วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เงากระบี่ใต้อักษร (บทที่ 11)




:..... บทที่ 11

ม่อย้งเพ็กเหล็งไต่ถามหลวงจีนภายในวัดจึงทราบว่า หลังจากที่ท่านโยชิดื่มยาแล้วก็นอนหลับอยู่ในกุฏิของบ้อเอี้ยไต้ซือ ส่วนปึงเพียวเซาะหลังต้มยาเสร็จก็เดินไปหน้าอาราม ม่อย้งเพ็กเหล็งจึงติดตามไปยังประตูใหญ่ด้านหน้าทันที โดยมี โยชิโอกะ ริวจิเดินตามนางออกมาติดๆ

ทั้งสองพบประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงกำลังนั่งดื่มเหล้าเพียงคนเดียวอยู่ที่เชิงบันไดนอกอาราม

ม่อย้งเพ็กเหล็งต้องถอนหายใจเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า “พี่เพียวเซาะ ท่านไม่อาจอดใจได้ต้องออกมานั่งดื่มที่นอกอารามเชียวหรือ...ท่านไปหาสุรามาจากไหน”

ปึงเพียวเซาะยิ้มแย้มพลางชี้มือไปที่รถม้าคันที่จอดรอคนทั้งสี่ “เจ้าของรถม้าคันนั้นนับเป็นปีศาจสุราผู้หนึ่งจริงๆ เมื่อตอนหัวหน้าฮวงกลับไปกับรถม้าอีกคันมันก็ทราบว่าต้องรอพวกเราอยู่ที่นี่โดยไม่มีกำหนด มันไม่อาจขาดสุราได้จึงขับรถย้อนกลับไปร้านน้ำชาเชิงเขาซื้อสุราชั้นดีมาหลายไห คุณชายริวจิสงสัยว่าค่าจ้างที่ท่านให้มันต้องหมดรวดเร็วยิ่ง”

ริวจิหัวเราะลั่น “สารถีดีเช่นนี้ ข้าพเจ้าจะเพิ่มค่าจ้างให้กับมันอีกสามเท่า”

ปึงเพียวเซาะยกหัวแม่มือชมเฉยริวจิแล้วดื่มอีกอึกใหญ่

กงจื้อแห่งหมู่ตึกบูรพาเดินไปนั่งด้านข้างกล่าวถามว่า “ไฉนท่านไม่คิดเชื้อเชิญเราสองคนบ้าง?”

ปึงเพียวเซาะทำหน้าเหลอคล้ายพึ่งฉุกคิดได้ “เชิญพวกเจ้าทั้งสอง...ต้องขออภัยน้อยครั้งที่จะมีคนร่วมดื่มกับข้า”

ริวจิเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เหตุใดน้อยครั้งที่ท่านจะดื่มกับผู้อื่น?”

ปึงเพียวเซาะมองไหสุราในมือกล่าวต่อ “เพราะข้าชมชอบการดื่มคนเดียวจนเคยชิน ยามดื่มคนเดียวจึงสามารถเมามายได้เต็มที่ ทั้งเมื่อเมามายย่อมไม่เดือดร้อนผู้ใด”

ริวจิจ้องบุรุษตรงหน้าเนิ่นนานก่อนกล่าว “เป็นเช่นนั้น...แต่ข้าพเจ้าคิดว่าท่านไม่ได้ชมชอบการดื่มคนเดียวหรอก...ท่านกลัว...หากวันนี้มีคนร่วมดื่มกับท่าน แต่หากรุ่งขึ้นไม่มีผู้ใดร่วมดื่มด้วย ยามนั้นท่านคงรู้สึกเดียวดาย คิดถึงยามมีผู้ร่วมดื่มด้วย เหตุนี้ท่านจึงมิยินยอมร่วมดื่มกับผู้ใด เมื่อไม่เคยร่วมดื่มกับผู้ใดยามเมื่อต้องดื่มผู้เดียวย่อมไม่รู้สึกเดียวดาย”

ปึงเพียวเซาะหัวเราะลั่น “ผู้สามารถดื่มสุราด้วยกันได้ นับเป็นสหายรู้ใจ”

ริวจิยกไหสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ “ท่านตัดสินสหายเพียงแค่การดื่มสุรา ระวังจะเสียใจภายหลังนะ”

ปึงเพียวเซาะเหม่อมองที่ข้างหน้าก่อนจะหันมากล่าวกับบุรุษหนุ่ม “ผู้ที่ข้ายินดีร่วมดื่มด้วยนับว่ามีไม่กี่คน บางคนแม้ร่วมโต๊ะกันแต่ยังไม่อาจนับว่าร่วมดื่มด้วยกันได้ เฉกเช่นสหายใช่ต้องคบหากันนานปีจึงเป็นสหายรู้ใจ เพียงชั่วเวลาจิบเหล้าหนึ่งจอก กลับพบพานผู้รู้ใจ”

ทั้งคู่ยกไหสุราขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ ม่อย้งเพ็กเหล็งมองบุรุษทั้งสองสลับไปมาพลางทอดถอนใจ ได้แต่ส่ายหน้าให้กับปีศาจสุราทั้งสอง

ริวจิทำหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ไม่เพียงหนึ่งจอก ข้าพเจ้ามั่นใจไม่เคยดื่มแพ้ผู้ใดมาก่อน”

ปึงเพียวเซาะรู้สึกถูกชะตากับบุรุษผู้นี้อย่างยิ่งจริงๆ อาจเป็นเพราะโยชิโอกะ ริวจิ คิดอย่างไรก็กล่าวอย่างนั้น ทั้งยังมีน้ำใจต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้งจอมปลอมเช่นชาวยุทธส่วนมากที่ตนรู้จัก

ริวจิถามโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “คุณชายปึงท่านคิดว่าผู้ใดจะเป็นอันดับหนึ่งในการประลอง?”

ปึงเพียวเซาะแทบจะสำลักสุรา มองบุรุษหนุ่มด้วยความขบขัน “ข้าเป็นแค่ขี้เมาอันดับหนึ่งคงไม่สามารถบอกได้ผู้ใดสมควรเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่ง”

ม่อย้งเพ็กเหล็งแทรกขึ้น “ตามความเห็นของข้าผู้มีโอกาสชนะก็มี ท่านโยชิ เซียนแพทย์ไร้ใจลิ้มปวยฮวย ซินแสลิขิตฟ้าเต็งพู้ย้ง ศิษย์พี่แป็ะเฮาะ...อ้อ...ต้องรวมจอมโจรเสเพลเซียวเซียนด้วยทั้งห้ามีฝีมือใกล้เคียงกันมาก ไม่อาจบอกได้ว่าผู้ใดควรเป็นผู้ชนะ...”

ริวจิชำเลืองตามองปึงเพียวเซาะแล้วกล่าว “แต่ไม่แน่ผู้ชนะอาจไม่ใช่ทั้งห้าคนนี้ก็เป็นได้”

ปึงเพียวเซาะย้อนถามด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นเป็นผู้ใด..”

ริวจิดื่มอีกอึกใหญ่จ้องปึงเพียวเซาะเขม็ง “เป็นท่าน...”

ปึงเพียวเซาะรินเหล้าอย่างอารมณ์ดี “ข้าไม่อาจเทียบกับยอดฝีมือเหล่านั้นได้หรอก...นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านคิดไม่ถึง”

ริวจิทำหน้าสงสัย “สิ่งใด?”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงยกไหสุราขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง “การได้เป็นขี้เมาอันดับหนึ่งยังมีความสุขมากกว่าได้เป็นจอมยุทธอันดับหนึ่งมากนัก”

ม่อย้งเพ็กเหล็งต้องทำหน้าสงสัยบ้าง “เพราะเหตุใด?”

ปึงเพียวเซาะหัวเราะกล่าว “เพราะคนที่เป็นขี้เมาเมื่อดื่มเหล้าจนเมามาย ไหนเลยจะมีใครกล้าว่ากล่าว การได้ดื่มอย่างเต็มที่นับเป็นความสุขอย่างยิ่งจริงๆ”

ริวจิมองหน้าม่อย้งเพ็กเหล็งแล้วหันมามองปึงเพียวเซาะ ม่อย้งเพ็กเหล็งก็มองหน้าปีศาจสุราทั้งสอง สลับไปมา คนทั้งสามต่างมองหน้ากันไปมาแล้วหัวเราะขึ้นเสียงดังลั่น ต่างคนต่างรู้สึกออกรสออกชาดกับการสนทนายิ่ง

ปึงเพียวเซาะถอนหายใจเฮือกใหญ่กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าผู้มีสิทธิ์ชนะการประลองมีอยู่ห้าคน แต่ข้าคิดว่าเจ้าลืมไปหนึ่งคน”

ม่อย้งเพ็กเหล็งและริวจิกล่าวขึ้นพร้อมกัน “เป็นผู้ใด?”

ปึงเพียวเซาะไม่ตอบคำมองม่อย้งเพ็กเหล็งกลับคล้ายไต่ถาม

ม่อย้งเพ็กเหล็งฉุกคิดขึ้นกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ไม่น่าเป็นไปได้...ข้ามิได้ลืม แต่ไม่คิดว่านางจะสามารถฝึกปรือจนมีฝีมือเท่าเทียมกับคุณหนูใหญ่ได้”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงวางไหสุราลงข้างกายน้ำเสียงหดหู่ยิ่ง “...เมื่อสิบปีที่แล้วตอนที่ข้าพ่ายแพ้คุณหนูใหญ่นางก็มีอายุเท่ากับคุณหนูรองในเวลานี้”

โยชิโอกะ ริวจิ ฉงนฉงายยิ่ง “การประลองครั้งก่อนท่านพ่ายแพ้คุณหนูใหญ่ เซียวกัวเซียนนึ้ง ?”

“ใช่...”

ริวจิยังคิดไต่ถามอีกหลายประโยค แต่ม่อย้งเพ็กเหล็งสะกิดแขนริวจิมิให้ไต่ถามสิ่งใดต่อ ริวจิมองปึงเพียวเซาะยกไหสุราขึ้นดื่มไม่หยุดอีกครั้ง มันรู้สึกฉงนใจยิ่งนัก ‘หรือคุณชายปึงก็หมายปองคุณหนูใหญ่?’

ริวจินิ่งครุ่นคิดแล้วพยักหน้าช้าๆ หันไปเห็นใบหน้าหม่นหมองของม่อย้งเพ็กเหล็ง คาดว่าพอพูดถึงการประลอง นางคงคิดถึงเรื่องของศิษย์พี่ขึ้นมาอีก “เฮ้อ..ยิ่งคิดยิ่งสงสารจอมยุทธอี้ หมู่ตึกอะไรก็ไม่รู้ดันตั้งกฎไร้สาระแบบนี้ออกมาได้”

ปึงเพียวเซาะหันไปมองม่อย้งเพ็กเหล็งก็ทราบว่านางเล่าเรื่องนี้ให้ริวจิฟังแล้ว ซึ่งความจริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอันใดเมื่อสิบปีก่อนทุกคนล้วนทราบดี

ม่อย้งเพ็กเหล็งกล่าวอย่างหดหู่ “จอมยุทธผู้มีฝีมือล้ำเลิศส่วนมากล้วนเป็นเช่นศิษย์พี่”

ริวจิถามอย่างสงสัย “เป็นเช่นไร...”

ม่อย้งเพ็กเหล็งถอนหายใจกล่าว “จอมยุทธผู้มีฝีมือล้ำเลิศล้วนมีความรักที่งมงาย ฝีมือยิ่งล้ำเลิศ ยิ่งมีความรักที่งมงาย”

ปึงเพียวเซาะยิ้มหดหู่ “เจ้าอาจพูดถูก...แต่สำหรับท่านผู้นั้นคงเป็นข้อยกเว้น” กล่าวแล้วหันไปทางประตูทางเข้าอาราม

เงาร่างคนผู้หนึ่งเดินผ่านความมืดตรงมาทางคนทั้งสอง ร่างตั้งตรงประดุจภูผาแกร่ง ใบหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ยังดูดุจศิลาแลง แต่มีแววอ่อนระโหยอยู่ไม่น้อย ยิ่งเดินยิ่งง้อนแง้นโคลงเคลง

ริวจิผุดลุกขึ้นโผเข้าไปพยุง “ท่านโยชิ...ท่านเดินได้แล้ว”

โยชิพยักหน้าน้อยๆ พยายามร่างทรงกายให้มั่น “ข้าพเจ้าอาการดีขึ้นบ้างแล้ว”

ริวจิหันมองม่อย้งเพ็กเหล็งด้วยความสำนึกตื้นตัน “บ้อเอี้ยไต้ซือสมเป็นศิษย์จอมแพทย์การุณจริงๆ!”

บุรษเหล็กเดินเข้าไปหาม่อย้งเพ็กเหล็ง “ท่านไต้ซือเล่าเรื่องราวให้ข้าพเจ้าฟังหมดแล้ว...ข้าพเจ้ามีเรื่องคิดกล่าวกับแม่นางม่อย้ง”

ดรุณีโฉมงามขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือท่านคิดปฏิเสธที่จะให้ข้าช่วยเหลือ”

บุรุษเหล็กกล่าวเสียงระโหย แต่ยังเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ...ข้าพเจ้าจำต้องมีชีวิตสืบต่อไป...ขอให้เจ้าจำไว้...ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมว่าได้ติดค้างท่านไต้ซือกับเจ้า”

ปึงเพียวเซาะกล่าวชักชวน “ท่านโยชิหากท่านไม่รังเกียจเชิญดื่มกับเราสิ”

ริวจิรีบห้ามปราม “ท่านโยชิยังไม่หายดีไหนเลยดื่มสุราได้”

เสียงการุณย์ดังมาจากทางประตู “สุราสอง สามจอกกลับบำรุงร่างกายยิ่งกว่าดีหมี โสมมนุษย์”

ทั้งสี่หันไปมองทางที่มาของเสียง แต่เจ้าของเสียงได้ปิดประตูเดินกลับเข้าไปยังภายในอารามแล้ว

โยชิชั่งใจครู่นึง “ปกติข้าพเจ้าดื่มสุราได้ไม่มากนัก คงดื่มกับท่านได้เพียงครู่เดียว” หยิบจอกเหล้ามาดื่ม

ปึงเพียวเซาะเห็นกิริยาดื่มสุราของอีกฝ่ายก็ได้แต่ส่ายหน้า “สุรารสเลิศ แต่น่าเสียดาย น่าเสียดาย...”

