วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

HEALTH TODAY CODE

Enlightenment ตื่นรู้อยู่กับความจริง

HEALTH TODAY CODE รหัสแห่งการมีสุขภาพดีตัวที่ ๒ ที่จะได้มาถอดรหัสกันในวันนี้ คือตัว E เป็นอะไรที่มีกุญแจอยู่หลายดอกมาก และกุญแจแต่ละดอกที่ได้มา ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้สูงในการไขรหัสไปสู่การมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ แต่จะมีกุญแจเพียงดอกเดียวเท่านั้นที่เป็น Master Key กุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การเผยความจริงในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ เรามาร่วมกันหากุญแจดอกที่ว่านั้นกันเถอะ

 

E=Eating การกินอยู่

 

ชีวิตที่มีสุขภาพดีเริ่มต้นที่การกินอยู่เป็น การกินอยู่เป็นในชีวิตประจำวัน เช่นการกินอาหาร การใช้สอยและบริโภคสิ่งต่างๆ ตลอดถึงเทคโนโลยี่ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเรา เราต้องรู้และเข้าใจว่าเรากิน เราใช้เพื่ออะไร คุณค่าแท้และสาระมันอยู่ที่ตรงไหน กินอะไร กินทำใม กินอย่างอย่างไร อยู่เพื่ออะไร อยู่ทำใม แลอยู่อย่างไร เมื่อเราคิดถามและคิดตอบได้อย่างนี้ได้ก็จะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจในเป้าหมายชีวิตได้ดีขึ้น พอเรามีการกินอยู่ในชีวิตประจำวันเป็น มันก็คิดเป็นและไม่ตกเป็นทาสของความอยากกิน และอยากอยู่ ทำให้เกิดการอยู่อย่างอยาก กินด้วยความอยาก จะรู้ว่าเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ทุกวันนี้หลายคนต้องตายเพราะการกิน หรือบางคนนั้นก็กินจนตาย ที่คนเราต้องตายเพราะกินกันมาก ไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจนก็เพราะกินไม่เลือก กินไม่เป็น กินไม่ยั้ง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณาก่อนกิน ก่อนใช้ เพราะการกินนั้นทำให้โง่ก็ได้ ทำให้ฉลาดก็ได้ ทำให้สุขภาพแข็งแรงก็ได้ และทำให้ตายก็ได้ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังเรื่องการกินให้มาก กินให้เป็น จะทำให้เรามีการกินอยู่อย่างพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่ตะเกียกตะกายดิ้นรนขวนขวายใล่ตามกระแสความทะยานอยากจนเกินไปจนทำให้ลืมสาระการกินอยู่ที่แท้จริงของชีวิต

 

E= Environment สิ่งแวดล้อม

 

สุขภาพคนเราจะดีหรือจะเสีย จะแข็งแรงหรือจะเสื่อม ชีวิตคนเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ จะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำย่ำแย่ สิ่งแวดล้อมและสังคมนับว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่เหมาะที่ควร มีอากาศที่ดีสะอาดปลอดโปร่ง บรรยากาศที่ร่มรื่น ร่มเย็น ผู้คนในสังคมมีน้ำใจไมตรี มีมิตรภาพเอื้อาทรแบ่งปัน มีรักมีเมตตาต่อกัน คนที่อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ก็จะมีความสุข สุขทั้งกายสุขทั้งใจ สุขภาพก็จะดี แข็งแรง อายุยืน ปราศจากโรคภัยใข้เจ็บ ตรงข้ามกับสิ่งแวดล้อมที่แย่ๆ มีแต่มลภาวะที่เป็นพิษ รถติด น้ำเน่า สกปรกรกรุงรัง ผู้คนไร้มารยาท ขาดน้ำใจ ใช้แต่อารมณ์ กดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ ถามหน่อยเถอะว่า สิ่งแวดล้อมอย่างนี้มันจะน่าอยู่ไหม? หากเราเลือกได้เราควรจะหาสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณต่อชีวิตของเรา

 

คนจีนเขาบอกว่าต้องเลือกฮวงจุ้ยที่ดีถึงจะเป็นคุณต่อชีวิตและกิจการที่ทำ คนไทยบอกต้องรู้จักเลือกดูทำเล ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในมงคล ๓๘ ข้อที่ ๔ ว่า "ปฏิรูปเทสวาโส เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในประเทศ (สิ่งแวดล้อม) ที่สมควรเป็นมงคลอย่างยิ่ง" แม้แต่สิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าคน ก็ต้องเลือดคบเลือกดูให้ดีเช่นกัน คบคนดีชีวิตเราก็ไปดี คบคนไม่ดีมีแต่ลงเหวลงนรก ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนย้ำอยู่เสมอว่า "คบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น" "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" เราต้องรู้จักเลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี เลือกคบคนดีเป็นกัลยาณมิตร พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า "การได้พบกัลยาณมิตร นับเป็นทั้งหมดของการประพฤติพรหมจรรย์" การมีบัณฑิตเป็นสิ่งแวดล้อม จะทำให้เราได้รับสิ่งที่ดีมากมาย ที่สำคัญจะทำเรารู้จักผิดชอบชั่วดี อะไรคือบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ สิ่งแวดล้อมที่ดีจะให้สิ่งดีๆ แก่เราเอง

 

E=Emotion อารมณ์

 

ทุกคนนอกจากมีอายตนะภายนอกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ยังมีอายตนะภายในคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ทุกครั้งที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสีง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง จะต้องเกิดธรรมมารมณ์ หรือ อารมณ์ขึ้น Emotion ที่เรียกว่าอารมณ์มาจากคำสองคำในภาษาอักฤษรวมกัน คือ Energy + Motion หมายถึงการเคลื่อนที่ของพลังงาน ที่เกิดจากการกระทบทางกาย ผ่านมาทางประสาทรับความรู้สึกที่มือเท้า แล้วผ่านไปยังเซลล์ประสาทที่ส่วนหน้าของไขสันหลังซึ่งมีหน้าที่เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ แล้วสมองส่วนข้างในใกล้กับส่วนที่เป็นก้านสมองที่เรียกว่า Amygdala ก็จะรับความรู้สึกตอบสนองแล้วส่งสัญญาณไปสู่สมองที่สูงกว่า เหล่านี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เราจะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ แต่ที่เราต้องรู้ให้ได้ ไม่รู้ไม่ได้คือ อารมณ์ของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะว่ามีอาการอย่างไร ชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉยๆ มีอารมณ์สุข ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกขณะที่มีอะไรมากระทบจิต หากเราตามรู้ทันแล้วควบคุมมันได้เราก็จะไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ แต่หากเราไม่รู้เท่าทันมัน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงขับเคลื่อนของมัน ยอมปรนเปรอ ตอบสนองตามที่มันเสนออยู่ทุกครั้ง มันก็จะเป็นเจ้านายของเรา บังคับบัญชาให้เราทำตามที่มันต้องการอยู่ตลอด

 

อารมณ์ที่เราควบคุมไม่ได้และไม่รู้เท่าทันจะเป็นดุจนายผู้ทารุณ โหดร้าย แต่ตรงกันข้าม หากควบคุมได้และรู้เท่าทันเขาจะเป็นเยี่ยงสหายผู้รู้ใจเป็นดุจกัลญาณมิตร อารมณ์และความคิดเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้สุขหรือทุกข์ ให้ดีหรือร้าย ให้เป็นนางฟ้าผู้อารี หรือเป็นนางยักษ์ขมูขีที่น่ากลัวก็ได้ เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นมา หน้าที่เราต้องมีสติรู้ รู้ว่าใจของเราเป็นเช่นไร สุขหรือทุกข์ ถ้ามันทุกข์ก็ให้รู้ว่าอารมณ์ทำให้เกิดทุกข์ ต้องเปลี่ยนอารมณ์ทันทีที่สติรับรู้ การเปลี่ยนอารมณ์ที่ง่ายๆ คือหยุดความคิดนั้น หยุดด้วยกลับมาที่ลมหายใจ กลับมาอยู่กีบปัจจุบัน กลับมาอยู่กับพุทโธ หากมันจะคิดเรื่องที่ไม่ดี ก็ให้หยุดแล้วให้คิดแต่เรื่องที่ดี หากคิดจะโกรธคนอื่น ก็ให้หยุดแล้วเปลี่ยนมาคิดเมตตาแทน เปลี่ยนอารมณ์ร้ายให้เป็นอารมณ์ดี เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องดีๆ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค แทนที่ ด้วยความดี เช่น

 

- การตำหนิติเตียน เป็นแนะนำ

 

- โกรธ สมน้ำหน้า เป็นเมตตาสงสาร

 

- เหยียบย่ำซ้ำเติม เป็นเห็นใจช่วยเหลือ

 

- อิจฉาริษยา เป็นชื่นชมยินดี

 

- ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เป็นมีสติเยือกเย็น

 

- ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นรู้รัก สามัคคี

 

- จ้องจับผิด เป็นจ้องจับถูก

 

- เอาชนะกันเอง เป็นชนะร่วมกัน

 

- มองโลกในแง่ร้าย เป็นมองแต่ในแง่ดี

 

- กังวลสับสนวุ่นวาย เป็นสุขสงบเบาสบาย

 

อย่าปล่อยให้อารมณ์ขย่มหัวใจอขงเรา เราต้องเป็นจ้าวของอารมณ์ให้ได้

 

อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จงทำเหตุผลให้อยู่เหนืออารมณ์

 

อย่าปล่อยให้จิตใจเป็นทาสของอารมณ์ จงฝึกให้ให้อิสระจากอารมณ์ให้ได้

 

E = Enlightenment การตื่นรู้อยู่กับความจริง

 

ถามว่า "เจ้าปลาตัวน้อยที่แหวกว่ายในสายน้ำ จะรู้บ้างไหมหนอว่ามันอยู่ในน้ำ และโลกนี้ยังมีท้องฟ้าที่สดใส ไกลสุดสายตา ??? ถามว่า เจ้าหนอนตัวเล็กๆที่เกิดและตายในกองอาจม จะรู้บ้างไหมหนอว่ามันอยู่ในสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น และโลกนี้ยังมีดอกไม้ มีน้ำผึ้งที่หอมหวนหวานชื่นใจ ??? และถามต่อไปอีกว่า มนุษย์ผู้ประเสริฐ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ที่เกิดและตายอยู่บนโลกใบนี้ จะรู้บ้างไหมหนอว่าโลกนี้คับแคบและอึดอัดเพียงไร โลกนี้มันน่าอยู่จริงหรือไม่ และโลกที่แท้เป็นเช่นไร ทำใมเราต้องมีรัก เกลียด ยิ้ม และร้องให้ด้วย อยากได้ความสุข ต้องการหนีห่างจากความทุกข์ ???

 

"ถ้ารู้ว่าป่วยต้องกินยา ถ้ารู้ว่าเดินหลับตาให้ลืมตาเสีย ถ้ารู้ว่า ถ้ารู้ว่าหลงทาง ให้หาทางออก ถ้ารู้ว่าทุกข์ ก็ให้รีบออกจากทุกข์" การตื่นรู้อยู่กับความจริง ยอมรับในความจริง แล้วเข้าใจรู้แจ้งในความจริงของสิ่งต่างๆ จะทำให้เราไม่หลงใหล มัวเมา จมปลักอยู่กับมายาสิ่งลวง อยู่กับอารมณ์ที่มันเพียงจรเข้ามาแล้วก็ผ่านไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาของโลก แต่เราไม่รู้ถึงเหตุปัจจัย ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มุ่งแต่สนองความปรารถนาของตน เมื่อไม่เป็นไปตามนั้นก็เดือดร้อน นอนทุกข์ ทรมาน รำคาญใจ เพราะไม่รู้เท่าทันในความจริง

 

ความเป็นธรรมดาของโลก การมีสติปัญญา ตามหลักของพระพุทธศาสนาจะทำให้ตื่นรู้อยู่กับความจริงของชีวิต รู้เท่าทันสภาวะที่มากระทบต่อชีวิตในทุกปัจจุบันขณะ ทั้งทางกายและทางจิตใจเพื่อควบคุมให้จิตใจและร่างกายดำเนินไปตามวิถีแห่งปัญญา คือตื่นรู้อยู่กับความจริง พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่า ความเสื่อมทรัพย์ ญาติ ยศ ลาภ เป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อย แต่การเสื่อมปัญญานั้นเรื่องใหญ่ การได้ทรัพย์ ยศ ลาภ ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การได้ปัญญาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ถ้ามีปัญญาตื่นรู้อยู่กับความจริงแล้วทำให้ได้ความสุขที่ประณีต ความสุขที่ดี ถ้าเราต้องการมีสุขภาพที่ดี มีความสุขที่ดี ก็ต้องแสวงหาปัญญา อยู่กับปัญญา มองทุกอย่างด้วยปัญญาที่ตื่นรู้อยู่กับความจริง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

 

ไม่มีประโยชน์ที่จะถามว่า เราเกิดมาทำใม? โลกนี้น่าอยู่หรือไม่? โลกที่แท้จริงเป็นอย่างไร? เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เราเกิดมาแล้ว สิ่งที่ต้องต้องทำคือใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือ ปัญญา ตื่นรู้อยู่กับความจริง และความเป็นอยู่ที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง ...

ไม่มีความคิดเห็น: