังประจำถิ่นที่อยู่ประจำเขตการปกครองในแต่ละระดับ กับกองกำลังปฏิบัติการพิเศษที่สามารถเคลื่อนไหวทั้งประจำเขตการปกครองและนอกพื้นที่
การจัดตั้งกำลังติดอาวุธนั้น จะเริ่มบ่มเพาะจากกลุ่มเด็กเล็กภายในตาดีกาและเยาวชนภายในปอเนาะ ผ่านทางอุสตาส โดยคัดเลือกคนที่มีร่างกายแข็งแรง เรียนเก่ง ปลูกฝังความคิด ความเชื่อแล้วทำการซูมเปาะ และฝึกทางยุทธวิธี ของหน่วยทหารขนาดเล็ก ซึ่งเรียกว่าการฝึก “RKK”
กลุ่ม“RKK หรือ คอมมานโด” จะใช้หมู่บ้านจัดตั้งเป็นฐานที่มั่น ออกปฏิบัติการในพื้นที่ ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่มีเงินเดือน ไม่ติดอาวุธ โดยมีกลุ่มทหารบ้านหรือตุรงแงคอยให้การสนับสนุนในการติดตามความเคลื่อนไหวของ จนท.รัฐ,กำหนดเป้าหมาย จัดหาอาวุธและที่เก็บซ่อนและให้ความช่วยเหลือในการหลบหนี
สำหรับแนวนโยบายแห่งรัฐในการแก้ปัญหานั้นจะใช้มาตรการต่างๆ ในการนำสันติสุขกลับคืนสู่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเร็ว จึงได้กำหนดเครื่องมือในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทั้งด้านนโยบาย และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ ได้แก่ การจัดตั้งองค์กรขึ้นมารับผิดชอบ ซึ่งมีการปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มาตามลำดับ ปัจจุบันมอบให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นองค์กรหลักรับผิดชอบ โดยได้กำหนดให้เป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงสำหรับภัยคุกคามกรณีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับเป็นความสำคัญเร่งด่วนแรก และได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ ขึ้นมา โดยมอบให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพ และสมดุล ตลอดทั้งบูรณาการยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา ให้ผสมผสานกัน อย่างสอดคล้อง และเป็นระบบ ซึ่งมีหน่วยรองหลักประกอบด้วย กองบัญชาการผสม พลเรือน ตำรวจ ทหาร รับผิดชอบยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า รับผิดชอบต่อการเร่งรัด สืบสวน จับกุม นำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไปอีกด้วย
การปฏิบัติงานทั้งด้านการทหารและการเมืองที่ดำเนินการมาทั้งหมด ได้ตระหนักอยู่เสมอว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้ จึงจะต้องทำให้ประชาชนเหล่านี้มีความเชื่อมั่นและสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐให้จงได้ ทั้งนี้จะไม่สร้างเงื่อนไขใดใดที่จะผลักดันประชาชนเหล่านี้ให้ไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด
แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระยะ ๕ ปี ขึ้น โดยพิจารณาจากสภาพข้อเท็จจริงของปัญหาในพื้นที่รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายเสริมสร้างสันติสุขและแนวทางในการปฏิบัติที่รัฐบาลกำหนด โดยมีกรอบการดำเนินงาน ๒ ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา



………………………………

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้อคิด คำคม จากขงเบ้ง


1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

2. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาสเพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วยดังนี้แล้ว 'ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน'

3. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

4. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด

5. ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

6. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

7. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

8. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

9. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

10. เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

12. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่

13. ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่

14. ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

15. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'ใช่ หรือ อาจจะ' เขามีความหมายว่า 'อาจจะ'

17. เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'อาจจะ' เขามีความหมายว่า 'ไม่'

18. เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'ไม่' เขาไม่ใช่นักการฑูต (เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)

19. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'ไม่' หล่อนมีความหมายว่า 'อาจจะ'

20. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'อาจจะ' หล่อนมีความหมายว่า 'ใช่ หรือ ได้'

21. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'ใช่ หรือ ได้' หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.

22. สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ

23. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

24. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

25. คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นักกล้าม


ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน




เขาย่อมเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล

.

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก


สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน


ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป


แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน

***อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก

แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย

แม้เจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย

เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จะเกิดภาคไหนๆ ก็ไทยด้วยกัน


การเจรจาต่อรอง

เจรจาต่อรอง
ศิลปะในการเจรจาต่อรอง

1. เจรจากับผู้ที่มีอำนาจเท่านั้น จงหลีกเลี่ยงในการเจรจา ถึงเงื่อนไขต่างๆ กับตัวแทนของคู่เจรจา เพราะหน้าที่ของเขาก็คือ การแสวงหาช่องโหว่จากคุณให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ก่อนที่ผู้มีอำนาจแท้จริงจะเจรจา ตกลงกับคุณอีกครั้งหนึ่ง
2.สร้างความพอใจให้ทุกๆฝ่าย เพราะนี่คือกุญแจของความสำเร็จในการเจรจาทุกกรณี
3.เตรียมพร้อมที่จะรับเงื่อนไของคู่เจรจา โดยปกติการเจรจา จะต้องมีการ่อรองอยู่เสมอ จงเตรียมการให้พร้อมและเริ่มต้นการเจรจาด้วยข้อเสนอ ที่สูงกว่าเป้าหมาย ที่คุณวางไว้เล็กน้อย
4.สุขุม จงรักษาอารมณ์ของคุณให้สงบ เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา แล้วคุณจะรับผลประโยชน์มหาศาล อย่าอารมณ์เสีย (หรืออย่างน้อยที่สุด ก็อย่าได้แสดงอาการออกมา)
5.ขาย การเจรจาที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับการขายตัวของคุณพร้อมวัตถุประสงค์ของคุณให้แก่คู่เจรจา พึงระลึกไว้เสมอว่าคุณจาสามารถเอาชนะคู่เจรจาได้ก็ต่อเมื่อ คุณสามารถขายตัวของคุณเองได้สำเร็จเท่านั้น
6.อย่าลดเงื่อนไขของตนเอง อย่าตกปากรับข้อเสนอ หรือ เงื่อนไขที่คุณอาจจะเสียใจภายหลังได้ ยอมสูญเสียมันดีกว่า ยอมรับในสิ่งที่คุณไม่สามารถจะรับได้
7.เอาชนะด้วยจุดแข็งของคุณ นักเจรจาที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้ที่สามารถ ทราบถึงจุดแข็งของตนเอง และนำมาให้ได้ อย่างมีประสิทธิผล
8.เจรจาด้วยตัวของคุณเอง มีหลายกรณีที่คู่เจรจาต้องการข้อมูลเอกสารหรือรายละเอียดเพิ่มเติม คุณควรเตรียมพร้อมที่จะเสนอสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ด้วยตัวของคุณเอง ซึ่งคุณสามารถสังเกตปฏิกิริยาต่างๆ ของคู่เจรจาของคุณได้
9.ใจเย็น หากคุณยังลังเลหรือยังไม่แน่ใจในข้อเสนอ หรือ เงื่อนไขบางอย่าง จงอย่ารีบด่วนตัดสินใจอย่างฉับพลันเพราะโดยทั่วๆไป แล้ว ถ้าเป็นการเจรจาในเรื่องที่สำคัญรอช้าอีกสักวันได้
10.อย่าพูดเกินความจริง การโอ้อวดเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จระยะสั้นเป็นข้อห้ามเด็ดขาดของการเจรจา เพราะความสำเร็จระยะสั้นจะนำมาซึ่งความล้มเหลวในภายหลัง
11.อย่าให้คู่เจรจาอ่านสีหน้าของคุณออก อย่าแสดงอาการดีใจจนเกินเหตุเมื่อสมหวัง และไม่ควรแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ด้วย จงแสดงท่าทางยินดีเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่คุณคาดหมายอยู่แล้ว
12.อย่ามองข้ามผู้ร่วมงานของคู่เจรจา เขาเหล่านั้นอาจจะมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อเสนอของคุณได้
13.เป็นกันเอง ก่อนวันเจรจาหรือก่อนการเริ่มต้นเจรจา จงเรียนรู้ชื่อของผู้เข้าร่วมเจรจาทุกคน และพยายามกล่าวถึงเสมอ
14.อย่ากีดกันผู้อื่นจนเกินไป ในบางกรณีคู่เจรจาของคุณ อาจต้องการเพื่อนร่วมคณะด้วย
15.รักษาความลับ คู่เจรจาของคุณอาจจะไม่ต้องการให้พนักงานของเขาหรือคนอื่นทราบการนัดหมายหรือสาระในการเจรจากับคุณ
16.เชื่อมั่นในตนเอง จงมีความเชื่อมั่นในตนเอง ในการเจรจาทุกครั้ง
17.อย่ารีบด่วนกระหยิ่มใจ การเจรจา ๓ ชั่วโมง เต็มของคุณอาจประสบความล้มเหลวภายในวินาทีเดียวที่คุณเริ่มขาดการระมัดระวังได้ เพราะคู่เจรจาของคุณอาจคอยจ้องโอกาสนี้ อยู่แล้ว
18.มีเหตุผล คุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอ เว้นเสียแต่ว่าคุณตั้งเป้าหมายของคุณเสียสูงจนสุดเอื้อม
19.จบการเจรจาด้วยไมตรี ไม่ว่าผลของการเจรจาจะออกมาในรูปใดทุกๆ คนด่าวมีส่วนร่วมเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน ด้วยกันทั้งนั้น จงขอบคุณผู้เจรจาของคุณจากใจจริง

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คาถาชินบัญญชร

คาถาชินบัญญชร
เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้น ก่อนเจริญภาวนา ชิ น ปั ญ ช ร ตั้งนะโม 3 จบ แล้วระลึกบูชา เจ้าประคุณสมเด็จด้วยคำว่า

ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยมราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

1. ชยาสะรากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เยปิวิงสุ นะราสะภา.

2. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.

3. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะ คุณากะโร.

4. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.

5. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.

6. เกเลนเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภัง กะโร นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว.

7. กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร.

8. ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละถา มะมะ.

9. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

10.ระตะนัง ปุระโต อาสี ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง.

11.ขันธะโมระปะริตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา

12.ชินานานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.

13.อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะ ชินะ เตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

14.ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.

15. อัจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ

ผู้นำ

ความหมายของผู้นำ
เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ผู้นำ (Leader) เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งต่อความสำเร็จขององค์การทั้งนี้ เพราะผู้นำมีภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบโดยตรงที่จะต้องวางแผนสั่งการดูแล และควบคุมให้บุคลากรขององค์การปฏิบัติงานต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ปัญหาที่เป็นที่สนใจของนักวิชาการและบุคคลทั่วไปอยู่ตรงที่ว่า ผู้นำทำอย่างไรหรือมีวิธีการนำอย่างไรจึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตามเกิดความผูกพันกับงานแล้วทุ่มเทความสามารถ และพยายามที่จะทำให้งานสำเร็จด้วยความเต็มใจ ในขณะที่ผู้นำบางคนนำอย่างไร นอกจากผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่เต็มใจในการปฏิบัติงานให้สำเร็จอย่างมประสิทธิภาพแล้ว ยังเกลียดชังและพร้อมที่จะร่วมกันขับไล่ผู้นำให้ไปจากองค์การ
เพื่อให้เข้าใจภาวะผู้นำ (Leadership) และผู้นำ (Leader) ดีขึ้น จึงเสนอความหมายของผู้นำ (Leader) ไว้ดังนี้ ผู้นำ คือ บุคคลที่มีความ สามารถในการใช้อิทธิพลให้คนอื่นทำงานในระดับต่าง ๆ ที่ต้องการให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ (McFarland,1979:214-215) ผู้นำ คือ ผู้ที่สามารถในการชักจูงให้คนอื่นทำงานให้สำเร็จตามต้องการ (Huse, 1978:227) ผู้นำ คือ บุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในกลุ่ม และเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติภาระหน้าที่ของตำแหน่งผู้นำที่ได้รับมอบหมายบุคคลอื่นในกลุ่มที่เหลือก็คือผู้ตาม แม้จะเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย หรือผู้ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ก็ตาม (Yukl, 1989:3-4) ผู้นำ คือ บุคคลที่มาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง หรือการยกย่องขึ้นมาของกลุ่ม เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและช่วยเหลือให้กลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กวี วงศ์พุฒ (2535: 14-15) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับผู้นำไว้ 5 ประการ คือ
(1) ผู้นำ หมายถึง ผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลางหรือจุดรวมของกิจกรรมภายในกลุ่ม เปรียบเสมือนแกนของกลุ่ม เป็นผู้มีโอกาสติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นมากกว่าทุกคนในกลุ่ม มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจของกลุ่มสูง
(2) ผู้นำ หมายถึง บุคคลซึ่งนำกลุ่มหรือพากลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์หรือสู่จุดหมายที่วางไว้ แม้แต่เพียงชี้แนะให้กลุ่มไปสู่จุดหมายปลายทางก็ถือว่าเป็นผู้นำทั้งนี้รวมถึงผู้นำที่นำกลุ่มออกนอกลู่นอกทางด้วย
(3) ผู้นำหมายถึงบุคคลซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่คัดเลือกหรือยกให้เขาเป็นผู้นำของกลุ่มซึ่งเป็นไปโดยอาศัยลักษณะทางสังคมมิติของบุคคลเป็นฐาน และสามารถแสดงพฤติกรรมของผู้นำได้
(4) ผู้นำหมายถึงบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างคือสามารถสอดแทรกอิทธิพลบางประการอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มได้มากที่สุด
(5) ผู้นำ หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งสามารถนำกลุ่มไปในทางที่ต้องการ เป็นบุคคลที่มีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการแสดงบทบาทหรือพฤติกรรมความเป็นผู้นำ บุญทัน ดอกไธสง (2535:266) ได้สรุปเกี่ยวกับผู้นำไว้ว่า ผู้นำ (Leader) หมายถึง
(1) ผู้มีอิทธิพล มีศิลปะ มีอิทธิพลต่อกลุ่มชน เพื่อให้พวกเขามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายตามต้องการ
(2) เป็นผู้นำและแนะนำ เพราะผู้นำต้องคอยช่วยเหลือกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามความสามารถ
(3) ผู้นำไม่เพียงแต่ยืนอยู่เบื้องหลังกลุ่มที่คอยแต่วางแผนและผลักดัน แต่ผู้นำจะต้องยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่ม และนำกลุ่มปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย สรุปได้ว่า ผู้นำ (Leader) คือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรือการเลือกตั้งหรือการยกย่องจากกลุ่มให้ทำหน้าที่ของตำแหน่งผู้นำ เช่น การชี้แนะ สั่งการ และช่วยเหลือให้กลุ่มสามารถปฏิบัติงานได้สำเร็จตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ได้มีการเขียนชื่อผู้นำแตกต่างกันออกไปตามลักษณะงานและองค์การที่อยู่ เช่น ผู้บริหาร ผู้จัดการ ประธานกรรมการ ผู้อำนวยการ อธิการบดี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้ว่าราชการ นายอำเภอ กำนัน เจ้าคณะจังหวัด เจ้าอาวาส ปลัดกระทรวง คณบดี

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

กาลามะสูตร

  อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆกันมา           มา อนุสฺส เวน

 อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา             มา ปรมฺ ปราย

  อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ                    มา อิติ กิราย

  อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์    มา ปิฎกสมฺปทาเน

 อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างเหตุผลทางตรรก    มา ตกฺเหตุ

๖  อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน                 มา นยเหตุ

๗  อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองเอาตามแนวเหตุผล                     มา อาการปริวิตกฺเกน

 อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรงกับความเห็น หรือทฤษฎีของตนที่คิดไว้      มา ทิฎฐินิชฺฌานกชฺนติยา

๙  อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะว่าน่าจะเป็นไปได้             มา ภพฺพ รูปตาย  

๑๐ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูเรา                  มา สมโณ โน ครูติ

      ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย แต่เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ ประจักษ์ด้วยตนเองว่าธรรมทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นอกุศล ผิดพลาด ชั่วร้าย มีโทษ เป็นทางให้เกิดทุกข์ทั้งแก่ตน และผู้อื่นโดยส่วนเดียว เมื่อนั้นท่านจงละทิ้งธรรมเหล่านั้นเสีย

      และเมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ ประจักษ์ด้วยตนเองว่าธรรมทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นกุศล ดีงาม ไม่มีโทษ เป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข และความเจริญทั้งแก่ตน และผู้อื่นโดยส่วนเดียว เมื่อนั้นท่านจงยอมรับเอาและปฏิบัติตามธรรมเหล่านั้นเถิด


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

อิสรภาพที่แท้จริง

Autonomy อิสรภาพที่แท้จริง

A = Autonomy ทุกวันนี้เรากำลังแสวงหาและเรียกร้องอิสรภาพกันมาก เราอยากมีอิสรภาพทางความคิด อิสรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน อิสรภาพทางสังคมและอิสรภาพในการใช้ชีวิต เราพยายามเหลือเกินที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการที่ผูกมัดรัดรึงเราอยู่ เราไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นทาส หรือ ขี้ข้าของสิ่งไดๆ เราไม่ต้องการให้ใครมาจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือล้อมกรอบให้เรา เราต่างก็ต้องการที่ประกาศอิสรภาพความเป็นเอกราชในแบบที่เราต้องการ อยากทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ

 

การมีอิสรภาพที่จะทำอะไร ก็ได้ตามที่ใจต้องการ ยังไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง เพราะนั่นยังถือว่าเป็นทาสของความต้องการ ที่จะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด ความอยากและความต้องการ หมายถึงเรากำลังตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว โดยที่เราหลงคิดว่า นั่นคือ อิสรภาพที่แท้จริง หากว่าเราต้องการอิสรภาพที่แท้จริง สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือต้องตื่นอย่างเต็มที่ ตื่นจากความหลงใหล มัวเมาในสิ่งมอมเมาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ที่ชอบใจ การที่พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็น พุทโธ นั่นก็คือ ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระองค์ทรงเป็นผู้ความเป็นรู้ธรรมดาของธรรมชาติ ตามที่มันเป็นอยู่ ทรงเป็นผู้ตื่นจากความหลง ในกิเลส ตัณหา อุปาทาน ความใคร่ ความอยาก และความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง ทรงเป็นผู้เบิกบานด้วยจิตที่ปล่อยวาง เบา โปร่ง โล่ง สบาย มีอิสรภาพที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง

 

พระพุทธองค์ได้ทรงเคยตรัสถึงอิสรภาพและความเป็นทาสที่ถูกจองจำ ซึ่งขอเรียกว่า ตะรางดวงใจ ไว้ว่า "ยังมีคุกตะรางอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่งขังบุคคลไว้โดยคนทั้งหลายไม่ค่อยจะรู้จักกัน นั่นก็คือ ความติดอกติดใจหมกมุ่นพัวพันอยู่ในทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง และในบุตรภรรยา มันเป็นเครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยากเหลือเกิน มันเป็นตะรางดวงใจอย่างแท้จริง

 

คนที่มีอิสรภาพทางกายแต่ขาดอิสรภาพทางใจนั้นดูเหมือนจะน่าเดือดร้อนรำคาญกว่าผู้ขาดอิสรภาพทางกายเสียอีก โลกนี้คือคุกที่กว้างใหญ่ สัตว์ทั้งหลายผู้ที่มีใจเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังเบียดเบียนกัน ยื้อแย่งแข่งดีกันอยู่นั้น จะผิดอะไรกับไก่ในกรงซึ่งเขานำไปสู่ที่ฆ่า แต่ยังจิกตีกันอยู่ เพื่อยื้อแย่งข้าวเปลือกกันอยู่นั่นเอง ..."

 

ท่ามกลางโลกที่เจริญมั่งคั่งด้วยวัตถุและเทคโนโลยี่ อินเตอร์เนตในยุคปัจจุบันที่ดูเหมือนจะทำให้เรามีอิสรภาพที่ไร้พรมแดน ย่อโลกไว้ในฝ่ามือ รู้ข่าวสารทั่วโลกได้ฉับไว ต้องการอะไรที่ไหนเพียงแค่คลิกเข้าไป เราก็ได้ตามต้องการ ... แต่ทำใมความเดือดร้อน วุ่นวาย และปัญหาต่างๆของคนในโลกจึงไม่ยอมหมด นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ? วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ไม่อาจตอบโจทย์ข้อนี้ได้เลย อยากให้ผู้อ่านลองกลับไปทวนย่อหน้าก่อนนี้อีกครั้งที่เกี่ยวกับพุทธพจน์ ...

 

จะเห็นว่าจริงตามนั้นเลยว่า อิสรภาพที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับทางกายหรือโลกภายนอกเลย ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วิทยาศาสตร์ หรือ เทคโนโลยี่ไดๆเลย แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ จิตวิญญาณ อิสรภาพทางกายหรือโลกภายนอกจะหมดไปเมื่อไรก็ได้ การเมืองอาจพลิกผัน เศรษฐกิจอาจพังพินาศ วิทยาศาสตร์อาจตีบตันได้ เช่นเดียวกับน้ำค้างที่ต้องแสงแดดในยามเช้า สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากเรา อะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ใต้การบัญชาของเรา

 

เราไม่อาจเรียกมันว่าเป็นอิสรภาพที่แท้จริง อะไรก็ตามที่เราบังคับควบคุมมันไม่ได้ แล้วเราต้องทำตามมัน นั่นหมายถึงเรากำลังตกเป็นทาสของมัน และมันกำลังเป็นเจ้านายของเรา ที่จะสั่งบังคับบัญชาเราให้ทำอย่างไรก็ได้ตามใจของมัน อย่างเช่น นายคือความ โลภ โกรธ หลง ที่เรียกว่ากิเลสเหตุเศร้าหมองของจิต ซึ่งตามปกติของจิตใจเรา เมื่อไม่มีกิเลสรบกวนหรือครอบงำ ย่อมมีความผ่องใส สะอาด ว่าง สงบอยู่โดยธรรมชาติ เหมือนน้ำในอ่าง ที่ใสสะอาดอยู่ แต่เมื่อถูกความโกรธครอบงำ จิตย่อมกระวนกระวายเราร้อน อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนน้ำที่เต็มด้วยฝุ่นผง

 

เจ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ว่า จึงเป็นอริราชศัตรูต่อความสงบสุขของจิตใจ แทนที่จะให้เจ้าสามตัวนี้ครอบงำเป็นนายเรา เราลองมาเป็นนายครอบงำมันบ้าง เราต้องออกมาประกาศอิสรภาพ เอกราชจากพวกนี้เสียที และทุกครั้งที่เราเป็นนายควบคุมอารณ์เหล่านี้ได้เราจะภูมิใจในตัวเอง เราจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง การเอาชนะตนเองได้ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นชัยชนะที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนที่คิดว่าตนเอาชนะผู้อื่นได้ ด้วยยศ อำนาจ เงินทอง ข้าวของ บริวาร ตัวเลขในบัญชีธนาคาร ตำแหน่งทางการเมือง หรือหน้าตา ความสวยความงามเป็นต้น ที่แท้กลับเป็นผู้แพ้และเป็นทาสผู้น่าสงสารเสียยิ่งกว่า คือตกเป็นทาสของเจ้านายคือกิเลสที่ทารุณโหดร้ายยิ่งนัก

 

มีคำถามว่า เราจะปลดปล่อยความเป็นทาสจากเจ้ากิเลสนี้ได้อย่างไร? แล้วอะไรคือหัวใจของอิสรภาพที่แท้จริง? ผู้รู้ท่านได้บอกไว้ว่า อิสรภาพที่แท้จริง เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระจากอดีต จากอนาคต ปราศจากการผูกมัดกับเรื่องราวในอดีต ไม่ถูกอดีตลากไปข้างหลัง และไม่ถูกอนาคตฉุกกระชากลากถูไปข้างหน้า เป็นอิสระจากจินตนาการ จากความอยาก ความต้องการ อยากโน่น นี่ นั่น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันคือตัวลากให้เข้าไปในอนาคต

 

อดีตและอนาคตนั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วและยังมาไม่ถึง สิ่งที่อยู่กับเราตอนนี้คือปัจจุบัน ผู้ที่อยู่กับปัจจุบันจะไม่ยึดแบกอดีตและอนาคตไว้ เขาจะได้ลิ้มรสของอิสรภาพที่ไม่มีโซ่ตรวน โซ่ตรวนแห่งความทรงจำในอดีต โซ่ตรวนของความต้องการแห่งอนคต มันเป็นโซ่ตรวนที่ผูกชีวิตและจิตวิญญาณไว้ โดยไม่ปล่อยให้ได้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นชีวิตและอิสรภาพที่แท้จริงเลย

 

ปัจจุบันสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งปรากฏในภัทเทกรัตตสูตรว่า

 

"บุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งในปัจจุบันธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ผู้นั้นควรเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ความเพียรควรทำเสียแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะไม่มีใครรู้ความตายในวันพรุ่งนี้"

 

อดีตที่ผ่านมาไม่จะดีหรือไม่ดีก็ไม่ควรหวนคะนึงถึงมัน ปล่อยให้มันผ่านไปไม่ควรคิดให้เปลืองเวลา หรือคิดแก้ไขให้กลับคืนได้ ไม่ต้องบ่นเสียดาย หรือไม่น่าเลย จะทำให้จิตหดหู่ไปซัเปล่า จงเอาจิตมาจับที่ปัจจุบันดีกว่า แม้เรื่องของอนาคต ข้างหน้าก็อย่าไปโน้มน้าวเอามาครุ่นคิด ปรุงแต่งจิตสร้างวิมานในอากาส ฝันกลางวันลมๆแล้งๆ มันยังมาไม่ถึง มันไม่อาจคาดการณ์ได้เลย หากคิดไปก้รังแต่จะว้าวุ่นเปล่าประโยชน์ ให้พยายามตัดสิ่งที่ผ่านไป และอย่าไปคว้าสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จงจับอยู่กับปัจจุบัน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ล่องลอย รู้อยู่กับปัจจุบันขณะ รู้แล้วปล่อย รู้แล้ผละ รู้แล้วละ รู้แล้วาง ... ปล่อย , ผละ, ละ, วาง

 

ปล่อย อดีตที่ผ่านไปทั้งหมดอย่าเก็บมาคิด มาปรุง มาแต่งเติมเสริมต่อให้วุ่นวาย

 

ผละ จากอนาคต สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พรุ่งนี้ไม่มี อย่าไปคาดการณ์อะไรล่วงหน้ามันไม่แน่

 

ละ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นเราเป็นของเราไม่มีอะไรเป็นของเรา

 

วาง ความผูกมัด ยึดติดในอารมณ์สิ่งที่กระทบใจ ให้จิตจับอยู่กับปัจจุบัน เพียงแค่กำหนดรู้ด้วยสติที่สมบูรณ์เพียบพร้อม รู้เฉยๆ รู้แล้วปล่อย อย่าเข้าไปปรุงแต่งมันต่อ

 

เรื่องทั้งหมดทั้งมวลถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นสิ่งที่แยกได้ แต่พอไปยึดมั่นถือมั่นเข้า เริ่มรู้สึกว่าแยกไม่ได้ ขาดไม่ได้ ถึงกับประกาศออกมาว่า ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เพราะจิตคนเราส่วนมากคลุกคลีด้วย โลกียธรรม กามรส ถูกครอบงำด้วย ความสุข ความเพลิดเพลินจากสิ่งใด ก็หมายมั่นผูกพันกับสิ่งนั้น ไม่อยากปล่อยให้หลุดลอยไป คิดว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของมัน แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังเป็นเจ้าของเป็นนายของเรา

 

การจะมีอิสรภาพที่แท้จริง คือการดับเจ้าตัวความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น และการปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งต่างๆได้ ยิ่งยึดมั่นน้อยลงเท่าไร อิสรภาพก็มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอิสรภาพมากขึ้นเท่าไร ความสุขก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่เชื่อลองดูดิ ... .. .

 

HEALTH TODAY CODE

Enlightenment ตื่นรู้อยู่กับความจริง

HEALTH TODAY CODE รหัสแห่งการมีสุขภาพดีตัวที่ ๒ ที่จะได้มาถอดรหัสกันในวันนี้ คือตัว E เป็นอะไรที่มีกุญแจอยู่หลายดอกมาก และกุญแจแต่ละดอกที่ได้มา ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้สูงในการไขรหัสไปสู่การมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ แต่จะมีกุญแจเพียงดอกเดียวเท่านั้นที่เป็น Master Key กุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การเผยความจริงในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ เรามาร่วมกันหากุญแจดอกที่ว่านั้นกันเถอะ

 

E=Eating การกินอยู่

 

ชีวิตที่มีสุขภาพดีเริ่มต้นที่การกินอยู่เป็น การกินอยู่เป็นในชีวิตประจำวัน เช่นการกินอาหาร การใช้สอยและบริโภคสิ่งต่างๆ ตลอดถึงเทคโนโลยี่ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเรา เราต้องรู้และเข้าใจว่าเรากิน เราใช้เพื่ออะไร คุณค่าแท้และสาระมันอยู่ที่ตรงไหน กินอะไร กินทำใม กินอย่างอย่างไร อยู่เพื่ออะไร อยู่ทำใม แลอยู่อย่างไร เมื่อเราคิดถามและคิดตอบได้อย่างนี้ได้ก็จะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจในเป้าหมายชีวิตได้ดีขึ้น พอเรามีการกินอยู่ในชีวิตประจำวันเป็น มันก็คิดเป็นและไม่ตกเป็นทาสของความอยากกิน และอยากอยู่ ทำให้เกิดการอยู่อย่างอยาก กินด้วยความอยาก จะรู้ว่าเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ทุกวันนี้หลายคนต้องตายเพราะการกิน หรือบางคนนั้นก็กินจนตาย ที่คนเราต้องตายเพราะกินกันมาก ไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจนก็เพราะกินไม่เลือก กินไม่เป็น กินไม่ยั้ง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณาก่อนกิน ก่อนใช้ เพราะการกินนั้นทำให้โง่ก็ได้ ทำให้ฉลาดก็ได้ ทำให้สุขภาพแข็งแรงก็ได้ และทำให้ตายก็ได้ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังเรื่องการกินให้มาก กินให้เป็น จะทำให้เรามีการกินอยู่อย่างพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่ตะเกียกตะกายดิ้นรนขวนขวายใล่ตามกระแสความทะยานอยากจนเกินไปจนทำให้ลืมสาระการกินอยู่ที่แท้จริงของชีวิต

 

E= Environment สิ่งแวดล้อม

 

สุขภาพคนเราจะดีหรือจะเสีย จะแข็งแรงหรือจะเสื่อม ชีวิตคนเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ จะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำย่ำแย่ สิ่งแวดล้อมและสังคมนับว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่เหมาะที่ควร มีอากาศที่ดีสะอาดปลอดโปร่ง บรรยากาศที่ร่มรื่น ร่มเย็น ผู้คนในสังคมมีน้ำใจไมตรี มีมิตรภาพเอื้อาทรแบ่งปัน มีรักมีเมตตาต่อกัน คนที่อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ก็จะมีความสุข สุขทั้งกายสุขทั้งใจ สุขภาพก็จะดี แข็งแรง อายุยืน ปราศจากโรคภัยใข้เจ็บ ตรงข้ามกับสิ่งแวดล้อมที่แย่ๆ มีแต่มลภาวะที่เป็นพิษ รถติด น้ำเน่า สกปรกรกรุงรัง ผู้คนไร้มารยาท ขาดน้ำใจ ใช้แต่อารมณ์ กดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ ถามหน่อยเถอะว่า สิ่งแวดล้อมอย่างนี้มันจะน่าอยู่ไหม? หากเราเลือกได้เราควรจะหาสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณต่อชีวิตของเรา

 

คนจีนเขาบอกว่าต้องเลือกฮวงจุ้ยที่ดีถึงจะเป็นคุณต่อชีวิตและกิจการที่ทำ คนไทยบอกต้องรู้จักเลือกดูทำเล ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในมงคล ๓๘ ข้อที่ ๔ ว่า "ปฏิรูปเทสวาโส เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในประเทศ (สิ่งแวดล้อม) ที่สมควรเป็นมงคลอย่างยิ่ง" แม้แต่สิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าคน ก็ต้องเลือดคบเลือกดูให้ดีเช่นกัน คบคนดีชีวิตเราก็ไปดี คบคนไม่ดีมีแต่ลงเหวลงนรก ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนย้ำอยู่เสมอว่า "คบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น" "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" เราต้องรู้จักเลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี เลือกคบคนดีเป็นกัลยาณมิตร พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า "การได้พบกัลยาณมิตร นับเป็นทั้งหมดของการประพฤติพรหมจรรย์" การมีบัณฑิตเป็นสิ่งแวดล้อม จะทำให้เราได้รับสิ่งที่ดีมากมาย ที่สำคัญจะทำเรารู้จักผิดชอบชั่วดี อะไรคือบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ สิ่งแวดล้อมที่ดีจะให้สิ่งดีๆ แก่เราเอง

 

E=Emotion อารมณ์

 

ทุกคนนอกจากมีอายตนะภายนอกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ยังมีอายตนะภายในคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ทุกครั้งที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสีง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง จะต้องเกิดธรรมมารมณ์ หรือ อารมณ์ขึ้น Emotion ที่เรียกว่าอารมณ์มาจากคำสองคำในภาษาอักฤษรวมกัน คือ Energy + Motion หมายถึงการเคลื่อนที่ของพลังงาน ที่เกิดจากการกระทบทางกาย ผ่านมาทางประสาทรับความรู้สึกที่มือเท้า แล้วผ่านไปยังเซลล์ประสาทที่ส่วนหน้าของไขสันหลังซึ่งมีหน้าที่เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ แล้วสมองส่วนข้างในใกล้กับส่วนที่เป็นก้านสมองที่เรียกว่า Amygdala ก็จะรับความรู้สึกตอบสนองแล้วส่งสัญญาณไปสู่สมองที่สูงกว่า เหล่านี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เราจะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ แต่ที่เราต้องรู้ให้ได้ ไม่รู้ไม่ได้คือ อารมณ์ของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะว่ามีอาการอย่างไร ชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉยๆ มีอารมณ์สุข ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกขณะที่มีอะไรมากระทบจิต หากเราตามรู้ทันแล้วควบคุมมันได้เราก็จะไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ แต่หากเราไม่รู้เท่าทันมัน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงขับเคลื่อนของมัน ยอมปรนเปรอ ตอบสนองตามที่มันเสนออยู่ทุกครั้ง มันก็จะเป็นเจ้านายของเรา บังคับบัญชาให้เราทำตามที่มันต้องการอยู่ตลอด

 

อารมณ์ที่เราควบคุมไม่ได้และไม่รู้เท่าทันจะเป็นดุจนายผู้ทารุณ โหดร้าย แต่ตรงกันข้าม หากควบคุมได้และรู้เท่าทันเขาจะเป็นเยี่ยงสหายผู้รู้ใจเป็นดุจกัลญาณมิตร อารมณ์และความคิดเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้สุขหรือทุกข์ ให้ดีหรือร้าย ให้เป็นนางฟ้าผู้อารี หรือเป็นนางยักษ์ขมูขีที่น่ากลัวก็ได้ เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นมา หน้าที่เราต้องมีสติรู้ รู้ว่าใจของเราเป็นเช่นไร สุขหรือทุกข์ ถ้ามันทุกข์ก็ให้รู้ว่าอารมณ์ทำให้เกิดทุกข์ ต้องเปลี่ยนอารมณ์ทันทีที่สติรับรู้ การเปลี่ยนอารมณ์ที่ง่ายๆ คือหยุดความคิดนั้น หยุดด้วยกลับมาที่ลมหายใจ กลับมาอยู่กีบปัจจุบัน กลับมาอยู่กับพุทโธ หากมันจะคิดเรื่องที่ไม่ดี ก็ให้หยุดแล้วให้คิดแต่เรื่องที่ดี หากคิดจะโกรธคนอื่น ก็ให้หยุดแล้วเปลี่ยนมาคิดเมตตาแทน เปลี่ยนอารมณ์ร้ายให้เป็นอารมณ์ดี เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องดีๆ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค แทนที่ ด้วยความดี เช่น

 

- การตำหนิติเตียน เป็นแนะนำ

 

- โกรธ สมน้ำหน้า เป็นเมตตาสงสาร

 

- เหยียบย่ำซ้ำเติม เป็นเห็นใจช่วยเหลือ

 

- อิจฉาริษยา เป็นชื่นชมยินดี

 

- ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เป็นมีสติเยือกเย็น

 

- ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นรู้รัก สามัคคี

 

- จ้องจับผิด เป็นจ้องจับถูก

 

- เอาชนะกันเอง เป็นชนะร่วมกัน

 

- มองโลกในแง่ร้าย เป็นมองแต่ในแง่ดี

 

- กังวลสับสนวุ่นวาย เป็นสุขสงบเบาสบาย

 

อย่าปล่อยให้อารมณ์ขย่มหัวใจอขงเรา เราต้องเป็นจ้าวของอารมณ์ให้ได้

 

อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จงทำเหตุผลให้อยู่เหนืออารมณ์

 

อย่าปล่อยให้จิตใจเป็นทาสของอารมณ์ จงฝึกให้ให้อิสระจากอารมณ์ให้ได้

 

E = Enlightenment การตื่นรู้อยู่กับความจริง

 

ถามว่า "เจ้าปลาตัวน้อยที่แหวกว่ายในสายน้ำ จะรู้บ้างไหมหนอว่ามันอยู่ในน้ำ และโลกนี้ยังมีท้องฟ้าที่สดใส ไกลสุดสายตา ??? ถามว่า เจ้าหนอนตัวเล็กๆที่เกิดและตายในกองอาจม จะรู้บ้างไหมหนอว่ามันอยู่ในสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น และโลกนี้ยังมีดอกไม้ มีน้ำผึ้งที่หอมหวนหวานชื่นใจ ??? และถามต่อไปอีกว่า มนุษย์ผู้ประเสริฐ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ที่เกิดและตายอยู่บนโลกใบนี้ จะรู้บ้างไหมหนอว่าโลกนี้คับแคบและอึดอัดเพียงไร โลกนี้มันน่าอยู่จริงหรือไม่ และโลกที่แท้เป็นเช่นไร ทำใมเราต้องมีรัก เกลียด ยิ้ม และร้องให้ด้วย อยากได้ความสุข ต้องการหนีห่างจากความทุกข์ ???

 

"ถ้ารู้ว่าป่วยต้องกินยา ถ้ารู้ว่าเดินหลับตาให้ลืมตาเสีย ถ้ารู้ว่า ถ้ารู้ว่าหลงทาง ให้หาทางออก ถ้ารู้ว่าทุกข์ ก็ให้รีบออกจากทุกข์" การตื่นรู้อยู่กับความจริง ยอมรับในความจริง แล้วเข้าใจรู้แจ้งในความจริงของสิ่งต่างๆ จะทำให้เราไม่หลงใหล มัวเมา จมปลักอยู่กับมายาสิ่งลวง อยู่กับอารมณ์ที่มันเพียงจรเข้ามาแล้วก็ผ่านไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาของโลก แต่เราไม่รู้ถึงเหตุปัจจัย ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มุ่งแต่สนองความปรารถนาของตน เมื่อไม่เป็นไปตามนั้นก็เดือดร้อน นอนทุกข์ ทรมาน รำคาญใจ เพราะไม่รู้เท่าทันในความจริง

 

ความเป็นธรรมดาของโลก การมีสติปัญญา ตามหลักของพระพุทธศาสนาจะทำให้ตื่นรู้อยู่กับความจริงของชีวิต รู้เท่าทันสภาวะที่มากระทบต่อชีวิตในทุกปัจจุบันขณะ ทั้งทางกายและทางจิตใจเพื่อควบคุมให้จิตใจและร่างกายดำเนินไปตามวิถีแห่งปัญญา คือตื่นรู้อยู่กับความจริง พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่า ความเสื่อมทรัพย์ ญาติ ยศ ลาภ เป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อย แต่การเสื่อมปัญญานั้นเรื่องใหญ่ การได้ทรัพย์ ยศ ลาภ ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การได้ปัญญาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ถ้ามีปัญญาตื่นรู้อยู่กับความจริงแล้วทำให้ได้ความสุขที่ประณีต ความสุขที่ดี ถ้าเราต้องการมีสุขภาพที่ดี มีความสุขที่ดี ก็ต้องแสวงหาปัญญา อยู่กับปัญญา มองทุกอย่างด้วยปัญญาที่ตื่นรู้อยู่กับความจริง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

 

ไม่มีประโยชน์ที่จะถามว่า เราเกิดมาทำใม? โลกนี้น่าอยู่หรือไม่? โลกที่แท้จริงเป็นอย่างไร? เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เราเกิดมาแล้ว สิ่งที่ต้องต้องทำคือใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือ ปัญญา ตื่นรู้อยู่กับความจริง และความเป็นอยู่ที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง ...

จดหมายถึงพ่อ

อ่านคำบรรยายจดหมายถึงพ่อ หนูยังรอวันพ่อกลับบ้าน
กล้ามะละกอที่พ่อเคยหว่าน แยกปลูกไม่นาน ลูกโตน่าดู
* กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู
ทานตะวันชูคอชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา
แม่อธิบายที่พ่อไปทำงาน เพื่อเงินเพื่อบ้านและเพื่อลูกยา
จะมีบ้านโตมีรถโก้สง่า มีหน้ามีตาเหมือนดังใครๆ
พ่อไปคราวนี้แม้จะยาวนาน พวกเราทางบ้านเป็นกำลังใจ
แต่บางคืนแม่สะอื้นร้องไห้ หนูแกล้งทำหลับไปสงสารแม่จัง
ส่วนน้องหญิงยิ่งยามเย็นค่ำ อ้อนประจำเหตุผลไม่ฟัง
ไม่เอาบ้านโตไม่เอาทุกอย่าง จะเอาขี่หลังของพ่อคนเดียว
สุดท้ายนี้ขออวยพรให้พ่ออยู่แดนไกล หัวใจเด็ดเดี่ยว
ขอพระคุ้มครองยามใจห่อเหี่ยว ปกป้องแลเหลียวร่ำรวยกลับมา

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คำนิยาม3 คำ

วันนี้มีคำนิยาม3 คำ คือ "คู่รัก คู่ขา และคู่แต่ง" มาให้ อ่าน เผื่อจะเป็นข้อคิดเตือนใจ หรืออาจจะทำให้ หายเครียดได้บ้าง (ขำๆๆๆ นะ อย่าคิดอะไรมาก)

 

          คู่รัก : คอยคุณที่หน้าอำเภอ(แต่ง)

          คู่ขา : คอยคุณที่หน้าโรงแรม

          คู่แต่ง : คอยคุณที่หน้าอำเภอ(หย่า)

 

          คู่รัก : นัดเจอกันในงานเลี้ยง

          คู่ขา : นัดเจอกันหลังงานเลี้ยง

          คู่แต่ง : เธออยู่บ้าน ฉันจะไปงานเลี้ยง

 

          คู่รัก : เปิดหนังโรแมนติก ร้องไห้ด้วยกันตอนจบ

          คู่ขา : เปิดหนังเอ๊กซ์ ดูด้วยกันไม่ทันจบ

          คู่แต่ง : ซื้อทีวีรุ่นจอเดียว แยกได้สองช่อง

 

          คู่รัก : ไม่พยายามคิดเรื่องทะเลาะกัน

          คู่ขา : ไม่พยายามคิดเรื่องเป็นคู่กัน

          คู่แต่ง : พยายามคิดเรื่องเป็นโสด

 

          คู่รัก : สนใจทุกเรื่องร่วมกัน

          คู่ขา : สนใจเรื่องเดียวเหมือนกัน

          คู่แต่ง : สนใจเงินในบัญชีธนาคารร่วมกัน

 

          คู่รัก : โลกนี้เป็นของเราสองคน

          คู่ขา : เรื่องนี้รู้แค่เราสองคน

          คู่แต่ง : เรื่องทั้งโลกกลาย เป็นเรื่องระหว่างเราสองคนได้ทั้งนั้น รวมทั้งเรื่องของพ่อตาแม่ยาย และญาติสนิทมิตรสหาย

 

          คู่รัก : โทรศัพท์ถึงคุณเพื่อบอกว่า "รักเธอเหลือเกิน"

          คู่ขา : เซ็กซ์โฟน

          คู่แต่ง : โทรศัพท์มาเพื่อบอกว่า "กลับดึก ไม่ต้องคอย"

 

          คู่รัก : ทุกครั้งที่เขียนใส่สมุดบันทึก คือ บทกวีหวานกลั่นจากหัวใจ

          คู่ขา : ทุกครั้งที่เขียนใส่สมุดบันทึก คือ หมายเลขโทรศัพท์คู่ขาคนใหม่

          คู่แต่ง : ทุกครั้งที่เขียน คือ เช็คส่วนบุคคล และบันทึกค่าใช้จ่าย

 

          คู่รัก : ตาสบกันริมถนน

          คู่ขา : ลิ้นพันกันบนโซฟา

          คู่แต่ง : หลังชนกันบนเตียง

 

          คู่รัก : แสดงความอาทรให้เขาสังเกต

          คู่ขา : แสดงอาการเมื่อโดนสะกิด

          คู่แต่ง : แสดงอารมณ์โดยไม่สะกด

 

          คู่รัก : กล่าวคำอำลาว่า "รักเธอ"

          คู่ขา : กล่าวคำอำลาว่า "อย่าลืมกินยาคุม"

          คู่แต่ง : กล่าวคำอำลาว่า "ซักผ้าด้วย"

 

          คู่รัก : เรียกคุณว่า ที่รักด้วยเสียงอ่อนหวาน

          คู่ขา : เรียกคุณว่า ที่รักด้วยเสียงกระเส่า

          คู่แต่ง : เรียกคุณว่า ที่รัก ชงกาแฟแก้ว

 

          คู่รัก : สนใจขนาดนิ้วสวมแหวน

          คู่ขา : สนใจขนาดยกทรง

          คู่แต่ง : สนใจรอยลิปสติกที่ปกเสื้อ

 

          คู่รัก : เมื่อคุณเล่าเรื่องตลก เขาตั้งใจฟัง และขำกลิ้ง

          คู่ขา : เมื่อคุณเล่าเรื่องตลก เขาบอกว่าหยุดเถอะ วันนี้ต้องทำเวลา

          คู่แต่ง : เมื่อคุณเล่าเรื่องตลก เขาให้คุณช่วยอธิบายอีกห้านาที พยักหน้าเข้าใจ และก้มหน้าอ่าน หนังสือพิมพ์ต่อ

 

          คู่รัก : เมื่อคุณอยากทำอะไรสักอย่างทาน เธอจะเข้ามาช่วยคุณอย่างกุลีกุจอ

          คู่ขา : เมื่อคุณอยากทำอะไรสักอย่างทาน เธอจะเข้ามาทำอะไรสักอย่าง จนคุณไม่อยากจะทำอาหารต่อ

          คู่แต่ง : เมื่อคุณอยากทำอะไรสักอย่างทาน เธอจะขอให้คุณเผื่อเธออีกจาน