ริวจิกล่าว “ในเมื่อมีสุรารสเลิศใยถึงน่าเสียดาย”

ปึงเพียวเซาะก้มหน้าก้มตาดื่มสุราในไหของตน “สุรารสเลิศ แต่ผู้ที่ดื่มกลับมิได้ใยดีในรสชาดของมัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าสุราจะมีรสเลิศแค่ไหนกลับไม่ต่างจากน้ำจอกหนึ่ง”

ม่อย้งเพ็กเหล็งกล่าว “บางทีสุราจอกนี้อาจรสชาดไม่ดีพอก็ได้ ข้าจะไปสั่งให้คนขับรถไปจัดหาสุราที่ดีกว่านี้ มาให้นะ”

โยชิวางจอกสุราลง “อย่าลำบากเลย...อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ สำหรับข้าพเจ้าไม่ว่าสุราชนิดใดล้วนไม่ต่างกัน จะดื่มหนึ่งจอกหรือหนึ่งไห เมื่อเมามายก็ไม่ต่างกัน” แววตาอิดโรยเหม่อมองไปเบื้องหน้าไม่กล่าวสิ่งใดอีก

ริวจิเข้าใจกิริยาอาการเช่นนี้ของท่านโยชิดี สิบปีแล้วท่านโยชิยังไม่สามารถลืมเลือนนางได้...

ปึงเพียวเซาะสังเกตกิริยาอาการคนทั้งสองผิดแปลกไปจึงไต่ถาม “คล้ายพวกท่านมีความในใจใด”

ริวจิทำท่าจะปฏิเสธแต่โยชิกลับชิงกล่าวขึ้น

“ข้าพเจ้าคิดถึงสหายผู้หนึ่ง”

ม่อย้งเพ็กเหล็งสนใจอย่างยิ่งรีบถามขึ้น “ต้องเป็นสหายสนิทยิ่ง?”

“ใช่...เราเติบโตมาด้วยกัน นางคอยดูแลข้าพเจ้ามาตลอดจนวันสุดท้ายที่เราพบกัน”

ม่อย้งเพ็กเหล็งไต่ถามต่อ “ท่านจากนางมา...”

“มิได้เป็นนางที่จากข้าพเจ้าไป...”

ม่อย้งเพ็กเหล็งขมวดคิ้ว “นางดูแลท่านมาตลอด เหตุใดต้องจากท่านไป เป็นเพราะท่านสนใจผู้อื่นมากกว่านางแน่นอน ผู้ชายมักเป็นเช่นนี้”

ริวจิสะกิดแขนม่อย้งเพ็กเหล็งห้ามปรามมิให้นางไต่ถามอีก แต่ม่อย้งเพ็กเหล็งกลับสะบัดแขนมิใส่ใจ

ยิ่งกล่าวใบหน้าที่เคยแข็งแกร่งยิ่งหม่นหมองไร้ราศี “ใช่ข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้น”

ม่อย้งเพ็กเหล็งยังไต่ถามอีก “อย่างนั้นสมควรที่นางจากท่านไป”

“ไม่ควร! ไม่สมควรอย่างยิ่ง!” โยชิคว้าไหสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของคนรอบข้าง

“ในเมื่อท่านดีกับผู้อื่นมากกว่านางเมื่อนางจากท่านไปทำไมถึงไม่สมควร?”

ริวจิดึงแขนนางถลึงตาใส่ หน้าตาเคร่งเครียด ไม่พยายามห้ามมิได้ดรุณีช่างสงสัยสะกิดบาดแผลของท่านโยชิมากไปกว่านี้

โยชิกล่าวคล้ายรำพึงกับตนเอง “เพราะแม้ข้าพเจ้าจะชมชอบผู้อื่นมากกว่านาง นางยังดีกับข้าพเจ้า กระทั่งยอมตายเพื่อช่วยชีวิตข้าพเจ้า ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง!”

คนทั้งสามเห็นสภาพของบุรุษเหล็กที่เคยสร้างความระย่อให้ยุทธภพกลับกลายเป็นเช่นนี้ ต่างลอบทอดถอนหายใจอย่างหดหู่


จาก : bigpigdaddy - 09/10/2001 18:14
....


:..... ม่อย้งเพ็กเหล็งเริ่มสำนึกว่าตนมิควรถามเรื่องผู้อื่นให้มากความจริงๆ “ผู้อื่นไม่ควรตั้งฉายาท่านว่าไร้รัก ความจริงท่านไม่ใช่ไร้รัก ท่านมีความรักทั้งยังเป็นความรักที่งมงายยิ่ง บุรุษมักมีความรักที่งมงาย”

นาคามูระ โยชิ กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “เป็นดาบของข้าพเจ้าที่ไร้รัก ข้าพเจ้าเป็นเพียงบุรุษธรรมดาผู้หนึ่ง”

สุ่มเสียงการุณย์ดังขึ้นจากประตูหน้าอารามเบื้องหลังคนทั้งสี่อีกครั้ง

บ้อเอี้ยไต้ซือกล่าวขึ้น “สุราสาม สี่จอกย่อมดีต่อสุขภาพ แต่มากเกินไปอาจทำลายร่างกาย ท่านโยชิเชิญที่กุฏิอาตมา”

คนทั้งสี่รีบลุกขึ้นเดินตามบ้อเอี้ยไต้ซือเข้าไปยังภายในอาราม บ้อเอี้ยไต้ซือให้ นาคามูระ โยชิ กับ ม่อย้งเพ็กเหล็ง เข้าไปรอตนในกุฏิก่อน แล้วจึงเรียกปึงเพียวเซาะ มาสั่งความกำชับอีกครั้ง

“เจ้าคอยระวังอย่าให้ใครเข้ามารบกวนอาตมาได้”

ประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงรับคำ ทั้งยังหันไปพยักหน้าสร้างความมั่นใจกับ โยชิโอกะ ริวจิ ให้คลายความกระวนกระวายลง ก่อนจะหันกายไปหาที่เหมาะๆนั่งรอที่ด้านหน้ากุฏิหลังน้อย แต่ยังไม่ทันจะได้นั่งลงประตูกุฏิก็เปิดออกอีกครั้ง สีหน้าบ้อเอี้ยไต้ซือที่มองมายังบุรุษหนุ่มมีแววกังวลใจแฝงอยู่

บ้อเอี้ยไต้ซือเดินตรงไปหาประมุขหมู่ตึกตระกูลปึง “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องเฝ้าอยู่ที่นี่จนกว่าอาตมาจะออกมา...”

ปึงเพียวเซาะเอะใจสงสัย “มีเรื่องใดหรือท่านไต้ซือ?”

“...ไม่มีใด...” บ้อเอี้ยไต้ซือส่ายหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปในกุฏิ

ริวจิก็สงสัยท่าทางของบ้อเอี้ยไต้ซือเช่นกัน “ท่านไต้ซือมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือ”

บุรุษหนุ่มดูออกว่าท่านไต้ซือต้องมีเรื่องใดเป็นกังวลแน่ แต่ในเมื่อท่านไต้ซือไม่บอกออกมา ตนก็ไม่ควรไปสร้างความกังวลให้ผู้อื่นต่อ “เปล่าหรอก...ท่านเพียงมากำชับให้เฝ้าระวังให้ดี”

ริวจิพยักหน้า ทรุดลงนั่งกับแคร่หน้ากุฏิอย่างอ่อนแรง มันเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยังไม่ได้หลับนอนตั้งแต่เมื่อคืน มิหน่ำซ้ำตลอดทั้งวันนี้ยังเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เวลานี้แทบจะประคองตัวให้ตื่นต่อไปไม่ไหวแล้ว

“ท่านไปนอนพักผ่อนก่อน ข้าจะเฝ้าให้เอง”

ริวจิคิดจะกล่าวปฏิเสธแต่เมื่อเห็นแววตาห่วงใยกังวลของสหายผู้ซึ่งเพิ่งรู้จักกันได้เพียงวันเดียว แต่ในเวลานี้ตนกลับถือประมุขหมู่ตึกตระกูลปึงเป็นเช่นสหายสนิทที่คบหากันนานปี คนเช่นมันไม่เคยทำให้สหายต้องลำบากใจมาก่อน ทั้งทราบสภาพของตนตอนนี้ดีจึงฝืนยิ้ม พยักหน้าเข้าใจเจตนาของบรุษหนุ่ม แล้วลุกเดินกลับเข้าไปยังกุฏิซึ่งไต้ซือจัดให้เป็นเรือนนอนของตน

ระหว่างทางนั้นยังต้องผ่านกุฏิหลายหลัง อารามนี้มีบริเวณกว้างขวางกุฏิแต่ละหลังจึงห่างกันไม่น้อย กุฏิน้อยหลังหนึ่งยังมีแสงเทียนอยู่ ริวจิคาดว่าคงเป็นไต้ซือคร่ำเคร่งกำลังศึกษาพระปิฏกในใจให้นึกเลื่อมใสนัก แต่ฉับพลันนั้น! เท้าของริวจิกลับต้องชะงักลง เนื่องเพราะเงาที่สะท้อนแสงเทียนที่อยู่ภายในห้องกลับไม่ใช่ เงาของภิกษุไต้ซือ! เงาร่างที่ตนเห็นกลับเป็นเงาร่างของสตรี!

มันไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน ผู้ที่ได้ฉายากงจื้อเจ้าสำราญไหนเลยแยกเงาของบุรุษสตรีไม่ออก เงาสตรีร่างนั้นสัดส่วนอ้อนแอ่น ชวนวาบหวาบ เงาร่างนั้นเยื้องกายไปที่เตียงนอนแล้วล้มตัวลงบนเตียงนั่น มันเห็นเงาร่างอีกหนึ่งเงานั่นเป็นเงาของไต้ซือรูปหนึ่ง ท่านเดินไปที่เตียงเช่นกัน!

ริวจิไม่อาจดูต่อไปได้มันได้แต่หลบเลี่ยงเดินต่อไปยังกุฏิที่พักของตน มิคาดบ้อเอี้ยไต้ซือสำรวมถึงเพียงนี้ กลับมีศิษย์กระทำเรื่องราวเช่นนี้ได้ มันไม่ทราบควรบอกเรื่องนี้ต่อบ้อเอี้ยไต้ซือดีหรือไม่ นี่ความจริงเป็นเรื่องส่วนตัวของไต้ซือรูปนั้น หากท่านยังประพฤติเช่นนี้สักวันต้องมีผู้พบเห็นแน่นอน มันไม่จำเป็นต้องยื่นมือยุ่งเกี่ยวหรอก อีกทั้งบ้อเอี้ยไต้ซือยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตท่านโยชิ มันไม่ต้องการสร้างความหนักใจให้กับท่านในเวลาเช่นนี้อีก ดังนั้นจึงตัดสินใจปิดเรื่องนี้เป็นความลับ...

เมื่อใกล้ถึงอารามที่พักฝีเท้าของมันต้องชะงักลงอีกครั้ง เพราะท่วงทำนองเพลงแผ่วผิว เยือกเย็นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งป่าอันเงียบสงัด มันต้องรำพึงกับตนเองอย่างสะท้านใจ “เป็นผู้ใดกัน...”

ปึงเพียวเซาะนั่งเอกเขนกอยู่ที่แคร่ยาวนอกกุฏิ หลวงจีนน้อยรูปหนึ่งยกน้ำชาป้านหนึ่งพร้อมอาหารเจอีกจานมาให้ มันจึงค่อยสำนึกดึกดื่นป่านนี้แล้วมันยังมิได้มีสิ่งใดตกถึงท้องเลย ปกติภิกษุไม่ฉันมื้อเย็นแต่เวลานี้กลับต้องจัดหาอาหารเจให้กับตนนับว่าสร้างความลำบากให้เหล่าไต้ซือจริงๆ หลังจากขอบคุณหลวงจีนน้อยอย่างเกรงใจอยู่หลายคำ ก็ยึดแคร่นั้นเป็นที่นั่งทานอาหารเจ นึกเสียดายอยู่บ้างที่ในบริเวณอารามไม่อาจดื่มสุราได้ เมื่อความคิดนี้แล่นเข้าในสมองมันถึงกับเขกศรีษะตนเองดังโป๊ก ปึงเพียวเซาะหนอ...ปึงเพียวเซาะที่นี่เป็นพุทธสถานเจ้ายังคิดเช่นนี้อีก เหลียวมองไปรอบกายเห็นเพียงแสงโคมรำไรที่แขวนไว้ที่หน้ากุฏิแต่ละหลังวูบไหวไปมา ภายในกุฏิบางหลังยังมีแสงเทียนเล็ดรอดออกมา สถานที่เงียบเหงาเช่นนี้ พี่ม่อย้ง...ไม่ใช่สิ...บ้อเอี้ยไต้ซือไฉนสามารถอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้ถึงสิบปี ตนไม่คิดจริงๆว่าบุรุษเจ้าสำราญที่สุดในสี่กงจื้อจะสามารถบำเพ็ญเพียรอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในป่าเขาได้ถึงสิบปี!

ตนยังจำได้...ในวันที่ทราบข่าวการตายของพี่ซาเทียนกับคุณหนูใหญ่นั้น ท่านไต้ซือแทบจะสึกออกเสียทั้งที่พึ่งบวชได้เพียงสิบวัน แต่ท่านไต้ซือก็สามารถผ่านช่วงเวลานั้นมาจนได้ถึงสิบปี ช่วงเวลาสิบปีนี้ของท่านย่อมต้องยากลำบากกว่าตนมากมายหลายเท่า ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยพลันกระแสเสียงที่คุ้นเคยยิ่งดังก้องกังวานขึ้นในราวป่าเบื้องล่างอารามบ้อเมี่ย ปึงเพียวเซาะตัวแข็งทื่อ ลุกขึ้นรวบรวมความกล้าทั้งหมดโผร่างออกไปนอกอารามตรงไปยังแหล่งกำเนิดของเสียงที่ได้ยินทันที!

ชายป่าไม่ห่างจากเชิงอารามโดดเดี่ยวกลางป่าเขา ยามค่ำคืนเพียงนี้แม้เสียงจักจั่นยังเงียบเสียงลง แต่วันนี้เป็นวันแปลกประหลาดอย่างยิ่งเสียงหนึ่งกลับดังแผ่วเบาหวีดหวิว ล่องลอยตามสายลมวนเวียนอยู่รอบบริเวณป่า สตรีสองคนในชุดเสื้อคลุมปกปิดร่างกายจนไม่ทราบรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงเป็นอย่างไร

สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน “อารามบ้อเมี่ยอยู่ข้างหน้าแล้ว เหตุใดท่านพี่ยังไม่เข้าไป”

สตรีผู้ผิวใบไม้ยิ้มแย้มเยือกเย็น “มีแขกอย่างเรามาเยี่ยมเยือนผู้เป็นเจ้าบ้านอาจลำบากใจได้ทั้งยังอาจทำความรำคาญให้แขกคนอื่นๆของเจ้าบ้านอีกด้วย หรือเหตุผลนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ”

สตรีคนแรกพึมพำ “ที่แท้พี่เม้งจูเกรงว่าจะต้องเจอกับคุณชายปึง”

เซี่ยงกัวเม้งจูหันมามองน้องสาวตนเอง ดวงตาประหนึ่งคมกระบี่ เซี่ยงกัวบ่อซวงรีบหลบสายตาทันที “เมื่อมาถึงใยต้องรีบร้อนอารามบ้อเมี่ยไม่เคลื่อนย้ายหายไปไหนหรอก...”

เซี่ยงกัวเม้งจูหยิบใบไม้มาใบหนึ่ง แล้วผิวใบไม้อย่างแผ่วเบา แต่เสียงที่เกิดขึ้นกลับดังกังวานไม่ยิ่งหย่อนไปอย่างเสียงขลุ่ยที่ดังเมื่อค่ำก่อนเลย และขณะนี้เสียงขลุ่ยนั้นกลับดังขึ้นมาอีก!

เสียงผิวใบไม้ผสานเสียงขลุ่ยตอบโต้กันไปมา เสียงขลุ่ยได้เคลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะ บัดนี้เจ้าของเสียงขลุ่ยและเจ้าของเสียงผิวใบไม้มายืนอยู่ตรงหน้ากันและกัน

เสียงขลุ่ยจึงหยุดลง...

เซี่ยงกัวเม้งจูเงยหน้าขึ้นเสียงผิวใบไม้หยุดลง จ้องมองบุรุษที่ยืนเบื้องหน้าไม่ทราบแววตาเช่นนี้บ่งบอกความรู้สึกใด ดวงตาคมกริบสุกใสเป็นประกาย แต่คล้ายมีเกร็ดน้ำตาเกาะอยู่รำไร นางจ้องมองบุรุษผู้นี้จนเหม่อลอยเนิ่นนานไม่มีวาจาแม้สักครึ่งคำหลุดจากปากคนทั้งสอง...

เซี่ยงกัวเม้งจูกล่าวอย่างเฉยชากับเซี่ยงกัวบ่อซวง ดุจไร้ซึ่งบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย “สิบปีมีเพียงเสียงนี้ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

เซี่ยงกัวบ่อซวงก็คล้ายไม่เห็นบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเช่นกัน “สิบปีนี้คุณชายปึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านของตนเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ” มองเซี่ยงกัวเม้งจูด้วยแววตาสะทกสะท้อน “แต่คราวนี้ถึงกลับยอมเดินทางมาถึงที่นี่ได้”

เซี่ยงกัวเม้งจูยังกล่าวน้ำเสียงเรียบๆ “นัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธอย่างแน่นอน”

เซี่ยงกัวบ่อซวงยังพึมพำกับตนเอง “สิบกว่าปีแล้วท่านพี่คิดว่าเขายังไม่ตัดใจอีกหรือ”

เซี่ยงกัวเม้งจูส่ายหน้าช้าๆคล้ายจะถอนหายใจ แต่กลับไม่แสดงออกมา “ไม่ทราบ...แต่หากเป็นข้าย่อมไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน”

“ถ้าเช่นนั้นนับว่าเขาลงทุนมากทีเดียว”

“หากเป็นเจ้าจะลงทุนถึงเพียงนี้หรือไม่”

เซี่ยงกัวบ่อซวงนิ่งเนิ่นนาน “คงมีแต่บุคคลเช่นเขาที่สามารถกระทำเยี่ยงนี้”

เซี่ยงกัวเม้งจูทอดถอนใจอย่างหดหู่อย่างยิ่ง “หรือในแผ่นดินนี้จะมีบุคคลเช่นเขาเพียงผู้เดียว”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไม...”

“บางทีการนัดหมายครั้งนี้อาจมีความหมายบางอย่างสำหรับเขา ที่พวกเราไม่อาจทราบได้”

เซี่ยงกัวบ่อซวงยิ่งฉงนสนเทห์ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้ใด...” สายตาปรายมายังพี่สาวตนเองแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองบุรุษผู้นี้ตรงๆ ตอนนี้จึงยอมรับว่ามีบุคคลอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย “สิบปีนี้ท่านเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้ใด เหตุใดคราวนี้ถึงยอมเดินทางมาถึงที่นี่ได้...”

ปึงเพียวเซาะกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “การนัดหมายครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้...”

เซี่ยงกัวเม้งจูจ้องเขม็งไปที่บุรุษหนุ่มน้ำเสียงจริงจังเคร่งเครียดขึ้น “ข้าคาดหมายว่าการนัดหมายครั้งนี้คงเป็นเรื่องของข้ากับอีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่คิดว่าตระกูลปึงต้องการจะเกี่ยวข้องด้วย”

ปึงเพียวเซาะสูดลมหายใจลึกยาวครั้งหนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้ากล่าววาจาออกมา ทั้งที่แววตาที่มองนางนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างเต็มเปี่ยม “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าข้าล้วนสนใจอย่างยิ่งเสมอมา”

เซี่ยงกัวเม้งจูแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “สิบปีก่อนท่านก็พูดเช่นนี้”

ปึงเพียวเซาะก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด “ตอนนี้ข้ายังคงมีความรู้สึกเหมือนเมื่อสิบปีก่อน”

เซี่ยงกัวเม้งจูหันมามองปึงเพียวเซาะแววตาเจ็บช้ำรันทดอย่างยิ่ง “ที่แท้สิบปีมานี้ท่านไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย...ท่านยังคงเป็นท่านเหมือนเมื่อสิบปีก่อนจริงๆ”

ปึงเพียวเซาะนิ่งเงียบไม่ตอบคำ ก่อนเอ่ยขึ้น “สิบปีนี้เจ้าคงลำบากมาก”

เซี่ยงกัวเม้งจูหันไปมองยังที่ห่างไกลเบื้องหน้า “แม้ข้าไม่มีความสามารถเทียบเท่าท่านพี่แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องภายในตระกูล หลายปีนี้นับว่าไม่มีเรื่องยุ่งยากใจแม้แต่น้อย”

“เช่นนั้นเจ้าคงมีเวลามากพอ...”

เซี่ยงกัวเม้งจูสวนคำกลับในทันที “หากข้ามีเวลาคงมีตั้งแต่พบท่านเมื่อสี่วันก่อนแล้ว”

ปึงเพียวเซาะหน้ามุ่ยลงอีกครั้ง เป็นเช่นนั้นจริงๆ สี่วันที่แล้วนางเพียงใช้สายตาเย็นชาและเสียงหัวร่อเพียงแค่นั้น...เพียงแค่นั้นจริงๆ เมื่อสี่วันที่แล้วมีเพียงเสียงแค่นหัวร่อใส่ตนอย่างหยามหยันเท่านั้น แต่สำหรับหัวใจที่อ่อนล้าของปึงเพียวเซาะ เพียงแค่นั้นยังมากกว่าคำด่าทอนับร้อยคำเสียอีก!

“ข้าเพียงต้องการถามเจ้าสองเรื่อง”

“ท่านว่ามา...”

“การนัดหมายครั้งนี้....” บุรุษหนุ่มอ้ำอึ้งไม่อาจกล่าววาจาต่อได้

เซี่ยงกัวเม้งจูหันมาจ้องตาเง็กเซียว “ท่านต้องการทราบการนัดหมายครั้งนี้ข้ามีความมั่นใจหรือไม่...”

“เจ้ามั่นใจ...”

“หากเป็นท่าน...ท่านสามารถกล่าวคำมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้า เซียนแพทย์ไร้ใจ ซินแสลิขิตฟ้า จอมโจรเสเพล มือสังหารไร้รักและจอมยุทธกระบี่เหล็กหรือไม่”

“ถ้าเช่นนั้น...”

“ยังมีอีกคำถาม” นางรีบกล่าวแทรกขึ้นก่อนบุรุษหนุ่มจะพูดประโยคต่อมา

“เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่มีหลักฐานใดที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นการกระทำของเขา”

น้ำเสียงที่เยือกเย็นของเซี่ยงกัวเม้งจูเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นในทันที “ในตอนนั้นพี่ของข้ากับแม่นางกงซุนนับได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของยุทธภพ ท่านคิดว่ายังมีผู้ใดที่มีฝีมือขนาดลอบวางยาพิษทั้งสองคนพร้อมกันได้!”

“หานับประมุขหมู่ตึกทั้งห้า...และคนผู้นั้นคงได้ประมาณหกหรือเจ็ดคน”

เม้งจูหันควับมามองทันที “ท่านเพ้อเจ้ออะไร!”

ปึงเพียวเซาะ “ข้าเพียงต้องการให้เจ้าทราบ ผู้ที่สามารถกระทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ลงมือกระทำเสมอไป”

เม้งจูน้ำเสียงเป็นปกติอย่างมาก “นอกจากพี่ของข้าคุณชายใหญ่สนิทกับผู้ใดมากที่สุด...สหายสนิทที่สุดของพี่ข้าคือผู้ใด...นอกจากคุณชายใหญ่ผู้ใดที่รักพี่ของข้ามากที่สุด...เมื่อพี่ของข้าตัดสินใจแต่งงานกับคุณชายใหญ่ผู้ใดที่เศร้าเสียใจที่สุด” น้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง “ในโลกนี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้กระมัง...”

ปึงเพียวเซาะ ได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะทุกคำถามของนางต่างมีเพียงตอบเดียว ‘อี้แป๊ะเฮาะ!’

พลันบังเกิดเสียงดังเปรี้ยงขึ้น! นั่นเป็นเสียงซึ่งดังมาจากอารามบ้อเมี่ย! ปึงเพียวเซาะสะดุ้งขึ้นสุดตัวเหลียวหลังไปดูด้านหลังใจหายวาบ เพิ่งฉุกคิดได้ตนต้องเฝ้าดูแลตอนนี้บ้อเอี้ยไต้ซือรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านโยชิ ไม่ทราบมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ตนช่างสะเพร่าจริงๆ!

จบบทที่ 11.

******* คุยกันหน่อย ************
หายไปนานไม่รู้ว่ายังมีใครตามเรื่องนี้อยู่บ้างหรือเปล่า
รู้สึกผิดที่หายไปแต่ละทีเกือบเดือน
จะพยายามไม่ขี้เกียจเขียนมาลงเรื่อยๆ แบบอาทิตย์ละบทน่ะ
จะเขียนให้จบไม่ทิ้งกลางทันแน่ๆ

ไม่มีความคิดเห็น: